เชื่อว่าหลายคนคงมีความฝันคล้ายฉัน คืออยากเห็น ‘แสงเหนือ’ สักครั้งในชีวิต
ฉันตามดูทริปของเพื่อนหลายคน บ้างไปไอซ์แลนด์ บ้างไปสวีเดนหรือนอร์เวย์ สรุปคือไปไหนก็ได้ที่อยู่ทางเหนือสุด ๆ เรียกว่า เข้าเขต Arctic Circle (เขตขั้วโลกเหนือ แต่ยังไม่ถึงขั้วโลก)
ช่วงเดือนเมษายน ฉันเสนอไอเดียนี้กับสามีผู้มีความสนใจแสงเหนือเป็น ‘ศูนย์’ ไม่ว่าจะเล่าด้วยสายตาเปล่งประกายยังไงก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เขาคงเห็นความตั้งใจจริงเลยบอกให้ฉันลองไปศึกษาดู แล้วเอาแพลนมาคุยกัน
ด้วยความที่สามีตกหลุมรักสายการบินฟินแอร์ (แค่ได้บินก็ฟินแล้ว) ตั้งแต่โลโก้ น้ำบลูเบอร์รีแบรนด์ตัวเองที่เสิร์ฟบนเครื่อง เรื่อยไปจนถึงสนามบินเฮลซิงกิสุดสวย เก๋ มีสไตล์ที่เราไปเปลี่ยนเครื่องหลายต่อหลายครั้งเวลากลับเมืองไทย แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเหยียบประเทศฟินแลนด์อย่างจริงจังสักที
ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เรายังไปฟินแลนด์เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากทริปดูแสงเหนือเป็นทริปหมู่บ้านซานตาคลอสแทน! แล้วทำไมเราถึงไปฉลองคริสต์มาสตั้งแต่เดือน ‘ตุลาคม’ แบบนี้ ฉันจะเล่าให้ฟังค่ะ
ไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิด
เมื่อค้นคว้าข้อมูล ฉันก็มีความกังวลใจหลายอย่าง
เนื่องจากแสงเหนือมีโอกาสเห็นได้มากกว่าในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงพีกของการท่องเที่ยวฟินแลนด์ ราคาทุกอย่าง ไม่ว่าจะตั๋วเครื่องบินหรือที่พักจึงแพงมากกกกก (ก ไก่ ล้านตัว) ลองจินตนาการว่า ถ้าอยากนอนกระท่อมทรงอิกลูหลังคากระจกเพื่อดูแสงเหนือจากห้องพัก ราคาอย่างต่ำก็ปาไปคืนละเกือบ 20,000 บาท และอาจพุ่งถึง 30,000 กว่าบาทแล้ว
นอกจากนี้ยังไม่การันตีว่าจะได้เห็น เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ (ฟ้าเปิดหรือเปล่า มีเมฆมากไหม) เรียกว่าเอาเงินแสนไปเสี่ยงล้วน ๆ หรือถ้าจะจองที่พักดี ๆ สิ้นปีนี้ก็เต็มหมดแล้ว ต้องเป็นปลายปี 2024 โน่นเลยถึงพอมีที่ว่างบ้าง
ส่วนสภาพอากาศ จากที่เห็นปริมาณหิมะในภาพของหลายคน ฉันหวั่นใจว่าเสื้อผ้าที่มีจะเอาอยู่ไหม แล้วไปกับสามีและลูกที่ไม่มีใครอินกับการเห็นแสงเหนือ เขาจะสนุกหรือเปล่า
Note : ประเทศเยอรมนี โดยเฉพาะเมืองแฟรงก์เฟิร์ตที่ฉันอยู่ หิมะตกไม่มากนัก หากตกก็อยู่ไม่นาน วันที่อุณหภูมิติดลบมีไม่มาก บางปีฉันจึงผ่านหน้าหนาวไปได้โดยแทบไม่ต้องใส่ถุงมือหนา ๆ ด้วยซ้ำ
ด้วยความกังวลใจทั้งราคาและสภาพอากาศ เราจึงพับแผนไป
ถึงอย่างนั้น อยากไป ต้องได้ไป
ย่างเข้ากลางปีช่วงปิดภาคฤดูร้อน เรายังไม่มีที่ไปสำหรับช่วงปิดภาคฤดูใบไม้ร่วง ฉันเลยกลับมาถามสามีอีกครั้งว่าเราลองไปฟินแลนด์ช่วงปลายตุลาคมกันไหม ไหน ๆ ฉันก็หาข้อมูลมาขนาดนี้แล้ว
เมืองที่ตั้งใจไปคือ โรวานีมี (Rovaniemi) เมืองหลวงของเขต Lapland เป็นเมืองบ้านเกิดของวงฮาร์ดร็อกอย่าง Lordi ที่พาฟินแลนด์ไปชนะรายการมหกรรมดนตรี Eurovision เมื่อปี 2006
ที่สำคัญ โรวานีมียังเป็นที่ตั้งอย่างเป็นทางการของ ‘หมู่บ้านซานตาคลอส’ มีที่ทำการไปรษณีย์ของซานตาคลอส แน่นอนว่าจดหมายจากเด็กทั่วโลกที่ส่งมาหาซานตาคลอสในทุก ๆ ปีก็มาที่นี่แหละ
