เป็นซีรีส์มาแรงต้นปีเลยครับ สำหรับ ‘The Last of Us’ ของ HBO ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่มีคนรอคอยมากที่สุดและถูกคาดหวังให้เป็นซีรีส์ตัวใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของช่อง ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ เมื่อดูจากเรตติงที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ อีพีที่ออนแอร์ จนแซงแชมป์เก่าอย่าง ‘House of the Dragon’ ไปแล้ว (นับในยุคหลัง Game of Thrones นะ) รวมถึงทำให้ยอดขายเกมพุ่งกระฉูด 200 – 300% และกลายเป็นซีรีส์ระดับปรากฏการณ์ที่คนดูกันทั่วบ้านทั่วเมือง จนถึงขั้นได้รับคำชมว่าเป็น ‘Game Adaptation ที่ดีที่สุด’ อีกด้วย 

สาเหตุที่ซีรีส์นี้โดดเด่นและคนต่างสนใจแม้ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน น่าจะเพราะความเป็นตัวของตัวเองที่ชัดไปเลยว่าเป็น ‘หนังรัก’ ในโลก Post-apocalyptic ว่าด้วยเรื่องของคนสองคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่ผูกพันกันผ่านการเดินทางข้ามประเทศ ไปจนถึงมนุษย์เชื้อราที่คล้ายซอมบี้ แต่ยังคงมีความสดใหม่ในวันนี้แม้เกมจะเดบิวต์ตั้งแต่หลายปีที่แล้ว โดยมีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีไอเดีย แนวคิด และดีเทลที่ละเอียดตั้งแต่ภาพใหญ่จนถึงเล็ก ๆ ย่อย ๆ จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักครับที่ทั้ง 2 เวอร์ชันจะถูกขนานนามว่าอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ 

วันนี้ซีรีส์จบซีซันแรกแล้ว เลยอยากชวนมาสำรวจคอนเซปต์ เจาะลึกเบื้องหลัง และวิเคราะห์ส่วนต่าง ๆ ของตัวละครและเนื้อเรื่องเหล่านั้นกันครับ ในฐานะองค์ประกอบหลักที่ทำให้ใคร ๆ ต่างก็หลงรัก

**เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยรายละเอียดสำคัญของซีรีส์ The Last of Us ซีซัน 1**

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากเกมดัง ฉายภาพความรักผ่านโลกที่ผุผังเพราะเชื้อรา

จากเกมต้นฉบับ

ไอเดียการสร้างเกม The Last of Us เริ่มต้นหลังจากตอนที่ค่าย Naughty Dog วางจำหน่ายเกม Uncharted 2 ไปแล้ว สตูดิโอมีแพลนจะพัฒนาเกมใหม่ จึงแยกทีมเป็นทีม Uncharted 3 ในขณะที่อีกทีมก่อตั้งมาเพื่อการนี้ โดย Niel Druckmann รับหน้าที่ตั้งแต่ Develop สร้างตัวละคร ไปจนถึงเขียนบทครับ ซึ่งทั้งหมดของ The Last of Us เริ่มต้นมาจากตัวละคร ‘Joel’ กับ ‘Ellie’ โดยฉบับเกม คนที่พากย์เสียงและแสดงโมชันแคปเจอร์คือ Troy Baker กับ Ashley Johnson (ที่มารับบทเป็น Cameo ในซีรีส์ ในบทลูกน้อง David กับ Anna แม่ Ellie ตามลำดับ) โดยที่หลังจากแคสต์นักแสดงแล้ว ทั้งสองมีส่วนช่วย Shape หรือร่วมออกไอเดียเกี่ยวกับตัวละครเช่นกัน ในแง่มิติตัวละคร การตัดสินใจ โมทีฟ

เมื่อ Neil Druckmann ได้สารตั้งต้นแล้ว ทีนี้เหลือว่าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร หยิบตัวละครไปโยนใส่ในโลกแบบไหนดี และคำตอบก็คือ ‘โลกที่เน่าเฟะผุผังเพราะเชื้อรายึดครอง’ ได้แรงบันดาลใจมาจากสารคดี Planet Earth ที่ทำให้เขาทึ่งเกี่ยวกับเชื้อรา Cordyceps ในแง่ที่มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา และไอ้สิ่งนี้มันน่ากลัวนะเนี่ย ถ้ามันยึดร่างมนุษย์จะเป็นยังไง จึงเกิดมาเป็นเรื่องนี้และอีกหลายอย่างตามมา โดยใช้โลกใบนี้เป็นสถานที่เล่าเรื่องแนว Coming of Age และสถานที่เดินทางของสองตัวละครที่เริ่มต้นเดินทางความสัมพันธ์และทัศนคติแบบหนึ่ง ไปจบที่ปลายทางด้วยอีกแบบ

นอกจากนี้แล้ว สิ่งอื่นที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ The Last of Us คือเกมแนวแอ็กชันผจญภัยชื่อ Ico กับเกมซอมบี้บู๊แหลกอย่าง Resident Evil 4 ครับ โดย Neil ส่วนในฝั่งภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนัง Night of the Living Dead กับ Children of Men ของ Alfonso Cuarón โดยตัวละคร Joel ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก John Hartigan ในหนัง Sin City และตัวละคร Llewelyn Moss ของ Josh Brolin ในหนัง No Country for Old Man ที่มีความเงียบขรึม สงบเยือกเย็นในสถานการณ์กดดัน ส่วน Ellie นั้น มีการพูดกันไปว่าถอดแบบมาจาก Elliot Page ในลุคตอนยังใช้ชื่อ Ellen ซึ่งเจ้าตัวก็ออกมาพูดเรื่องนี้ในเชิงไม่พอใจเหมือนกันครับ จึงได้มีการปรับเปลี่ยนโดยมี Ashley Johnson เป็นต้นแบบนิสัยใจคอและรูปลักษณ์มากขึ้น

