ย้อนไปราว ๆ 3 ปีก่อน

เรารู้จัก นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ ครั้งแรก จากข่าวดังว่า นักแสดงที่โกนหัวรับบทผู้ป่วยมะเร็ง ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในก้านสมองที่มีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 1 ในแสน – ตอนนั้นเธออายุ 25 ปี 

เราพบนิ้งครั้งแรกเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังเธอรับบทนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง แสงกระสือ 2 ที่กำลังจะเข้าฉายปลายเดือนมีนาคมนี้

ด้วยสถานการณ์ไม่เป็นใจหลายอย่างในวันนั้น นิ้งบอกว่าเราควรพบกันอีกครั้ง โดยเธอเป็นฝ่ายทักหาเราก่อน และเดินทางมาหาถึงที่ The Cloud 

อาจดูเหมือนรอบแก้มือ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็โคตรแฟร์ 

หลายเสียงเตือนว่าเธอคุยเก่ง ให้งัดฝีมือนักสัมภาษณ์ รวบรัดประเด็นหน่อย แต่เป็นใครได้คุยกับเธอก็คงเพลินจนหยุดไม่อยู่ ตามประสาหญิงสาวที่พูดคุยกันถูกคอตั้งแต่ฟ้าเริ่มร่มจนมืดค่ำ

บทสนทนาของเรายาวนาน เข้มข้นสมดังใจ มีเสียงหัวเราะดัง สลับกับการปาดน้ำตาเป็นระยะ เพราะนิ้งเปิดเปลือยทุกแง่มุมชีวิต จนอยากจะทำชีวประวัติของเธอสักเล่ม

ทั้งวัยเยาว์ที่เคยไม่เข้าใจแม่ เหตุการณ์โรครุมเร้า การเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึงความปรารถนาสุดท้ายของคนมีโอกาสตายได้เสมอ

ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก เธอเอาหัวเป็นประกัน

ความปรารถนาสุดท้ายของ นิ้ง ชัญญา ที่ตกตะกอนจากเนื้องอก 1 ในแสนที่คนอีกแสนไม่ได้รู้

จากภาพลักษณ์ หลายคนบอกว่าคุณดูเป็นผู้หญิงมั่นใจ เข้มแข็ง และ Tough มาก คุณมองว่าตัวเองเป็นแบบนั้นไหม

จากเรื่องราวที่ผ่านมา เราว่าเรา Tough มากจริง ๆ เราผ่านอะไรมาเยอะมากกว่าจะมาตรงนี้ ไม่ว่าจะเรื่องชีวิต ครอบครัว อาชีพการงาน ความฝัน ความหวัง ทุกอย่างมันไม่สวย ไม่มีตรงไหนที่เรียบง่าย ไหลลื่นเลยสำหรับเรา ถ้าจะบอกว่าเรา Tough ถูกต้องแล้ว

ความเชื่ออะไรที่พาให้คุณมาถึงจุดนี้

เราเชื่อว่า ชีวิตเราดีมากกว่านี้ได้แม้จะไม่มีต้นทุนอะไรเลย แม้ที่บ้านเราไม่มีเงินถึงล้านด้วยซ้ำ แต่เราเชื่อว่าชีวิตเราดีกว่านี้ได้ และเราอาจจะเป็นคนแรกที่มีก็ได้

เห็นคุณบอกว่า เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แล้วก็ชอบกดตัวเองในบางที

ใช่ เป็นคนโทษตัวเองก่อน เพราะเราจุกจิกรึเปล่าเลยทำให้เขารู้สึกไม่ดี ชอบคิดว่าทุกอย่างต้องอยู่ที่ตัวเรา หมายถึงว่าเราน่าจะเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ แต่ควบคุมปัจจัยภายนอกหรือคนอื่นไม่ได้

อาจเป็นเพราะวัยเด็กไม่ได้ถูกซัพพอร์ตในสิ่งที่อยากทำเลย อยากเรียนกลอง อยากเรียนกีตาร์ อยากเรียนร้องเพลง พ่อให้เรียนเปียโน เป็นความฝันวัยเด็กของเขาซึ่งเอามาลงกับเรา บอกว่าไม่ชอบใส่กระโปรงก็ให้ใส่ ถ้าไม่ใส่ก็ไม่ได้ไปดูหนัง 

ไม่มีใครฟังในสิ่งที่เราชอบ ก็เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเป็นมันดีหรือไม่ดี 