สำหรับฉัน ตอนนั้นไม่เน้นแสงเหนือแล้ว เพราะมีโอกาสเห็นตั้งแต่เดือนตุลาคม หากฟ้าเปิด แต่ถือโอกาสไปทดสอบมากกว่าว่าเสื้อผ้าที่เรามีจะใช้กับ (แค่) ฤดูใบไม้ร่วงที่นั่นไหวไหม (-5 องศาเซลเซียส) หากจะได้ตามล่าแสงเหนือกันอย่างจริงจังในอนาคต
สามีบอกว่า ลองไปดูก็ได้
ก่อนจะไป ต้องทำการบ้านเรื่องตั๋วและที่พักให้ดี
ตอนแรก ฉันตกใจกับราคาตั๋วเครื่องบิน แต่พอเลื่อนวันเดินทางไปมา ก็เจอเที่ยวบินราคารับได้ในวันที่ต้องการ แถมขากลับยังมีเวลาเปลี่ยนเครื่องมากพอให้ได้ออกไปเหยียบเมืองเฮลซิงกิสักหน่อยด้วย
ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว!
เครื่องบินของสายการบินฟินแอร์พาเราออกเดินทางจากแฟรงก์เฟิร์ตมายังกรุงเฮลซิงกิ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนิด ๆ และจากกรุงเฮลซิงกิมายังเมืองโรวานีมีใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง
โรวานีมีมีประชากรเพียง 60,000 คน สนามบินขนาดไม่ใหญ่ แต่มีคนและเครื่องบินพลุกพล่านเป็นอันดับ 3 ของฟินแลนด์ แปลว่าในช่วงฤดูหนาว เมืองจะคึกคักและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย
Note : มีบริการรถไฟข้ามคืนจากกรุงเฮลซิงกิด้วย ตีตั๋วนอนข้ามคืนมาก็สนุกไปอีกแบบ และถ้าซื้อล่วงหน้าอาจได้ราคาน่าสนใจ แต่ถ้าซื้อหน้างาน ราคาจะพอ ๆ กับตั๋วเครื่องบิน
ความที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ที่พักและโรงแรมในโรวานีมีจึงมีให้เลือกหลายแบบ ทั้งในตัวเมือง รอบนอก และที่หมู่บ้านซานตาคลอส (เดือนพฤศจิกายน-ต้นมีนาคม มีโรงแรมน้ำแข็งด้วย)
เราเลือกบ้านพักจาก Airbnb เพราะอยากได้พื้นที่ที่มากกว่าห้องพักโรงแรม ที่สำคัญคือมีครัวและตู้เย็น ทำให้ซื้อของในร้านค้ามาทำกินเองเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ แถมไม่ต้องรีบตื่นเช้า เร่งลงไปกินอาหารเช้าให้ทันตามเวลาของโรงแรม โดยบ้านที่เราเลือกมีสวนหลังบ้านและซาวน่าด้วย
Note : มาถึงฟินแลนด์ ต้องไม่พลาดการเข้าซาวน่านะ ว่ากันว่ากว่าครึ่งของจำนวนซาวน่าบนโลกอยู่ที่ประเทศฟินแลนด์ ชาวฟินน์ผูกพันกับซาวน่ามาก ในอดีตซาวน่าเป็นศูนย์กลางของชีวิตของคนที่นี่ ตั้งแต่ ‘เกิด’ (สมัยก่อนทารกเกิดที่นี่) จนถึง ‘ตาย’ (เป็นที่ชำระร่างกายของผู้ที่เสียชีวิต) และมีเรื่องเล่าว่าคนฟินน์สร้างซาวน่าก่อน แล้วค่อยสร้างบ้านล้อมรอบ
เพิ่มเติม คือการอยู่บ้านแบบนี้ควรต้องมีรถเช่า เพราะรถประจำทางวิ่งเฉพาะเส้นทางหลักเท่านั้น ใครที่ไม่ประสงค์เช่ารถ เลือกพักใจกลางเมืองหรือที่หมู่บ้านซานตาคลอสดีกว่า
เราเดินทางไปถึงกันตอนค่ำ มีหิมะตกบ้างแล้ว ทำให้เห็นพื้นที่สีขาวเป็นหย่อม ๆ เมื่อเข้าที่พักก็หลับผล็อยไปด้วยความเหนื่อยล้า พอเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านซานตาคลอสทันที
ในที่สุดก็ได้มาเยือนหมู่บ้านซานตาคลอส
แอบรู้สึกตลกว่าเรามาฉลองคริสต์มาสกันตอนปลายเดือนตุลาคม แต่เมื่อไปถึงหมู่บ้าน ความรู้สึกเคอะเขินก็หายไป โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าหิมะเริ่มตกจนเป็น White Christmas ที่แท้ทรู!