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากเกมดัง ฉายภาพความรักผ่านโลกที่ผุผังเพราะเชื้อรา

สู่ซีรีส์ระดับปรากฏการณ์

มาถึงซีรีส์ The Last of Us ของ HBO ต้องบอกว่าเป็นโปรเจกต์ดรีมทีมจริง ๆ ครับ ช่อง HBO ก็พอบ่งบอกคุณภาพ ความดราม่า กับโปรดักชันและทุนสร้างสูงเบื้องต้นได้แล้ว ซีรีส์ยัง​ได้ Neil Druckmann ที่ปลุกปั้นกับเขียนบทเกมพาร์ตแรก และเป็นผู้เขียนบทกับกำกับเกมพาร์ต 2 มาเป็นผู้สร้างด้วยตัวเอง และยังได้ Craig Mazin ผู้สร้างฝีมือฉกาจจาก Chernobyl มาเป็นผู้สร้างร่วมอีกคน ในฐานะคนที่จะกำหนดว่าอะไรคงไว้ อะไรเปลี่ยน และอะไรเพิ่ม (ทั้งสองคนเป็นแฟนของกันและกันด้วยนะครับ และดีใจมาก ๆ ที่ได้มาทำงานร่วมกัน) อีกทั้งยังได้ Gustavo Santaolalla ที่ทำดนตรีประกอบให้กับเกมต้นฉบับ Barie Gower คนที่ทำเมคอัปให้ Night King กับหลายตัวละครใน Game of Thrones และ House of the Dragon กับ Vecna ใน Stranger Things มาเมคอัปมนุษย์เชื้อราให้ โดยที่มีทีม Elastic ที่เคยทำ Opening Credits ให้ Game of Thrones กับ Westworld มาทำให้เรื่องนี้ด้วย 

นอกจากนี้แล้ว ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Clicker หรือมนุษย์เชื้อราสเตจ 3 ที่ได้คนพากย์เสียงเป็นนักพากย์ Clicker ในเกมต้นฉบับ และรับบทโดยนักแสดงที่แคสต์มา ซึ่งกว่าจะมาเป็นอย่างที่เห็น ได้มีการแคสต์และมีการจัดค่ายเวิร์กช็อปอบรมการเคลื่อนไหวให้เหมือน Clicker ที่สุด โดยที่นักแสดงได้ทั้งท่าทางและเสียงตั้งแต่ตอนออดิชันแล้ว กับได้มือดีอย่าง Cynthia Ann Summers มาคุมงานคอสตูมให้แบบละเอียดยิบ จนถ้าไม่เรียกว่า ‘ดรีมทีม’ ก็ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงแล้วจริง ๆ 

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

ความแตกต่างเหมือนกัน

พูดเรื่องความเหมือน-ต่าง คำชมที่ได้ยินบ่อย ๆ เกี่ยวกับซีรีส์ The Last of Us คือเคารพต้นฉบับ ซึ่งที่นึกออกก็จะมีฉาก มุมกล้อง ไดอะล็อกที่ค่อนข้างเป๊ะเหมือนในเกม ตามความตั้งใจของผู้สร้างที่จะคงไว้ซึ่งองค์ประกอบที่ดีอยู่แล้ว (ภายหลังก็เกิดการตั้งคำถามจากคนดูเหมือนกันว่า มันดีจริง ๆ หรือไม่ที่เล่าเหมือนเกินไป) รวมไปถึงคอนเซปต์ที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์มากกว่าเน้นบู๊ เพราะ Neil Druckmann เคยพูดเอาไว้แล้วว่า The Last of Us ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ vs ซอมบี้ หรือเน้นไปที่เชื้อราขนาดนั้น แต่เน้นเนื้อเรื่อง ประสบการณ์ และดราม่า ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้น (เรื่องเน้นบู๊) เกมต้นฉบับจะไม่ได้วางขายหรือผลิตตั้งแต่แรก 

สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเห็นจะเป็นการแคสต์สองศิษย์เก่า Game of Thrones ที่เคยรับบท Oberyn เจ้าชายหัวแตงโมอย่าง Pedro Pascal มารับบทตัวละคร Joel ที่มีเชื้อชาติละติน-อเมริกัน ที่ไม่ตรงกับต้นฉบับ และการแคสต์ Bella Ramsey หรือเลดี้หมีน้อยตัวเล็กใจกล้ามารับบท Ellie ซึ่งก่อนฉายจนถึงหลังฉาย ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ที่แตกต่างกับต้นฉบับเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่คนชมตรงกันคือเสียง อินเนอร์ และการแสดง ซึ่งนอกจากนี้ก็มีเรื่องการเพิ่ม Elements เจ๋ง ๆ เข้าไป (เดี๋ยวจะมีการพูดถึงเรื่องนี้แบบเน้น ๆ อีกที) ใส่รายละเอียดหรือฉากขยายความที่มาบางอย่างเกี่ยวกับคนและวัตถุที่ในเกมไม่มี และในส่วนที่คนฮือฮาก็คือฉากเปิดในอีพี 1 – 2 ที่ไม่มีในเกมเช่นกัน แต่ทำหน้าที่เซตโทนและสร้างความผวาในสิ่งที่เรากำลังจะเผชิญพร้อมกับตัวละครได้เป็นอย่างดี ว่าโลกต่อไปนี้น่าสิ้นหวังแค่ไหน ตรงนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวทางของผู้สร้าง Vince Gilligan อีกทีครับ ที่ชอบใช้ช่วงเปิดในการพูดบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกัน แต่เซตโทนตอนนั้นให้แข็งแรงกับ Breaking Bad และ Better Call Saul 

หรือกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเหมือนหรือต่าง สิ่งที่ผู้สร้างทั้งสองทำ คือพยายามที่สุดในการถ่ายทอดสิ่งที่จำเป็นสำหรับแพลตฟอร์มซีรีส์ ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้ง เสริมสิ่งที่ช่วยเล่าเรื่อง เพิ่มตัวละครใหม่ เจาะลึกและขยายมิติตัวละครเก่า เพื่อให้ทั้งหมดถ่ายทอดประสบการณ์เหมือนเล่นเกมและดูคัตซีนเกม The Last of Us ให้มากที่สุด เพื่อทดแทนความรู้สึกร่วมจากการควบคุมตัวละครในเวอร์ชันเกมที่หายไป โดยทาง Niel ก็ได้แสดงความตั้งใจค่อนข้างจะชัดเจนเลยทีเดียวครับว่า เรื่องนี้ถึงจะทำเพื่อแฟนเกมด้วย แต่หลัก ๆ แล้วมุ่งเน้นไปที่การทำให้ ‘คนไม่เล่นเกม’ ได้รู้จักและรัก The Last of Us เหมือนคนที่เล่นเกมรัก และหากสนใจก็ตามไปเล่นเกม แบบที่เรียกได้ว่าสร้างมาเพื่อให้ซีรีส์และเกมต่างเป็น DLC หรือภาคเสริมของกันและกัน ซึ่งจะเติมเต็มหากได้สัมผัสประสบการณ์ครบทั้งสอง แต่จะเป็นเอกเทศก็ยังได้เช่นกัน

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

ความน่ากลัวของเชื้อรา 

ก่อนจะพูดถึงคอนเซปต์ความรักและความเป็นมนุษย์ ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนใจกลางความสำคัญ จึงต้องขอพูดถึงตัว ‘เชื้อรา’ ที่เสมือนเปลือกห่อหุ้มที่ขาดไม่ได้ เป็นท่อลำเลียงตัวละครและสารเหล่านั้นกันก่อนครับ ความน่าสนใจของเชื้อราในเรื่องนี้ คือการอิงวิทยาศาสตร์กับความเป็นไปได้ แถมยังน่ากลัวมากจนดูแล้วเกิดอาการเสียวสันหลังวาบ ๆ ว่าวันหนึ่งอาจเกิดขึ้นจริงได้อีกด้วย และถ้ามันเกิดขึ้นจริง เรื่องนี้ก็ดาร์กกว่าที่คิด

ซีรีส์ The Last of Us เกี่ยวกับเชื้อราที่ Take Over มนุษยชาติ ซึ่งฉบับเกมว่าน่าสนใจแล้ว ซีรีส์ทำได้น่าสนใจกว่า ตรงการขยี้ประเด็นนี้ตั้งแต่ฉากแรกจนถึงระหว่างทางเป็นพัก ๆ ด้วยการเอาวิวัฒนาการของเชื้อราที่ต้องการอยู่รอด สืบพันธุ์ และขยายเผ่าพันธุ์ตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต มาผูกโยงกับภาวะโลกร้อนอย่างน่าขบคิดตาม ซึ่งเราเป็นคนทำให้เกิดเอง และมีการเตือนกันก่อนตั้งแต่ปี 1968 หรือ 30 กว่าปีที่แล้ว ในรูปแบบรายการที่พิธีกรล้อเลียนผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา (Epidemiologist) คารายการเป็นช่วง ๆ ความ Satire อยู่ที่วันหนึ่งเรื่องขำ ๆ กลายเป็นเรื่องจริงที่สยดสยองขึ้นมา ทั้งโลกร้อนขึ้นและเชื้อรา

ขยายความที่บอกว่าน่าสนใจ ก็เพราะกลไกของ Cordyceps (หรือถั่งเช่า aka หนอนที่ถูกเชื้อรายึดส่วนหัวและคนเอามากินกันเป็นสมุนไพร) ในการควบคุมร่างกายแมลง จนวันหนึ่งมาควบคุมมนุษย์ ซึ่งถึงแม้นักวิทยาศาสตร์บอกว่าทุกวันนี้ยังทำแบบนั้นไม่ได้ก็ตาม เพราะร่างกายเราหยุดหรือขจัดไม่ให้ถึงขนาดเชื้อราควบคุมสมองได้ แต่ก็มีโอกาสเป็นจริงมากกว่าเรื่องซอมบี้ที่คนสมองตายและร่างกายเน่าแล้วแต่ยังเคลื่อนไหวได้เลยล่ะครับ 

สิ่งที่ต่างไปจากเกม คือฉบับเกมนั้นคนติดเชื้อ (รา) ได้โดยการสูดสปอร์เข้าไป ทำให้ตัวละครในเกมต้องใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยง ในขณะที่ซีรีส์เลือกทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเอาเรื่องสปอร์ออกไป เพราะการต้องใส่หน้ากากตลอด ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านสีหน้า (ซึ่งเป็นจุดเด่นของฉบับ Live Action และสิ่งที่จำเป็นในฐานะตัวทดแทนการเล่นเองที่ว่าก่อนหน้านี้) นอกจากนี้ยังเล่าถึง Origin ของเชื้อราให้เมคเซนส์และทำให้คิดตามว่าเกิดขึ้นจริงได้อีก ด้วยการให้ข้อมูลว่าจุดกำเนิดมาจากเชื้อราในอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่เกิดเชื้อราง่ายอยู่แล้ว แถมคนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่บริโภค จึงถูกเชื้อราควบคุมอย่างกว้างขวางภายในระยะเวลารวดเร็ว โดยมีความน่ากลัวอยู่ตรงที่ไม่มีการรักษา ไม่มีการย้อนกลับ 

ทั้งหมดเป็นผลของการที่เราใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่งของมนุษยชาติ คือการปรุงแต่งแปรรูปอาหาร การทำให้โลกร้อน และนำไปสู่การล่มสลายในที่สุด จึงเกิดคำถามต่อมาว่า โลกที่ยังเหลือและคนที่ยังรอดจะมีชีวิตแบบไหน คำตอบคือโลกที่โหดร้ายกับทุกคน ไม่ปรานีไม่ว่าจะกับใครหน้าไหน สิ่งนี้ตอกย้ำและสะท้อนโดยการใส่เด็กติดเชื้อในอีพีแรกและ Clicker เด็กอีพี 5 เข้ามาครับ การที่เด็กเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และมักรอดเสมอในหนังหรือซีรีส์ แต่เรื่องนี้ไม่รอดก็บ่งบอกความซีเรียสของเชื้อราได้แล้ว กับบ่งบอกว่าโลกที่ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

