เมื่อถึงเวลาแห่งการพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าที่ได้พบเจอมาตลอดทั้งวัน เรานั่งพักหายใจพร้อมกับเปิดโทรทัศน์เพื่อหาความบันเทิงเข้าตัว ภาพของหญิงสาววัย 20 ปลาย ๆ คนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอสี่เหลี่ยม เธอยืนอยู่บนเวทีที่เต็มไปด้วยคนดู แสง สี เสียง พร้อมกับคณะกรรมการทั้ง 4 คน ซึ่งเป็นศิลปินระดับต้น ๆ ของประเทศ ที่กำลังนั่งหันหลังให้เธอ บนเก้าอี้สีแดงใหญ่ ในรายการ The Voice All Stars
แต่ควันหลง ภาพจำที่เคยมี และน้ำเสียงที่คุ้นเหมือนเคยได้ยินเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนจากรายการเดิม ทำให้เราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าเธอคือใคร แต่ยังไม่ทันไรทุกอย่างก็กระจ่างชัด เมื่อโค้ชทั้ง 4 คนกดปุ่มสีแดงเพื่อหันหน้ามาอยากทำความรู้จัก และการแนะนำตัวก็เกิดขึ้นว่า เธอคือ ปราง-ปรางทิพย์ แถลง
จากเสียงอันแพรวพราวที่ฟังแล้วนำพาความรู้สึกไปอยู่ร่วมด้วยบนเวทีผ่านทางหน้าจอ ตอนนี้บุคคลที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเรา พร้อมพูดคุยเรื่องราวชีวิตและตัวตนที่น้อยคนจะรู้ รวมไปถึงแบ่งปันแรงบันดาลใจบนเส้นทางของการเรียน เล่น เต้น ร้อง หรือการกลับมาบนเวที The Voice อีกครั้ง ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ภายใต้พรสวรรค์เรื่องการร้องเพลงแต่เต็มไปด้วยพรแสวง ภายใต้คาแรกเตอร์ดุดันบนเวทีแต่เต็มไปด้วยความอ่อนไหว อ่อนโยนบนชีวิตจริง ภายใต้ของการทำงานหนักไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เป็นครอบครัว และภายใต้เสียงร้องที่ดีเป็นเอกลักษณ์แค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะลงแข่งได้ทุกเวที เพราะครั้งหนึ่ง เธอเคย ‘ถูกขอร้องไม่ให้ลงแข่ง’
แต่สิ่งต่าง ๆ ล้วนเป็นชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์สู่การเป็นปรางทิพย์ในปัจจุบัน และจิ๊กซอว์ชิ้นนี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์พอ ๆ กับการแข่งขัน The Voice All Stars ในรอบ Final จะมาถึงในเร็ววัน ด้วยความสงสัย เราจึงแอบถามเธอถึงรอบไฟนอล
เธอยิ้ม และทิ้งท้ายคำตอบเอาไว้บนคอลัมน์นี้อีกเช่นกัน
คุณเป็นคนชอบแต่งตัว ลุควันนี้ได้แรงบันดาลใจจากอะไร
วันนี้เป็น Everyday Look ลุคธรรมดา ไม่ได้ขิงนะ แต่นี่คือธรรมดามาก ๆ (หัวเราะ)
เวลาออกจากบ้าน เราอยากแต่งตัวให้ดี นอกจากจะอยู่แถวซอยวัดส้มเกลี้ยง ถึงจะยอมใส่ชุดนอนโทรม ๆ ส่วนวันนี้เป็นลุคสบาย ๆ แต่ก็แอบไม่สบายเพราะมีคอเต่า งงนะ ซึ่งการแต่งตัวก็แล้วแต่อารมณ์ บางวันอยากเปรี้ยว แต่ส่วนมากชุดในบ้านจะเป็นสีดำหมด เพราะเป็นคนที่ใส่สีดำแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีพลัง
สีดำเลยเป็นสีมงคลของคุณ
ไม่รู้เหมือนกัน แต่สีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีพลังในการดำเนินชีวิต ส่วนมากชุดร้องเพลงก็เป็นสีดำหมดเลย เวลาใส่สีดำแล้วรู้สึกว่าจะพบเจอแต่ความโชคดี และพอเป็นนักดนตรีใส่สีดำเวลาอยู่บนเวทีก็โดดเด่น อย่างสีดำที่มีกลิตเตอร์วิบวับ หรืออาจจะเป็นรูปแมว อะไรก็แล้วแต่ แต่ขอให้เป็นสีดำ
เป็นคนชอบแต่งตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อก่อนเรายังแต่งตัวบ้านนอกอยู่ เคยโดนผู้ชายด่าครั้งหนึ่งว่า ‘เธอแต่งตัวลูกทุ่งมากเลย’ เราเลยพัฒนาและเสพแฟชั่นไปเรื่อย ๆ หาแนวที่ชอบ สุดท้ายเจอว่าตัวเองชอบสไตล์โกธิคนิด ๆ ออกแนวผี ๆ แนวตุ๊กตา กรีดขอบตาอะไรประมาณนั้น โกธิคเป็นแนวคริสต์ แต่ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มันก็ดูไม่เหมาะ ดูแบบแปลก ๆ ช่วงหลัง ๆ มาที่ร้องเพลง คนเข้าถึงเรายาก ก็เลยต้องเปลี่ยนลุคให้ดูสดใสขึ้น
ปรางทิพย์เติบโตมาในครอบครัวแบบไหน
ยากจน ไม่รู้ทำไมนักร้องส่วนมากถึงต้องยากจน (หัวเราะ)
เราเติบโตมากับการร้องเพลงเพื่อหารายได้เพิ่มเติมให้ครอบครัว แม่เป็นแม่บ้าน ส่วนพ่อเป็น รปภ. อยู่ที่เชียงราย ได้เงินเดือนไม่ถึงหมื่น แต่ต้องเลี้ยงลูก 2 คน น้องสาวสายเลือดเดียวกันชื่อ นางสาวกุลสตรี แถลง แต่จริง ๆ แล้วเหมือนสุภาพบุรุษ น้องสาวเป็นคนแซ่บมาก สักทั้งตัว นางสไตล์คล้ายกันเลย และร้องเพลงเพราะด้วย เชื่อไหมว่าเคยประกวดเวทีเดียวกันแล้วชนะเรา เอาสิ
ชีวิตวัยเด็กเราก็ปกติ ไปโรงเรียน ไปประกวดร้องเพลง ที่บ้านก็สนับสนุนมาก เพราะเป็นอีกหนึ่งรายได้ของครอบครัว แม่เป็นคนไปส่ง ถ้าแม่ไม่ว่าง พ่อจะไป แต่เวลาพ่อไปเชียร์เวทีไหนจะแพ้ เลยไม่ชอบให้พ่อไป (หัวเราะ)
ชีวิตตอนนั้นผ่านไปไวมากนะ เพราะไม่ต้องคิดอะไร มีหน้าที่แค่ไปร้องเพลงกับไปโรงเรียน แต่พอโตขึ้นต้องรับผิดชอบครอบครัว เพราะเราเป็นเสาหลัก เลยรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปช้า
คุณผ่านเวทีประกวดมาเยอะมาก ยังจำการประกวดร้องเพลงครั้งแรกได้ไหม
ตอนนั้น 7 ขวบ มีคุณครูที่โรงเรียนชื่อครูชาติ ครูชาติเห็นแววว่าเราร้องเพลงได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแกไปได้ยินเราร้องเพลงตอนไหน งงเหมือนกัน (หัวเราะ) เริ่มจากประกวดร้องเพลงงานวันแม่ที่โรงเรียน ได้ที่ 2 ได้รางวัลเป็นสมุดกับดินสอ
แล้วคนที่ได้ที่ 1 ตอนนี้เป็นยังไง
ไม่รู้ หายตัวไปเลย แต่ตอนนั้นเราแค่ร้องเพลงเพราะอยากได้สีกับสมุด