ความปรารถนาสุดท้ายของ นิ้ง ชัญญา ที่ตกตะกอนจากเนื้องอก 1 ในแสนที่คนอีกแสนไม่ได้รู้

พ่อรู้ไหมว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณไม่มั่นใจในตัวเอง

เราไม่รู้นะว่าเขารู้รึเปล่า ไม่รู้เลยว่าเขาได้มาคิดถึงผลของการกระทำรึเปล่า 

(นิ่งคิด)

เขาเชื่อว่าเราทำไม่ได้หรอก แล้วเราก็เชื่อว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่เราเข้าใจว่าเขาอาจจะกลัวเราเจ็บปวดก็ได้ อาจจะกลัวเราผิดหวัง เพราะเขาเรียนรู้จากประสบการณ์ เลยบอกว่า เออ เราทำไม่ได้ อย่าฝันเลย หรือการบอกว่าเวลาหม่าม้าโมโหจะอารมณ์ร้ายมาก ให้อยู่ไกล ๆ เพราะกลัวเราจะซึมซับสิ่งนั้น 

พอเข้าใจปูมหลังของทุกคน เราเริ่มเห็นแล้วว่าทำไมคนนี้ถึงเป็นแบบนี้ อ๋อ เพราะตอนเด็กแม่เคยโดนทำร้ายมาก่อนไง

ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นยังไง

เวลาเล่าเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว เราไม่อยากให้ตัดสินใคร เพราะเรารู้ว่าทุกคนเจอเรื่องอะไรมาบ้าง 

ตอนที่หม่าม้าหายไป เขาพยายามทำดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้ว แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เงินที่ต้องหา ความสัมพันธ์ที่มันเข้ากันไม่ได้ เขาเลยต้องแยกจากกัน ตอนเด็กไม่รู้หรอก ร้องไห้ ม้ากลับมาอยู่กับป๊าไม่ได้เหรอ ทุกคนมีครอบครัวอบอุ่น ทำไมเราไม่มี พอโตขึ้น รู้เลยว่าเรื่องความสัมพันธ์ ความรัก เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก มากเกินกว่าเราจะเข้าใจ

แม่ทำร้ายร่างกายเรา เพราะว่าเขาโดนสิ่งนี้มา มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกหรอก ทางเลือกมีอยู่ 2 อย่าง หนึ่ง ไปทำสิ่งนี้กับคนอื่น สอง รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ดีเลยไม่ทำกับคนอื่น ซึ่งแบบแรกง่ายกว่ามาก 

มีช่วงที่เราโดนทำร้ายเยอะ ๆ จนคิดว่าหรือเราต้องร้ายบ้าง ในเมื่อโลกร้ายกับกู แต่เราเป็นแบบนั้นไม่ได้จริง เรารู้ว่ามันจะทำให้ใครจะเจ็บปวด งั้นไม่ทำ เราพยายามช่วยคนอื่นไม่ให้เจอสิ่งนั้น เด็กคนอื่นจะได้ไม่เจ็บปวดแบบเรา เรื่องราวในชีวิตคนอื่นจะได้ไม่ต้องเป็นแบบเรา 

เข้าใจแล้วให้อภัยไหม

ให้อภัย เพราะเขาไม่อยากเป็นแบบนั้นหรอก เรารู้ว่าพ่อแม่รักเรา แต่เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียนรู้และยอมรับมัน พออารมณ์มันเกิดขึ้น เขาอาจทำร้ายเราด้วยสิ่งที่เขาเป็น เราเลยเลือกออกไปอยู่ที่อื่นเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่งั้นเราอาจจะทำร้ายเขาด้วยซ้ำ ด้วยคำพูดของเรา 

เราโดนมาเยอะมากจริง ๆ แต่พยายามที่จะเชื่อในตัวเองอยู่ ถ้าออกจากบ้านแล้วเราต้องไม่เป็นหมากลับไป ต้องดูแลชีวิตตัวเองให้ได้ 

อะไรทำให้มีความคิดแบบนั้น

เราอาจจะอยากพิสูจน์ก็ได้ว่าสิ่งที่เป็นจะพาเราไปถึงฝั่งได้ โดยที่ไม่ต้องยอมต่อภาพลักษณ์ ไม่ต้องยอมต่อคำที่พูดว่า เป็นนางเอกห้ามนั่งแบบนี้ (ไขว่ห้าง) เป็นนางเอกต้องห้ามเป็นแบบนั้น ห้ามระเบิดหู เราอาจจะพยายามพิสูจน์ว่าการแสดงรึเปล่าที่ควรโฟกัส คุณไม่ต้องด่าให้เด็กอับอาย เขาก็เติบโตมามีศักยภาพที่ดี พัฒนาตัวเองได้ เราใช้ชีวิตเพื่อกำจัดความคิดพวกนี้้ 