นี่จึงเป็นสาเหตุที่อีพี 2 เปิดเรื่องในประเทศอินโดนีเซีย และเล่าผ่าน Dr.Ratna ผู้เชี่ยวชาญด้านเห็ดราวิทยา (Mycologist) นอกจากการใช้ Dr.Ratna ตอกย้ำความน่ากลัวและความจนหนทางในการต่อสู้กับเชื้อราชนิดที่ ‘ยอมตายยังดีกว่า’ แล้ว ยังเป็นความต้องการในการพูดถึงสถานการณ์ช่วงก่อนทุกอย่างจะเป็นอย่างทุกวันนี้และแสดงภาคส่วนอื่น ๆ ของโลกที่เกมไม่ได้กล่าวถึงให้คนเห็น อีกทั้งประเทศอินโดนีเซียยังเป็นประเทศแถบร้อนชื้น ถ้าจะมีซักที่ที่เชื้อราวิวัฒนาการได้ดีสุดและเป็นหนึ่งในประเทศหลักที่เกิดเหตุการณ์นี้เป็นที่แรก ๆ จนกลายเป็นสถานการณ์เชื้อรา Breakout ก็เห็นจะเป็นที่นี่นี่แหละครับ 

การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกี่ยวกับเชื้อราและ Setting ที่เพิ่มเข้ามา เป็นการต่อยอดและตีความโดยผู้สร้าง Craig Mazin ที่ทำได้ดีซะจน Neil Druckmann แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาอิจฉาว่าคิดได้ยังไงและเซ็งว่าทำไมตัวเขาถึงคิดไม่ได้ ทำไมถึงไม่ได้มีสิ่งนี้ในเกม จนหลุดด่า Criag ว่า “F*ck you” บ้าง “You son of a b*tch” บ้าง “You mother f*cker” บ้างอยู่ร่ำไป เช่น คอนเซปต์ในการสร้างเครือข่ายให้เชื้อราเชื่อมโยงกันและเรียกพวกได้ เพื่อเน้นย้ำว่าโลกทุกวันนี้เป็นของเชื้อราไปแล้ว และมันเป็น ‘Us’ ในแบบของตัวเอง ไปจนถึงการใส่ฉากแม่ Ellie เข้ามาในอีพีจบซีซันที่ตอบคำถามเรื่องภูมิคุ้มกันของ Ellie ได้ดี กับให้น้ำหนักกับตัวละคร Marlene มากขึ้นอีกด้วย

ส่วนที่ว่าดาร์กนั้น ก็คือเรื่องที่ว่ามนุษย์เชื้อราในสเตจแรก ๆ อย่าง Runner, Stalker และ Clicker มีแนวโน้มว่าจะยังอยู่ในนั้นครับ ในงานวิจัยและนักวิทยาศาสตร์พูดถึงเรื่องนี้ว่า ในขณะที่เชื้อราคุมร่างแมลง แมลงเหล่านั้นจะเป็นเพียงผู้โดยสารของร่างตัวเอง แต่ไม่ตายหรือไม่ได้เป็นเจ้าของร่างเหมือนเดิม ตามคอนเซปต์ที่เลี้ยงร่างเอาไว้ให้มีชีวิตเพื่อจะได้ควบคุม จึงหมายความว่ามนุษย์ก็เช่นกัน ในทุก ๆ โมเมนต์ตั้งแต่ตอนที่ถูกโจมตี ทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่น จนถึงทุกวินาที ข้างในยังคงเป็นคนคนนั้น (ไม่มีรายละเอียดว่ามองเห็นหรือรู้สึกอย่างเดียวกันหมดหรือไม่) โดยที่เจ้าของร่างได้แค่รับรู้ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

ความเป็นมนุษย์ และตั้งคำถามว่าเราเป็นใครในโลกอันผุพังใบนี้

สิ่งที่ซีรีส์ The Last of Us ทำได้โดดเด่น คือชูความเป็นจริงที่ว่าทุกคนมีชีวิตจิตใจด้วยการใช้และให้เวลากับแบ็กสตอรี ด้วยเจตนาที่ต้องการขายดราม่าความสัมพันธ์และเนื้อเรื่องเป็นหลัก จึงปรับรายละเอียดบางส่วนให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์และผลักดันด้านนี้มากขึ้น เรื่องราวเสริมสำหรับเรื่องนี้จึงมีทั้งช่วงของ Bill กับ Frank และ Ellie กับ Riley ซึ่งต่างก็เป็นสตอรีที่จำเป็นต่อการตัดสินใจและอนาคตของคู่ Joel กับ Ellie 

ผู้สร้างทั้งสองตั้งใจที่จะไม่ ‘NPC-ize’ ตัวละคร หรือมองว่าตัวละครเป็นแค่ NPC (Non-player Character) แต่ทุกคนมีเรื่องราว มีครอบครัว มีคนรัก (ทั้งเรารักและรักเรา) และมีแง่มุมที่หลากหลาย มิติตัวละครกับโมทีฟจึงเป็นสิ่งที่สำคัญลำดับต้น ๆ ที่ซีรีส์โฟกัส และจะโฟกัสได้ก็ด้วยการพาคนดูไปสำรวจแง่มุมเหล่านั้นพร้อม ๆ กับขยายโลกไปด้วย อย่างเช่นอีพี 3 ของ Bill กับ Frank ทำให้เราได้เห็น ‘ชัยชนะ’ ของคู่รักที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 2 คนจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ซึ่งจดหมายที่ Joel ไปเจอจะธรรมดาและไร้ความหมายหากเราไม่ได้เห็นเรื่องราวส่วนนี้ รวมไปถึงคนดูก็จะไม่รู้ด้วยเช่นกันว่ามันสำคัญกับ Joel และ Ellie มากแค่ไหน ซึ่งถือเป็นความกล้าอย่างมากที่ฉีกมาให้เวลาอีกเส้นเรื่องกับตัวละครใหม่ที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเช่นนี้