หมู่บ้านซานตาคลอส (Santa Claus Village) อยู่นอกตัวเมืองออกมาเกือบ 9 กิโลเมตร มีรถประจำทางวิ่งมาถึง ถ้าขับรถมาก็สะดวกสบาย มีที่จอดรถฟรี ประกอบไปด้วยหลายโซน ทั้งโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ไปรษณีย์ และอื่น ๆ โดยเจ้าหน้าที่ในร้านรวงเหล่านี้จะแต่งตัวเป็นเอลฟ์ สวมหมวกสีแดงยาว เหมือนในภาพวาด ให้บรรยากาศคริสต์มาสที่เราเคยเห็นในสื่อมาก ๆ
ไฮไลต์อันดับแรกอยู่ที่ ‘บ้านซานตาคลอส’ เราไปต่อคิวถ่ายรูปกับซานตาคลอสตัวจริงเสียงจริงได้ สนนราคาแตกต่างกันตามขนาดรูป (เริ่มต้นที่ 30+ ยูโร) และซื้อใบประกาศว่า เราได้พบซานตาคลอสตัวจริงแล้วได้ด้วย (ในราคา 6 ยูโร)
ที่น่าสนใจคือซานตาคลอสที่ฟินแลนด์ไม่เหมือนที่เราเห็นทั่วไปเสียทีเดียว หมายถึง ยังเป็นคุณตาใจดี หนวดเคราสีขาวยาวมาก และใส่ชุดสีแดงเหมือนกัน แต่ไม่ได้ใส่กางเกง ท่าทางทะมัดทะแมงแบบที่เรามักเห็น
ซานตาคลอสที่นี่ใส่เสื้อคลุมสีแดงใหญ่ยาวลากพื้น ความรู้สึกคล้ายศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ใน Harry Potter 2 ภาคแรก เมื่อเดินไปหา จะรู้สึกถึงชายชราใจดี มีเมตตา สุขสงบ ร่มเย็น
นางแม่อยากถ่ายรูปมาก แต่ลูกไม่เอาด้วย เลยอดค่ะ
เสียดายนิดเดียวว่าลูกเราได้มาตอนโต ไม่เชื่อเรื่องซานตาคลอสแล้ว แต่หากมาตอนสัก 4 – 5 ขวบ ยังอยู่วัยอนุบาล ฉันว่าการได้ถ่ายรูปกับซานตาคลอสจะเป็นความทรงจำที่ดีมากของเด็ก ๆ (ใครที่ลูกยังเล็กและสนใจมา ฉันแนะนำนะคะ)
ในที่สุดก็ได้ส่งจดหมายจากหมู่บ้านซานตาคลอส
ฉันรักการเขียนจดหมาย อันดับต่อมาที่ต้องไปให้ได้ คือไปรษณีย์ซานตาคลอส ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
ที่นี่มีส่วนจัดแสดงจดหมายจากเด็ก ๆ และผู้คนจากสารพัดประเทศที่ส่งจดหมายมาหาซานตาคลอส (มีจดหมายจากประเทศไทยด้วยนะ) ได้ถึงบางอ้อเสียทีว่า ถ้าส่งจดหมายมาหาซานตาคลอสที่ขั้วโลกเหนือ จดหมายจะถูกส่งไปที่ไหน
มีโปสต์การ์ดหลากหลายรูปแบบขาย และมีแสตมป์ซานตาคลอสขายโดยเฉพาะด้วย ซื้อแล้วส่งจากตรงนี้จะมีตราประทับที่มีเฉพาะหมู่บ้านซานตาคลอสที่เดียว (ส่งจากที่อื่นในประเทศฟินแลนด์ก็ไม่ได้ตรานี้) ราคาแสตมป์ที่ใช้ส่งแพงกว่าอัตราค่าบริการทั่วไปเล็กน้อย (2.5 ยูโรต่อแผ่น ส่งไปได้ทั่วโลก) เลือกบริการได้ด้วยนะว่าจะส่งออกเลยทันที หรือส่งให้ไปถึงช่วงคริสต์มาส
เมื่อไปถึงที่แล้ว เราก็ต้องส่งค่ะ!