หลังจากนั้นก็ตระเวนประกวดเรื่อย ๆ เหมือนว่ารายการแรกจะเป็น น้าต๋อย เซมเบ้ ยุคนั้น ช่อง 9 การ์ตูน ดังเว่อร์ เขามาจัดงานที่บิ๊กซี เชียงราย เราก็ไปร้องเพลงประกอบการ์ตูน ซึ่งภายในงานมีลูกท่านหลานเธอแต่งชุดอลังการ ส่วนเราแต่งชุดธรรมดา ๆ ไปร้อง แต่ได้ที่ 1 แม่ก็น่าจะเห็นแวววันนั้นแหละ
ตอนนี้ครูชาติก็ยังอยู่เชียงรายนะ แต่ไม่ค่อยได้ไปหาแกเลย เขาคือแมวมองคนแรกของปรางทิพย์ค่า (ลากเสียง)
ผ่านมาแล้วกี่เวที
โอ้โห ก็เกือบร้อยนะ ที่บ้านมีแต่ถ้วยรางวัล เพราะสมัยก่อนจังหวัดเชียงรายเขาจัดกิจกรรมเก่ง หนูน้อยนั่น หนูน้อยนู่น หนูน้อยนี่ หนูก็ไปไง นั่งมอเตอร์ไซค์ซ้อน 3 ก็ไป ขี่ไปกับแม่และน้องสาว จะแต่งชุดสวยยังไงก็ช่าง เราขี่มอเตอร์ไซค์ไปกันทุกงาน แต่เราแข่งแค่ในต่างจังหวัด ยังไม่ค่อยคิดเรื่องจะเอายังไงกับชีวิตดี
เด็กหญิงปรางทิพย์เรียนเก่งไหม
เรียนไม่เก่ง หัวจะมาทางด้านศิลปะและภาษา เพราะจริง ๆ แม่พูดภาษาอังกฤษพอได้อยู่แล้ว เราก็ซึมซับจากเขาทั้งที่เขาก็ไม่ได้สอนเราโดยตรง และประจวบกับได้เรียนศิลป์ภาษาอังกฤษ เอกภาษาอังกฤษ เพราะที่บ้านไม่ได้บังคับว่าต้องเรียนอะไร หัวนี่ไม่ได้ไปทางด้านคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เลย เคยลองเรียนแล้วตอนมัธยมต้น มันไม่ได้ เพราะเราลอกการบ้านเพื่อนทุกเช้า เรียนไม่ไหว เขียนไม่เก่ง ไปทางภาษาดีกว่า ชอบ รู้สึกว่าหัวสมองมันจำได้ไวกว่า
คุณฝึกฝนการร้องเพลงยังไง
แม่สอนบ้าง ตอนเด็ก ๆ อ่านหนังสือไม่ค่อยเก่งหรอก แม่ใช้วิธีร้องให้ฟังรอบสองรอบก็จะจำได้ และแม่ก็เป็นคนเลือกเพลงให้เวลาไปประกวด เขาจะชอบไปซื้อซีดีที่แม่สาย เพราะบ้านอยู่เชียงราย ก็ไปซื้อแผ่นก๊อป (หัวเราะ) แล้วก่อนที่พ่อจะมาเป็น รปภ. เขาเคยเป็นสรรพสามิตมาก่อนแต่ยังไม่ได้บรรจุ เขาจับของเถื่อน แต่ไม่ได้เอาของเถื่อนมาให้ลูกนะ แค่เวลาไปเดินแม่สาย ถ้าเจอซีดีที่คิดว่าลูกน่าจะร้องได้ เขาก็ซื้อมา ถ้าไม่ที่แม่สายก็ตลาดพุ่มพวง
อย่างเพลง คุณลำไย แม่ก็เลือก เมื่อก่อนดังไม่ไหว ประกวดอยู่นั่นแหละเพลง คุณลำไย ร้องอยู่นั่น ชนะด้วยนะ
หรือครั้งหนึ่งแม่เลือกให้ร้องเพลง ลลิตพระลอ ตอนนั้นเป็นเวทีจังหวัด เป็นงานลิ้นจี่ ของดีประจำจังหวัด แล้วก็มีเวทีประกวดร้องเพลง แต่ละหมู่บ้านก็จะมาเชียร์คนจากหมู่บ้านตัวเอง แต่ครั้งนั้นคนหมู่บ้านอื่นก็มาเชียร์เราด้วย เอาพวงมาลัยมาให้ เราเลยได้ทั้งรางวัลที่ 1 และรางวัลขวัญใจมหาชน
ประกวดมาเป็นร้อยเวที ชนะกี่เวที