หรือจะเป็นในช่วงย้อนอดีต Ellie ในอีพี 7 เราก็จะได้เห็นทหาร Fedra เป็นคนดีเช่นกัน และยังได้เห็นว่า Firefly ดึงคนเข้าสู่ฝั่งตัวเองด้วยวิธีการแบบไหน ไปจนถึง (หรือท่ี่สำคัญที่สุด) แบ็กสตอรีของ Ellie ที่ถึงคราบ้าง หลังจากที่เราได้รู้ของ Jeol ไปตั้งแต่เปิดเรื่องแล้ว 

เนื้อเรื่องส่วนของ Ellie สำคัญตรงที่พาเราไปเห็นโลกที่ถูก Freeze หลังจากที่ทุกอย่างชัตดาวน์ ทุกสิ่งจึงเป็นซากปรักหักพัง และในขณะเดียวกันก็พูดอย่างเดียวกันกับเรื่องของ Bill และ Frank นั่นคือประเด็นความหลากหลายทางเพศ พอเป็นโลก Post-apocalyptic ที่ไม่ได้มีการอัปเดตชุดความคิดกับความกล้า ๆ กลัว ๆ ในการแสดงออก เพราะทั้งสงสัยในตัวเองและกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไป ทำให้เราได้รู้ว่า Ellie เองก็ผ่านการสูญเสียมา และสำหรับ Bill การมี Frank อยู่ เหมือนดอกไม้ที่งอกเงยท่ามกลางเชื้อรา กล่าวคือ เป็นพาร์ตระหว่างทางที่เราจะได้เห็นว่า ‘ความรัก’ สำคัญแค่ไหน และมัน ‘สวยงาม’ จนทะลุความน่าเกลียดและเน่าเฟะของเชื้อราได้อย่างที่เห็นเลยครับ

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

การกระทำและผลลัพธ์

นอกจากเน้นย้ำเรื่องความเป็นมนุษย์แล้ว สิ่งที่มีตั้งแต่ในเกมทั้ง 2 ภาคคือเรื่อง Cause & Effect หรือกฎ Action = Reaction ครับ ทุกการกระทำก่อให้เกิดอีกผลลัพธ์ทั้งที่คาดคิดและไม่คาดคิด เนื่องจากทุกคนต่างเป็นตัวเอกทั้งสิ้น ทำให้จุดเด่น The Last of Us คือตัวละครเรื่องนี้ ในโลกที่กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ ไร้ขื่อไร้แป ไม่มีคนดี 100% ตัวละครต่างเป็นสีเทา ต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง การกระทำของตัวละครจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และพูดยากว่าดีหรือเลว และเรามักจะได้ตั้งคำถามด้านศีลธรรมเสมอ

สำหรับกฎในเรื่อง The Last of Us มันคือ Us vs Them หรือชีวิตแบบ ‘Tribalism’ (เน้นแบ่งแยกเป็นพวกฉัน พวกมัน พวกเรา) นี่คือสาเหตุให้คนคนหนึ่งทำเพื่อตัวเองหรือพวกพ้อง ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะโต้กลับหรือเอาชีวิตอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้น อย่างในกรณีที่ Henry ที่ต้องปกป้องน้องชายหูหนวกชื่อ Sam (ในเกม Sam ไม่ได้หูหนวกนะครับ แต่ผู้สร้างใส่มาเพื่อให้ Sam ต้องพึ่งพี่ชายกว่าที่เคย และไม่มีพี่ = ตายไปแล้ว) การมีชีวิตอยู่ของน้องชายแลกมากับชีวิตของ Michael พี่ชาย Kathleen ผู้นำกลุ่มประชาชนที่ Kansas City ที่ถึงแม้พี่เธอจะเป็นคนดีและให้อภัยสิ่งที่ Henry ทำ แต่ Kathleen ก็ทำในสิ่งที่เราเองอาจจะทำเหมือนกันถ้าเป็นเธอ นั่นก็คือแก้แค้นให้พี่ 

เนื้อเรื่องของทั้งสองทำให้อดนึกไม่ได้ว่านี่เป็นการจงใจ Foreshadow หรือบอกใบ้บางอย่างในซีซันหน้า (ถ้ารู้ว่าผมหมายถึงอะไรนะครับ) ในเรื่องของการทำก่อนและเอาคืนอย่างไม่จบไม่สิ้น โดยพูดยากนักว่าอะไรคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการนองเลือด ที่มีให้มีแต่ความเข้าใจเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ในโลกของ The Last of Us ก็มีตัวร้ายอย่าง David ที่เป็นการแสดงให้เห็น 2 ประเด็นครับ คือ หนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นหากคนชั่วเรียกตัวเองว่า คนดี และ สอง ตัวอย่างของการนำศาสนาไปหลอมรวมกับอำนาจปกครอง ตัวละคร David แม้จะมีส่วนดีที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้าน Silver Lake มีชีวิตต่อไปได้ แต่เขาทำเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เพื่อให้ตัวเองมีคุณค่า เพื่อให้ถูกยกเป็นหมาป่าในขณะที่คนอื่นเป็นแกะ และเขามี ‘ด้านมืด’ กล่าวคือ เป็นคนที่อุปโลกน์ว่าตัวเองเป็นคนดี โดยที่ปกครองคนง่ายขึ้นและสร้างภาพลักษณ์ได้ง่ายขึ้นด้วยการอ้างว่า “พระเยซูพูดอย่างนี้” “พระเจ้าดำริอย่างนั้น” ทั้งที่สิ่งที่ตัวเองเชื่อที่สุดคือตัวเอง และคนประเภทนี้ชอบที่โลกล่มสลาย เพราะเขาจะได้มีบทบาทสำคัญและเป็นที่ต้องการ