นอกจากนี้ ยังสั่ง (ซื้อ) จดหมายจากซานตาคลอสไปส่งให้เด็ก ๆ ได้ด้วย โดยจดหมายจะระบุว่า หนู (ชื่อ) เป็นเด็กดีตลอดทั้งปี ฯลฯ เติมเต็มเรื่องเล่าเกี่ยวกับซานตาคลอสเข้าไปอีก!
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ซานตาคลอส รับรองกระเป๋าสตางค์จะบางลงไปเยอะเมื่อแวะมาที่นี่ค่ะ (ฮา)
Note : ฉันสำรวจราคามาให้แล้ว โปสต์การ์ดในไปรษณีย์แห่งนี้ราคามาตรฐาน ไม่ได้แพงกว่าในตัวเมือง ซื้อได้เลยค่ะ
ในที่สุดก็ได้มาเหยียบวงกลมอาร์กติก
อีกอย่างที่พลาดไม่ได้ คือการเดินข้ามผ่านเขตวงกลมอาร์กติก (Arctic Circle)
วงกลมอาร์กติก คือเส้นละติจูดที่อยู่เหนือสุดใน 5 วงกลมละติจูดหลักบนแผนที่โลก ซึ่งบ่งบอกถึงเขตขั้วโลกเหนือ เส้นนี้พาดผ่านหลายประเทศ เช่น นอร์เวย์ สวีเดน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ฟินแลนด์
ที่ฟินแลนด์ หากบินมาลงที่โรวานีมีก็ผ่านเส้นนั้นมาแล้ว แต่จะให้ดีก็ขอมีรูปถ่ายเก๋ ๆ กับการได้เข้าเขตขั้วโลกเหนือหน่อย
ตอนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับทริปนี้ ฉันได้เห็นรูปถ่ายมาเยอะ เมื่อได้ไปเองก็เลยจัดชุดใหญ่ ทั้งก้าว กระโดด และถ่ายวิดีโอด้วย ลูกบ่นน่าดูเลย แต่แม่มีความสุขมาก (ฮา)
ในที่สุดก็ได้ขี่เลื่อนหมาฮัสกี้
อีกหนึ่งกิจกรรมห้ามพลาด คือการขี่เลื่อนที่ลากโดยหมาฮัสกี้ ซึ่งเรามีตัวเลือกเยอะมาก เพราะมีหลายฟาร์ม หลายบริษัททัวร์
วิธีการเลือก คือเลือกที่ถูกใจเราตามประเภทของบริการ (มีคนคุมเลื่อนหรือเราคุมเอง) โดยราคาจะแปรผันตามระยะทางที่น้องหมาทั้งหลายวิ่งพาเราไป และหากสถานที่วิ่งอยู่ออกนอกเมืองไป ส่วนใหญ่จะมีบริการรับส่งจากสถานที่พักด้วย
สำหรับใครที่มีเวลาน้อย ด้านข้างหมู่บ้านซานตาคลอส มี ‘Arctic Circle Husky Park’ ที่มีน้องหมาหลายสิบตัวให้เราเจอ ให้อาหาร กอดรัดฟัดเหวี่ยง และลองนั่งเลื่อนด้วย
ในฤดูใบไม้ร่วงที่หิมะยังไม่ตกหรือหิมะตกไม่มากพอที่จะใช้เลื่อน หมาฮัสกี้จะลากเราด้วยรถลากแบบมีล้อ ได้ความรู้สึกใกล้เคียงกับเลื่อนเลยค่ะ
Note : หากจะมาใช้บริการที่นี่ในหน้าหนาว ขอแนะนำให้จองล่วงหน้า เพราะเป็นที่ต้องการสูงมาก อย่างของหน้าหนาวปีนี้เต็มหมดแล้วค่ะ (กรี๊ด)
ในที่สุดก็ได้เจอกวางเรนเดียร์
ไหน ๆ มาถึงหมู่บ้านซานตาคลอสแล้ว อย่าพลาดการไปชมและให้อาหารกวางเรนเดียร์ที่ ‘Elf’s Farmyard’ ซึ่งอยู่ติดกัน เป็นสวนสัตว์ขนาดย่อมที่เราจะได้เห็นกวางเรนเดียร์ตัวจริง