เราชนะ ๆ มาตลอด อันนี้ไม่ได้ขิงนะ แข่งชนะจนบางเวทีขอให้เด็กหญิงปรางทิพย์ แถลง ไม่ลงแข่งได้ไหม แค่มาโชว์แล้วรับซอง เพราะอยากให้คนอื่นชนะบ้าง แม่เลยบอกไปว่าการแข่งขันก็ต้องแข่งกับคนที่เก่งสิ เขาเป็นสายนักสู้ เพราะเจออะไรมาเยอะจากการพาลูกประกวด โดนโกงเงินบ้าง โกงให้ไม่ได้ที่หนึ่งบ้าง แต่เวทีที่ถือว่าจริงจังจริง ๆ น่าจะเป็น The Voice นี่แหละ เพราะนั่นคือการออกจากเชียงราย นั่นคือสนามจริง
การเป็นที่ 1 มาโดยตลอดทำให้คุณเป็นคนมีอีโก้หรือเปล่า
ไม่มีเลย เรารู้สึกธรรมดามาก ตอนแข่งสมัยเด็กแค่คิดว่าอยากได้เงินรางวัล อยากได้ถ้วย คิดว่าเราต้องการเงินเพื่อที่จะไปจุนเจือครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้มีอีโก้ ไม่ได้นึกถึงตรงนั้นเลย
เราไม่แม้กระทั่งคิดว่าตัวเองเป็นที่ 1 ของเชียงราย เพราะเชียงรายมีศิลปินเยอะมาก เป็นเมืองศิลปิน เราไม่ได้คิดว่าต้องชนะ แต่คิดว่าจะนำเสนอตัวเองยังไงให้คนจดจำว่าเราเป็นเรา เรามีความเป็นตัวของตัวเองสูง เรื่องอีโก้นี่ตัดทิ้งไปเลย
ความเป็นปรางคืออะไร
ต้องร้องเพลงให้คนจดจำ เป็นผู้นำเทรนด์ในเรื่องของการร้องก็ดี เสียงร้องแบบนี้ การร้องแบบนี้ เราเป็นลูกทุ่งหันมาร้องฟิวชัน ข้ามมาร้อง R&B ไปจนถึงภาพลักษณ์ที่คนมองเข้ามา เห็นผมทรงนี้ต้องเป็นปราง เห็นรอยสักนี้ต้องเป็นปราง ผิวแบบนี้ต้องเป็นปราง หน้าตาแบบนี้ต้องเป็นปราง
การผ่านเวทีมามากมายก่อนจะมาเจอกับเวทีใหญ่ ช่วยปรางในฐานะนักร้องคนหนึ่งยังไง
มันมาช่วยจริง ๆ คือหลังประกวด The Voice เป็นชีวิตจริงที่มาอยู่กรุงเทพฯ เราต้องทำตัวยังไง ต้องทำงานยังไง ต้องเจอคนยังไง ต้องใช้ชีวิตยังไง ต้องพูดยังไง ต้องใช้ความคิดยังไง เราไว้ใจใครได้บ้าง
6 – 7 ปีที่สะสมประสบการณ์มา จนมาถึงเวที The Voice All Stars เรารู้สึกว่าตัวเองสมบูรณ์แบบมากขึ้น เพราะได้ฝึกจากประสบการณ์และคนรอบข้าง เราเป็นปรางที่เก่งขึ้น เสียงดีขึ้น หลังจาก The Voice เราไปอยู่กับ NATHA Project ฝึกตัวเองจนได้เข้า The Mask Line Thai สมมติเราจะร้องไทย แต่ไทยมีอะไรบ้าง แจกแจงเป็นแหล่ ร่ายกลอน ฉ่อย และอีกเยอะมากที่เราต้องเรียนรู้ ทั้งหมดสอนเราในเรื่องโอกาส ถ้าไม่พร้อม ต่อให้มีโอกาสเข้ามา เราก็จะไม่ได้ บังเอิญว่าโอกาสมาแล้วเราต้องพร้อม เราสมบูรณ์แล้ว เราเลยได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง
คำว่าสมบูรณ์ของปรางคืออะไร
เสียง ความแข็งแรงของเสียง ความรู้ในเรื่องของการร้องเพลง ความรู้ด้านเทคนิค อาวุธที่จะเอาไปสู้กับคนอื่น มันพร้อมมาก ๆ โดนฝึกอย่างหนัก ถ้าสังเกตจะเห็นได้ว่า The Voice รอบแรกกับตอนนี้ เสียงเราเทียบกันไม่ได้เลย
การฝึกให้เป็นนักร้องที่สมบูรณ์แบบต้องทำอะไรบ้าง