การที่ David เป็นตัวละคร ‘Pure Evil’ ไม่ใช่แค่เรื่องการมีฉายาผู้กินเนื้อมนุษย์ (The Cannibal) ด้วยซ้ำ เพราะอาจต้องชั่งน้ำหนักกันอีกทีในเรื่องการอยู่รอดและถ้าหากเนื้อเหล่านั้นไม่ได้มาจากการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่เป็นจิตใจดำมืดอย่างไม่มีเหตุผลในการที่จะมืด (ไม่เหมือนการเป็นคนเทาแบบ Henry และ Kathleen) อีพี 8 เราจึงได้เห็นด้านโหดร้ายป่าเถื่อนหรือด้านมืดมิด และด้านความรักหรือด้านสว่างของสองตัวเอกผสมปนเปกันอย่างเบลอ ๆ จากการที่ Ellie ระเบิดโทสะกับ Joel ทำทุกอย่างเพื่อไปช่วย Ellie ในขณะที่สำหรับ David แล้วเขาคือคนประเภท ‘Natural Born Evil’ เลยล่ะครับ แม้จะไม่ใช่ 100% ก็ตาม

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

พ่อลูกทางจิตวิญญาณ

ในโมเมนต์ที่ Joel ช่วย Ellie พร้อมกับเรียกเธอว่า “Baby Girl” เหมือนที่เคยเรียก Sarah ลูกสาวของเขา นั่นคือโมเมนต์ที่เขายอมรับแล้วว่า Ellie เป็นลูกอีกคน แม้ในช่วงท้ายอีพี 8 Ellie จะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่โมเมนต์สำคัญนี้ก็เหมือนเป็นการจดทะเบียนรับรองพ่อ-บุตรบุญธรรมยังไงอย่างงั้น เพียงแต่แน่นแฟ้นกว่า

ถ้ามีใครซักคนที่ยังไม่ได้ดู The Last of Us แล้วถามผมว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร คิดว่าจะส่งรูปนี้ไปให้ครับ แล้วบอกว่าช็อตสุดท้ายในอีพี 8 นี่แหละคือใจความทั้งหมด แค่รูปเดียวก็บรรยายได้มากมายยาวเหยียดว่านี่คือ “เรื่องราวของชายสูงวัยกับเด็กหญิงวัย 14 ที่ไม่ใช่พ่อลูกกันแท้ ๆ แต่รักกัน ผูกพันกันเหมือนพ่อลูกระหว่างเดินทางข้ามประเทศ มีกัน 2 คนในโลกอันหนาวเหน็บ ป่าเถื่อน โหดร้าย และทั้งคู่พร้อมเผชิญหน้ากับทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทุกปัญหา ขอแค่มีกันและกัน คอยพยุงและประคองกันแบบนี้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อหรือเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะบาดเจ็บสะบักสะบอมทางกายและใจแค่ไหนก็ตาม”

ยิ่งดูจะยิ่งเห็นได้ชัดว่าธีมหลักของ The Last of Us ฉบับซีรีส์ที่มีตั้งแต่เกมต้นฉบับยังคงเป็น ‘ความรัก’ ครับ และเป็นมาตลอด เพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคนที่ลึก ๆ แล้วแสวงหาความรัก คนหนึ่งของลูกสาว คนหนึ่งขาดพ่อแม่ และคอนเซปต์นี้เป็นเรื่องของการตั้งคำถามที่ว่า “เพื่อความรักแล้ว คนคนหนึ่งจะทำอะไรได้บ้าง” 

การแคสต์นักแสดงให้ Pedro Pascal กับ Bella Ramsey มารับบทเป็น Joel กับ Ellie ที่ต้องถ่ายทอดประเด็นนี้จึงสำคัญมาก ๆ สาเหตุที่ต้องเป็น 2 คนนี้เท่านั้น ก็เพราะในกระบวนการแคสต์ผู้สร้างทั้งสองอยากได้ Pedro มาเล่นอยู่แล้ว ในขณะที่สำหรับการหาตัว Ellie เป็นเรื่องยากกว่า เพราะต้องแสดงเป็นเด็ก 14 ที่เหมือนผู้ใหญ่ 20 กว่า ๆ ได้ด้วย ซึ่งหลังจากที่คัดนักแสดงมาเป็นร้อย Bella Ramsey ไม่เพียงแต่เป็น Ellie ได้ดีจน Ashley Johnson (Ellie ฉบับเกม) บอกผู้สร้างให้หยุดแคสต์ได้เลยเพราะเราเจอ Ellie แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือทั้งคู่เป็น Joel กับ Ellie เมื่อได้อยู่ด้วยกันครับ ถ้าแยกอาจเป็นอีกเรื่อง แต่เมื่อรวมเป็นแพ็กเกจแล้ว เคมีของทั้งคู่เข้ากันและสามารถส่งต่อความไม่อยากรักจนถึงยอมรับว่ารักได้ดีที่สุดในสายตาของผู้สร้างทั้งสอง

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

ชายผู้ยอมเป็นวายร้ายเพื่อรัก

The Last of Us ในมุมมองของผม คือหนังรักที่พูดถึงความรัก ควบคู่กับการปกป้องได้หรือไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ Joel ที่ปกป้อง Sarah ไม่ได้ Joel ที่ปกป้อง Tess ไม่ได้ Bill กับ Frank ที่ปกป้องกันและกันได้ จนส่งต่อเจตนารมณ์มาให้ Joel, Henry ที่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง Sam ในขณะที่ Kathleen ปกป้องพี่ไม่ได้ กับ Joel กับ Ellie ที่ปกป้องกันและกัน มันทำให้เห็นว่าทุกคู่มี Joel และ Ellie เป็นของตัวเอง โดยทั้งหมดที่ทำไปก็เพราะ ‘ความรัก’ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ มันคือเหตุผลที่ทำให้คนคนหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ต่อและมูฟออนต่อ โดยเฉพาะในโลกแบบนี้ เพราะถ้าหากไม่มีมัน คนแบบ Joel ก็คงหวังว่าตาย ๆ ไปซะก็ดี แต่ที่เขาทำในอีพี 8 ก็เพราะสู้เพื่อ Ellie ล้วน ๆ