ฉันเคยเห็นแต่ ‘สเว็น’ ในภาพยนตร์เรื่อง Frozen พอได้มาเห็นของจริง กวางเรนเดียร์เป็นสัตว์ที่ดูสง่างามและทรงพลังมาก (Majestic) แต่ถ้าโดนถีบด้วยขาหลังคู่ ฉันว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย แหะ ๆ
นอกจากนั้นยังมีสัตว์อื่น ๆ ในแถบอาร์กติกด้วย และมีกระโจมอุ่นไฟแบบชาวฟินแลนด์ให้เราปิ้งมาร์ชเมลโลว์ (ราคา 3 – 4 ยูโรแล้วแต่เลือก) และไส้กรอก (4 ชิ้นใหญ่ ราคา 5 ยูโร) ด้วย
ในที่สุดก็ได้มาฟินที่ฟินแลนด์สมใจ
ตัวเมืองโรวานีมีมีห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง และมีร้านค้าสัญชาติฟินแลนด์แทบทุกแบรนด์ที่ต้องการ เช่น Marimekko ซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีให้เลือกหลากหลาย อาทิ K Mart หรือคนที่มาจากเยอรมนี อย่างบ้านฉันก็มี Lidl ให้หายคิดถึง
Note : ที่ฟินแลนด์ VAT 24 เปอร์เซ็นต์นะคะ (กรี๊ด) ทำให้อะไร ๆ ก็รู้สึกแพง โดยเฉพาะอาหาร รวมถึงค่าเข้าชมทุกอย่างด้วย แต่ที่นี่ล้ำหน้าเรื่อง Cashless Society พอควร จ่ายบัตรได้ทุกที่เลย
ส่วนที่เที่ยวนอกเมืองมีทั้งสวนสัตว์ Ranua ทะเลสาบสารพัดแห่ง หากสนใจขับรถไปทางตะวันตก อีกไม่ไกลก็จะถึงชายแดนประเทศสวีเดน ถ้าขับไปทางตะวันออก อีกไม่ไกลเช่นกันก็จะถึงรัสเซีย
ถ้ามาช่วงฤดูร้อน การเดินป่าเป็นกิจกรรมน่าทำ รวมถึงชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนด้วย (แต่ต้องระวังยุงกันด้วย) ส่วนฤดูหนาว แน่นอนว่าต้องตามล่าแสงเหนือ ดูได้ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม แต่ต้องอาศัยโชคช่วยให้ฟ้าเปิด ฟ้าใส
พวกเราโชคไม่ดีนัก เพราะหิมะตกตลอดระยะเวลาที่อยู่ ไม่มีวันที่ฟ้าใสเลย แต่ในความโชคไม่ดีนั้น เราก็ได้เห็นหิมะขาวโพลนไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ต้องหากิจกรรมให้เด็ก ๆ มากนัก เพราะแค่มีเลื่อนให้สไลด์หิมะ ก็เล่นได้ไม่รู้จักเบื่อแล้ว
โดยไม่คาดฝัน เราเลยได้ฉลอง White Christmas กันเต็มที่ที่ฟินแลนด์ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม
ได้ลากเลื่อนน้องหมาฮัสกี้ท่ามกลางหิมะขาวโพลน
ได้เห็นวิถีชีวิตชาวฟินน์แถบ Lapland
ได้อบซาวน่า จนเข้าใจแล้วว่าทำไมคนฟินน์จึงออกจากซาวน่าแล้วไปกระโดดลงน้ำเย็นยะเยือกได้ (ฮา)
ได้เล่นหิมะกันอย่างจุใจ ชนิดที่ปีนี้ ถ้าหิมะไม่ตกที่แฟรงก์เฟิร์ต ก็ไม่คิดถึงแล้ว
โฮ่ ๆๆ เมอร์รีคริสต์มาสทุกท่านเลยค่ะ
Write on The Cloud
Travelogue
ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