เรียนแล้วเรียนอีก เริ่มจากตอนเช้าตื่นมาวิ่งออกกำลังกาย บริหารเสียง และฟังเพลงเยอะมาก วัน ๆ ไม่ทำอะไรเลย ฟังแต่เพลง เพราะต้องเอาเทคนิค เราคุยเรื่องเพลงกับศิลปินคนอื่นในค่ายทุกวัน ซึมซับเรื่องเพลงทุกวัน เรียนร้องเพลงทุกวัน แทบจะอยู่กับการร้องเพลง 24 ชั่วโมง เหลือแค่ตอนหลับเท่านั้นเอง เป็นแบบนี้ทุกวันอยู่หลายปี ช่วงนั้นเราไม่มีงานด้วย กระแสหาย ทำได้แค่ฝึก ๆๆๆ ทุกวัน
จุดเปลี่ยนในชีวิตมีกี่ครั้ง และในแต่ละครั้งสอนอะไรบ้าง
เราว่าเราไม่มีจุดเปลี่ยน ชีวิตเราเหมือนเดิม แค่ได้เจอสิ่งดี ๆ มากขึ้น เราไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดังเป็นพลุแตกเลยนะ ยังรู้สึกเฉย ๆ อย่างครอบครัวเราก็เป็นคนบ้าน ๆ ก็เลยมีชีวิตติดดินแบบบ้าน ๆ แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นทุกปีคือแฟนคลับและงานที่มากขึ้น ได้ไปออกรายการดี ๆ เวทีดี ๆ คนรู้จักมากขึ้น
แต่ถ้าจะมีเปลี่ยนคือคนรอบข้างปฏิบัติกับเราต่างไป เขาเกรงใจขึ้น เรียกเรา ‘คุณ’ จากที่เคยเป็น ‘อี’ (หัวเราะ) ตัวเราเองไม่ได้รู้สึกเปลี่ยน เราเหมือนเดิม แค่พ่อแม่เราสบายขึ้น
ตอนนี้ยังมีเพื่อนสมัยเด็กอยู่ไหม
มี แต่เพื่อนก็มีลูกมีผัวกันหมดแล้ว จะ 30 กันแล้ว มีครอบครัวกันไปหมด (หัวเราะ)
ถ้าวันไหนไม่ได้ร้องเพลง ปรางทำอะไร
ทำงานบ้าน ดูแลแมว เก็บขี้ให้แมว แต่ช่วงนี้ไม่ว่างเลยเพราะผลิตภัณฑ์เพิ่งออก ปรางต้องทำงานทุกวัน และกลับกลายเป็นว่ามันมีอะไรทำมากขึ้น จนบางครั้งรู้สึกเหนื่อยและหายใจไม่ทันเพราะทำงานเยอะ เราคุยกับตัวเองว่า ‘อย่าไหลตายนะ วันพรุ่งนี้มีงาน’ (หัวเราะ) มันเหนื่อยเพราะช่วงหลัง ๆ งานเยอะมาก แต่ชินแล้ว
และช่วงนี้เราจะตื่นเช้าหน่อยมาเปิดร้านใน Facebook แบบว่า ‘เปิดร้านแล้วนะค้า’ ฟิลเหมือนเล่นขายของเลยสนุกมาก
มีแมวกี่ตัว
ตอนนี้ก็หลายตัว รวมถึงแมวที่หาบ้านด้วย เมื่อก่อนอาจจะถึง 10 ตัวแต่ตอนนี้ไม่ถึงแล้ว หลัก ๆ จะเป็นโมอาน่า โมอาน่านี่มีแฟนคลับด้วยนะ แฟนคลับหนูก็จะเป็นแฟนคลับมัน เจอมาจากซีคอนบางแคและเขาพูดเก่งมาก คุยได้ พูดโต้ตอบได้ ใครบอกแมวไม่รู้เรื่อง แต่โมอาน่ารู้เรื่อง มีความเป็นพญา ความเริ่ดเชิดในตัว
ใครบอกมีแมวแล้วหายเหงา เหงากว่าเดิม (หัวเราะ)
ปรางชอบฟังเพลงแนวไหนและมีไอดอลเป็นใคร
เราร้องเพลงไทยแต่ฟังเพลงสากลเยอะมาก เลยมีอาวุธเยอะ อย่าง Ariana Grande ก็ฟัง ฟังเทคนิคเขา ฟังทุกคนเลย ส่วนมากชอบฟัง Cover ที่มาทำเป็น Mashup รู้สึกว่าเทคนิคในนั้นเยอะดี เปิดวนไป แล้ว YouTube มันจะรันเรื่อย ๆ เราก็จะเจอคนอื่น ๆ เพื่อเก็บเทคนิคต่าง ๆ มาใช้กับเพลงที่เราต้องร้อง แต่ต้องยอมรับว่าภาษาของเรามีความเปิดปากหรือว่าอ้าปากได้ไม่เท่าภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นเราก็จะโดนจำกัดเรื่องการใช้เสียงด้วย