จุดที่ดีมาก ๆ คือจุดที่ Joel เล่าให้ Ellie ฟังในอีพีสุดท้ายว่าเขาคือคนที่ ‘ยิงพลาด’ หรือเคยจะฆ่าตัวตายเองนี่แหละครับ แต่การกระตุกด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เขาอยู่ต่อ ฉากนี้เป็นฉากโมเมนต์สารภาพกันโต้ง ๆ แบบไม่เคอะเขินที่ Joel ตระหนักว่าเขาโหยหาสิ่งยึดเหนี่ยวสิ่งใหม่มาตลอด และเรียนรู้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่เยียวยาคนคนหนึ่ง เวลาเป็นเพียงตัวส่งผ่านให้เราเจอเหตุผลที่ทำให้ลืมหรือเจอสิ่งใหม่ให้ยึดเหนี่ยวได้เพียงเท่านั้น และเขายอมรับว่าสิ่งนั้นคือ Ellie ในฉากอีพีสุดท้าย จึงเกิดเป็นท่าทีที่เปลี่ยนไปจากตอนที่ผ่าน ๆ มา จนถึงขั้นที่ว่าโอเคที่จะไม่ส่งตัว Ellie ให้กลุ่ม Firefly และใช้ชีวิตกันสงบสุข เพราะเขากับ Ellie เป็น ‘พ่อลูกกันในเชิงจิตวิญญาณ’ ไปแล้ว และสายสัมพันธ์นี้แข็งแกร่งกว่าพ่อลูกเชิง Genetic ซะอีก

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมฉากป้อนยีราฟจึงสำคัญมาก ๆ ครับ กับการตัดสินใจของ Joel เพราะมันเป็นฉากเล็ก ๆ เรียบง่าย ๆ ก็จริง แต่การที่ได้เห็นลูกสาวตัวเองมีรอยยิ้ม ได้ใช้เวลาอย่างแฮปปี้และเอ็นจอยกันแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เขาต้องการแค่นี้ ซึ่งในเมื่อ Bill กับ Frank คือเคสสุดทางที่โชว์ให้เห็นว่า ‘ชัยชนะ’ เหนือเชื้อราและมีความรักไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ยังไง กับเคสของ Henry กับ Sam คือเคสที่ ‘ไปไม่ถึง’ พยายามแล้ว แต่ไม่เฉียบขาดและไม่มีอำนาจพอที่จะกำจัดอุปสรรคได้ Joel จึงต้องเลือก และสิ่งที่เขาเลือกคือทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้อยู่กับลูกสาวไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ไม่เช่นนั้นแล้วเขายอมตายดีกว่าหากชีวิตไม่มีความหมาย

ในฉบับเกม เราได้เห็นว่าสิ่งที่ Joel ทำนั้นเป็นสิ่งที่ถ้าพระเจ้ามีจริงจะต้องลงโทษแน่ ๆ เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว หรือจริง ๆ ต้องบอกว่าเป็น ‘ตัวร้าย’ เลยล่ะครับ ทั้งในสายตาคนดูและในสายตาคนอื่น แต่ถามว่าเข้าใจได้ไหม ซีรีส์ทำให้เราเข้าใจ Joel ได้อย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุผลประกอบที่สั่งสมมาตลอดการเดินทางกับ Ellie พร้อมชวนเราคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำมันหรือไม่

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระเอกหรือตัวร้าย สิ่งที่ Joel เป็นคือก็มนุษย์คนหนึ่งที่มียีนเห็นแก่ตัว และปกป้องลูกเหมือนที่สิ่งมีชีวิตทุกประเภทตามธรรมชาติทำ ผนวกรวมไปกับความรู้สึกอยากทำเพื่อเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ของตัวเองในเบื้องลึก ฉะนั้น เพื่อการนี้ Joel จึงยอมทุกอย่าง และโกหก Ellie หลังจากช่วยชีวิตเธอออกมา (โดยที่ Ellie รู้ ผู้สร้างบอกว่าเธอเป็น ‘B*llshit Detecter’ เลยล่ะครับ) เหมือนที่ Anna โกหก Marlene เพื่อให้ลูกของเธอรอด (และ Marlene ก็รู้เช่นกัน)

ซึ่งสำหรับ Joel แล้ว เขาเคยอุ้มลูกสาวและปกป้องเธอไว้ไม่ได้มาครั้งหนึ่งแล้วในอีพีแรกที่มีชื่อว่า When You’re Lost in the Darkness ในอีพี 9 ที่ชื่อ Look for the Light เขาจะไม่พลาดอีกครับ และจะไม่ยอมอีกต่อไปเมื่อตัวเองเคยตกสู่ก้นบึ้งที่เต็มไปด้วยความมืดมิดจนในที่สุดได้เจอแสงสว่างของตัวเองแล้ว แม้กระทั่งว่าเขาเป็นความมืดมิดของหมอที่ถูกยิงในห้องผ่าตัดและทหาร Firefly คนอื่น ๆ ก็ตาม คำตอบที่ได้อย่างไม่ลังเลคือลูกกระสุนและนิ้วลั่นไก ราวกับพูด F*ck you ให้กับทางรอดมนุษยชาติ เพราะสำหรับ Joel มันไม่สำคัญเท่ากับเขาและเธอที่รวมกันเป็น ‘Us’ ผู้ไม่แพ้