ส่วนไอดอล ถ้าตอนนี้ก็ต้องเป็น Ariana Grande เราชอบความน่ารัก ชอบลุค และเขาใช้เทคนิคต่าง ๆ มีเสียงแหบนิด ๆ
ศิลปินที่ดีสำหรับปรางต้องเป็นยังไง
ถ้าเราพูดมันจะเป็นไรไหม สังคมไทยไม่เหมือนเมืองนอก เรามองว่าการที่มาเป็นศิลปินไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีเพื่อใคร หรือเป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อเด็กคนไหน เพราะเรามาเป็นศิลปินไม่ได้มาเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับใคร แต่สิ่งที่เราทำได้คือการอยู่ในสังคมโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราทำหน้าที่เป็นนักร้องที่ดี ไม่มาสาย เต็มที่กับงาน ทำให้ลูกค้าประทับใจ เป็นคนที่ดีของแฟนคลับ เอาใจเขามาใส่ใจเรา และก็ไม่โอ้อวด นั่นคือศิลปินที่ดีสำหรับเราแล้ว
เรื่องที่ยากที่สุดของการเป็นคนมีชื่อเสียงคืออะไร
น่าจะเป็นเรื่องของแฟนคลับที่เราควบคุมไม่ได้ เราอาจจะโดนคุกคามจากการใช้คำพูด การด่าทอ และการคอมเมนต์ต่าง ๆ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนรักเรา คนที่ไม่รักอาจจะใช้คำพูดรุนแรง บางครั้งถึงขั้นทำให้ศิลปินคนนั้นเป็นโรคซึมเศร้าเลยก็ได้นะ ตัวหนังสือพวกนี้ยังไงก็ผ่านถึงเรา ขนาดปรางไม่ได้อ่านคอมเมนต์ใน YouTube ก็ยังตามมาด่าถึงในไอจี คนที่ด่าไม่เคยอยู่ในจุดที่เราอยู่ เขาไม่รู้ว่าการจะมายืนจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราเหนื่อยมากแค่ไหน เจ็บปวดแค่ไหน อย่างรอบ Battle ที่ผ่านมา ก็โดนด่าว่า ‘กะหรี่อะ มึงไม่สมควรได้ร้องเลย’ มันรุนแรงมากสำหรับเรา
ในเมื่อจัดการความคิดเห็นคนอื่นไม่ได้ คุณบรรเทาทุกข์นี้ยังไง
ทุกวันนี้ก็ยังจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้นะ แต่พอโตขึ้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องไปด่ากลับเหมือนแต่ก่อน ถ้าเป็นตอนนั้นด่ากลับแน่ ด่าจนแฟนคลับเลิกติดตามเพราะเราเอาแต่ด่า นั่นคืออีกบทเรียนหนึ่ง ซึ่งในมุมของเรา อยากให้เข้าใจว่า เราโดนด่าขนาดนั้น บางครั้งก็ต้องปกป้องตัวเอง
พอโตขึ้นเราปล่อยผ่าน เรานิ่งขึ้น การยืนระยะอยู่ตรงนี้ทำให้เรานิ่ง นิ่งแบบสยบทุกอย่าง และหันมาโฟกัสที่ตัวเองกับสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากกว่า
ปรางเข้าวงการตอนอายุเท่าไหร่
ตอนนี้หนูเข้าวงการแล้วหรอ (หัวเราะ) ถ้านับจากประกวด The Voice ตอนนั้นก็ 21 ตอนนี้ 28 เกือบ 10 ปี
โตขึ้นเยอะไหมใน 7 ปีที่ผ่านมา
แมวอะโต (หัวเราะ)
จาก The Voice ครั้งแรกมา The Voice All Stars คุณโตขึ้นยังไง
เราโตพอที่จะไม่ไปยุ่งกับคนที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ต่างคนต่างทำงาน ใครคุยได้ก็คุย แต่เราจะมีกำแพงเพราะไว้ใจคนยาก ความสดใสบางส่วนของเราหายไป ความเป็นคิตตี้ตะมุตะมิของเรากลายเป็นคนหยาบกร้านมากขึ้น มีกำแพงแน่นหนามากขึ้น
ปรางจำคำ พี่เก่ง (ธชย ประทุมวรรณ) บอกเสมอว่า ‘ครั้งหนึ่ง ถ้ามึงมีโอกาสที่มึงสามารถให้โอกาสคนอื่นได้ มึงจงให้’ ทุกวันนี้ถ้าใครมีเรื่องที่เราช่วยได้ เราก็ยังให้เต็มที่
เราหยาบกร้านก็จริง แต่ก็มีความอ่อนโยนกับคนที่อ่อนโยนกับเรา
ปรางในวัย 28 อยากทำอะไรที่สุด
อยากทำธุรกิจ ตอนนี้ก็เก็บตังค์มาทำแบรนด์ผิวของตัวเอง ในอนาคตอยากทำร้านเหล้าสามช่า แล้วจะจ้างคนในวงการมาร้องเพลง เต้น เล่นตลก
ร้านปรางทิพย์จะสนุก ใครเมา ใครอยากเต้น ได้หมด เต้นตั้งแต่หน้าร้านมาได้เลย ทุกมุมต้องถ่ายรูปได้ เสิร์ฟเหล้าเป็น Bucket ออกแบบให้มีสีสัน แบบใช้หลอดเว่อร์ ๆ แต่เราไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่นะ
พอได้ทำธุรกิจ พบว่าตัวเองมีหัวธุรกิจไหม
มีมาก ๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าจะขายดี การอัดคลิปขายของมันยากมากนะ ตอนแรกไม่อยากทำเลย พูดผิด ๆ ถูก ๆ พูดไปเรื่อย แต่พอหลัง ๆ ที่เราเอ็นจอยกับมันก็ลื่นไหลมาก อัดคลิปได้ 10 – 20 คลิปต่อวัน ไหนจะต้องประชุม พอประชุมเหมือนทุกอย่างมันอยู่ในหัวเราหมดเลย เสนอและวางแผนได้เลย ที่สำคัญเรามีทีมที่ดี ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี
โชคดีที่ปรางเจอแต่คนรอบข้างที่ดี คนรอบข้างพร้อมจะสนับสนุน ทำอะไรจะมีคนยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือเสมอ เราจะเป็นคนที่คนรักและเมตตาเวลาที่อยู่ใกล้ ๆ ด้วยคำพูดที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาก ๆ เราจะแบบ ‘ขออนุญาตนะคะ’ อะไรแบบนี้เสมอ ก็เลยโชคดีในด้านธุรกิจไปด้วย
เป็นคนชอบวางแผนไหม
ไม่ชอบ แต่เริ่มมาวางแผนช่วงโควิด-19 เพราะความยากจนมันน่ากลัว ทุกอย่างต้องใช้เงินหมด เราดูแลหลายชีวิตไม่ใช่แค่ตัวเอง ทั้งครอบครัว น้อง ๆ ในวง เราไม่มีคอนเสิร์ตเลยแม้แต่งานเดียว แต่โชคดียังมี YouTube และเวิร์คพอยท์ก็ยังให้ไปอัดรายการ ก็ยังพอได้
ช่วงใกล้ 30 หลายคนมักจะมองย้อนดูตัวเองแล้วเครียดกับชีวิต คุณเป็นไหม
ไม่เป็น ทุกอย่างมีเวลาของมัน ทุกอย่างบนโลกไม่มีความบังเอิญ ณ ตอนนั้น เราถูกกำหนดให้มาทำอะไรสักอย่าง เราไม่เชื่อเลยเวลาคนบอกว่าจะทำอะไร ไม่ต้องรอให้เสียเวลา เพราะบางอย่างต้องรอค่ะ มันถึงจะประสบความสำเร็จ บางอย่างรีบเร่งไม่ได้ อย่างเอาง่าย ๆ The Voice All Stars นี่กว่าจะมาเกือบ 10 ปี เราจะ 30 อยู่แล้ว แต่มันก็มาในวันที่เราพร้อมจริง ๆ