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

ชมไปเยอะแล้ว จริง ๆ แล้วหากพูดกันตามตรง เรื่องข้อเสียของ The Last of Us ก็มีให้เห็นเหมือนกันนะครับ คือการที่เวลามีจำกัดและมีเพียง 9 อีพี ถึงจะรวบอีพี 1 และ 2 เดิมเป็นอีพี 1 ก็เถอะ แม้อีพีที่ให้เวลาเต็ม ๆ จะสำคัญ และส่งผลต่อโมเมนต์สำคัญช่วงท้ายก็จริง แต่ช่วงท้ายก็แอบรู้สึกถึงความเร่งรัดไปบ้าง รวมถึงความรู้สึกและประสบการณ์ร่วมบางอย่างอาจไม่ถึง ไม่พอ สำหรับบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Clicker ที่ช่วงหลังหายหน้าหายตาจนคนดูบ่นคิดถึงกันเลยทีเดียว รวมไปถึงเรื่องที่ส่วนใหญ่แล้วแทบจะถอดจากเกมมาเป๊ะ ๆ จนหมดความรู้สึกเซอร์ไพรส์ กับถ้าเพิ่มอรรถรสในบางจุดและให้เวลากับมันมากกว่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย

แต่อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้วก็ไม่กระดากปากเลยครับที่จะเรียก The Last of Us ว่า ‘Best Game Adaptation’ และชมว่าเป็นซีรีส์ที่งานดีที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะขณะที่ดูและทั้งฟังพอดแคสต์ผู้สร้างคุยกันหลังดูจบ รวมถึงเมื่อหาอ่านหาฟังเกี่ยวกับเบื้องหลังแนวคิด ซีรีส์เรื่องนี้กับเกมต้นฉบับมีแนวคิดที่ละเอียด แน่น รอบด้าน และมีคำอธิบายแทบทุกอย่าง จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีรากฐานละเอียดกับคิดมาดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลย ส่งผลให้คุณภาพแน่นตาม ตั้งแต่ตัวบทไปจนถึงโปรดักชัน ซึ่งเมื่อมองว่านี่เป็น ‘HBO Drama’ ที่ปกติจะเน้นความเข้มข้นในเนื้อเรื่อง ภาพ คำพูดคำจา เน้นมิติตัวละครกับไดอะล็อก และทุนหนา กับความเป็นจริงที่ว่า ซีรีส์ทำเพื่อคนไม่เล่นเกมกับทั้งสองสื่อเสริมกันและกันแล้วแล้ว ยิ่งเข้าใจและยอมรับกับมันได้ 

ข้อดีของการเป็น Adaptation คือความ Cinematic โดยใช้นักแสดงที่แสดงสีหน้าชัดกว่าเกม มุมกล้องหวือหวากว่า และการเนรมิตฉากด้วยทุนสูง ๆ และซีรีส์ก็ถือว่าใช้ตรงนี้ได้คุ้มค่าเลยทีเดียวครับ (แม้จะอยากเห็นแอ็กชันมากกว่านี้อีกซักนิดก็ตาม) กล่าวได้ว่า โลกเราไม่ใช่แค่ควรมี The Last of Us เวอร์ชันใดเวอร์ชันหนึ่ง แต่ควรมีทั้ง 2 เวอร์ชันแบบนี้นี่แหละ เพื่อที่จะเติมเต็มกันและกันได้

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่ว่าด้วยเชื้อรา ความหมายของความรัก กับเราสองในโลกที่ผุผัง

อนาคตของ The Last of Us 

สำหรับอนาคตของ The Last of Us เบื้องต้นมีการประกาศแล้วครับว่าจะมีซีซัน 2 แน่นอน โดยซีซัน 2 ดัดแปลงจากเกมพาร์ต 2 ที่ว่าด้วยมุมกลับของความรัก แต่ยังพูดถึงสิ่งที่คนเราทำได้ และเส้นทางระยะไกลที่เราพร้อมจะออกเดิน เพราะรักใครซักคนสุดหัวใจเหมือนเดิม 

โดยในการดัดแปลงนี้ Neil Druckmann ออกมาบอกว่าซีซันต่อ ๆ ไปจะแตกต่างเป็นเอกเทศมากขึ้น ไม่ได้เหมือนเกมเป๊ะ ๆ เหมือนซีซัน 1 หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงดีเทลฉีกไปจากเกมพอสมควรครับ แต่ยังคงไว้ซึ่งธีมหรือใจความหลักและเหตุการณ์สำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ เป้าหมายของทั้งสองคนคือไม่ทำให้ยืดยาวและจะไม่ทำลายเกมอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะซ้ำรอย Game of Thrones ที่ขาด Source Material ในการหยิบมาใช้ ซึ่งสำหรับพาร์ต 2 จะดัดแปลงเป็นซีรีส์มากกว่า 1 ซีซัน หรือขั้นต่ำน่าจะมีราว ๆ ซีซัน 2 – 3 หรือมากกว่านั้นหากมีเกมพาร์ต 3 และจะมีการปรึกษา Bella Ramsey ในทิศทางต่อจากนี้และตัวละคร Ellie ให้มากขึ้นด้วยครับ The Last of Us ซีซัน 1 มีให้ชมครบ 9 อีพีแล้วทาง HBO GO และสำหรับซีซัน 2 คาดว่าจะกลับมาเร็วสุดไม่ปลายปี 2024 ก็ต้นปี 2025 เลยทีเดียวครับ

เจาะลึก The Last of Us ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากเกมดัง ฉายภาพความรักผ่านโลกที่ผุผังเพราะเชื้อรา
ข้อมูลอ้างอิง
  • www.vice.com
  • www.shacknews.com
  • www.escapistmagazine.com

Writer

Avatar

โจนี่ วิวัฒนานนท์

แอดมินเพจ Watchman ลูกครึ่งกรุงเทพฯ-นนทบุเรี่ยน และมนุษย์ผู้มีคำว่าหนังและซีรีส์สลักอยู่บนดีเอ็นเอ