ทำไมรอบนี้เลือกโค้ชโจอี้คนเดิม
เขามีความเท่ อยู่ใกล้ ๆ เขาก็เท่ และเขามันมาก ทีมงานเขาเราก็ชอบ จริง ๆ เราไม่ชอบคนปาร์ตี้ เพราะเราไม่ได้ไปปาร์ตี้เลย แค่ร้องเพลงก็เบื่อแล้ว แต่พอเฮียมีปาร์ตี้แล้วมันดูมีอะไร ทุกคนมารุมร้องเพลง มาแล้วแร็ป ทุกคนสนุกสนาน เราชอบบรรยากาศนั้นด้วย ก็เลยเลือกเขาเหมือนเดิม แต่ไม่คิดว่าเขาจะหันมาด้วยซ้ำ
แต่ตอนแรกมีลังเลกับ เจ๊คิ้ม (เจนนิเฟอร์ คิ้ม) นิดหนึ่ง เพราะว่าปีนี้เป็นปีของผู้หญิง ทำอะไรผู้หญิงมักจะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ชาย หรือจะอยู่กับผู้หญิงดีวะ เผื่อกูจะได้แชมป์มา (หัวเราะ) ลังเลแค่นิดเดียว แต่ถ้าให้เลือกก็เลือกเฮียอยู่แล้ว
โอ้โห แล้วหันมายืนขนาดนั้น ใครจะไม่เลือก (หัวเราะ) แต่งตัวแดงมาเลย
สิ่งที่โค้ชโจอี้สอนปรางไว้เมื่อ 7 ปีที่แล้วคืออะไร
‘ประสบการณ์จะสอนมึงเอง’ (หัวเราะ) เขาจะชอบอวยพร แต่ก็บอกประสบการณ์จะสอนมึงเอง จงไปเรียนรู้เสีย และเราก็ได้เรียนรู้มาก ๆ มากจนโอเคแล้ว เรียนรู้พอแล้ว หมายถึงในเรื่องของการร้องเพลงนะ แต่เรื่องอื่น ๆ ก็ยังคงต้องเรียนรู้กันต่อไป
เวลาปรางทำโชว์ มันจะแบบไม่ใช่แค่ขึ้นไปร้องเพลง แต่เป็นการแสดงอย่างหนึ่ง
บอกไม่ถูก มันคิดออกมาจากสมองเอง เรากับสมองทำงานร่วมกันนะ มันคิดมาแบบไหน เราก็ต้องทำตาม เราเหมือน โทนี่ สตาร์ค ที่มีไอเดียเต็มไปหมดแล้วค่อยหยิบจับอันนี้มารวมกับอันนี้ อันโน่นทำก่อน ต่อด้วยอันนี้ ใช้เสร็จแล้วก็คืนเก็บไว้ที่เดิม
พอฟังดนตรีปุ๊บ เราจะนึกภาพบนเวทีได้เลยว่าต้องเดินไปตรงนี้ แล้วตรงโน้น เราต้องใส่ชุดนี้ แต่งหน้าอย่างนี้
พอกลับมาเวที The Voice ที่เป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง กดดันไหม
ไม่กดดันเลย มีเหนื่อยบ้างตอนซ้อมเยอะ ๆ เหนื่อยเพราะเราทำงานหลายอย่าง แต่ดีกว่าเราไม่มีตังค์ ช่วงนี้ทำงานเยอะก็เลยไม่ได้บ่นเหนื่อย และตอนนี้เหลือแค่รอบสุดท้ายแล้ว เราต้องทำให้เต็มที่ เตรียมตัว ในช่วงนี้เป็นห่วงในเรื่องสุขภาพตัวเอง เพราะว่าที่แข่ง Semi Final เราไม่สบาย ถ้าสบายดีน่าจะปังกว่านั้นได้อีก
The Voice รอบไฟนอลจะเป็นยังไง แอบบอกได้ไหม
ตอนซ้อมสนุกกันมาก มันจะเป็นเพลงโชว์กับโค้ช ทีมเราเป็นเพลงเร็ว เฮียก็แร็ปไม่ไหว
กลับมารอบนี้เราได้อะไรหลาย ๆ อย่าง ยอดฟอลโลว์เพิ่มขึ้น ขายของดีขึ้น แฮปปี้มาก ๆ รวมถึงมันเป็นกระแสที่ดี เราไม่ได้มาเพื่อจะเป็นแชมป์ แต่มาแสดงความเป็นตัวของตัวเอง เราอยากให้ทุกคนดูโชว์ มันโคตรสนุก ขอยกคำชาวเน็ตมาพูดว่า ไม่มีโชว์ที่ไหนจะมีทั้งตัวพ่อและตัวแม่มาเจอกัน การได้ทำงานกับไอดอลก็เป็นกำไรในชีวิตเราแล้ว เดี๋ยวรอดูนะ เต้นสะบัดเลย (หัวเราะ)