รู้สึกว่าอาชีพนักแสดง เป็นตัวแทนที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีที่สุดรึเปล่า 

คิดว่าอาชีพนักแสดงทำให้เห็นได้ว่า แม้เราจะไม่มีคนซัพพอร์ต แต่ถ้าพยายามมุ่งมั่น ตั้งใจ เดินในเส้นทางที่เชื่อไปเรื่อย ๆ ถึงจะเจ็บปวดบ้าง แต่เราจะประสบความสำเร็จ 

เราไม่มีค่าย ไม่มีผู้จัดการ คุยงานเอง ไม่ได้เติบโตมากับการมีคอนเนกชันด้วยซ้ำ เราแคสต์งานโฆษณามาตั้ง 6 ปี ไม่ได้สักงาน เราสู้กับมันมาตลอดเลย

อะไรทำให้รอเวลาถึง 6 ปีได้โดยไม่ยอมแพ้ไปก่อน

เราก็แค่ทำมันไปเรื่อย ๆ ในระยะเวลา 6 ปีนั้น มีช่วงที่ท้อบ่อย เอะอะร้องไห้อยู่ในห้อง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร ร้องไปเรื่อย ๆ เราก็จะเหนื่อยเอง แล้วก็เริ่มคิดว่าครีมทาหน้ามันแพง ระหว่างนั้นก็เป็นลูกจ้างที่สวนจตุจักร เป็นสตาฟงานคอนเสิร์ต ทำงานเยอะมาก เราไม่ได้รอมันมั้ง

ชีวิตเราบังเอิญเยอะมาก อะไรที่ดูน่าจะเกิดขึ้นยาก อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นโดยที่เราคิดไว้อยู่แล้ว

เช่นอะไร

หลาย ๆ อย่างที่แค่คิด มันเกิดขึ้นจริงแบบไร้เหตุผล 

เคยจินตนาการในห้องน้ำว่าเป็นโรค ภาพชัดมาก เดินเข้าไปหา พี่ไก่ ณฐพล ในสตาร์บัคส์แล้วร้องไห้ บอกว่า “พี่ ทำสารคดีให้หนูหน่อย” วันหนึ่งเราก็เป็นเนื้องอก

รู้สึกยังไงเวลามีคนบอกว่า คุณเอาชนะเนื้องอกที่มีโอกาสเป็น 1 ในแสนมาได้ 

เราไม่ได้คิดเลยว่า เย้ ฉันชนะมันมาได้ แค่คิดว่าเราอยู่ด้วยกันได้ ดีต่อกันนะ อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันนะ แต่ประเด็นคือมันเติบโตไง มันอันตราย 

มันดื้อเหรอ

ใช้ได้เลยตัวนี้ มึงดื้อยังไงมันดื้ออย่างงั้นเลยค่า (หัวเราะ) 6 เดือน โตเซนหนึ่งเลย เร่งเครื่องรีบไปไหนไม่รู้ 

คือเนื้องอกในสมองไม่มีวันหาย เราก็ต้องผ่านมันไปเรื่อย ๆ ถ้าเล็กลง เราก็จะมีเวลาใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงมันมากนักนานหน่อย ปัญหาคือมันไม่ได้เป็นเนื้องอกที่อันตราย แต่มันโตตลอดเวลา และดันไปอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดในร่างกายเรา คือก้านสมองที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ โดนปุ๊บ ตายอย่างเดียว 

อะไรที่นิ้งได้เรียนรู้จากเนื้องอก 1 ในแสน ที่คนอีกแสนไม่มีทางรู้

จริง ๆ แล้วมันก็ดีนะที่อีกแสนคนไม่ต้องรู้ (หัวเราะ) เหมือนรีวิวการผ่าสมอง สนุกจังอยากผ่าสมองบ้าง แต่เดี๋ยวเล่าให้ฟังก็ได้

เราอาจจะมีความคิดโตขึ้นกว่าคนอายุเท่ากัน เพราะได้เห็นจริง ๆ ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน วันนี้ปกติมากเลย แต่อยู่ดี ๆ พรุ่งนี้ตื่นมาไปโรงพยาบาลแล้วเป็นเนื้องอกในสมอง 

พอเราใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย เราจะไม่คิดถึงสิ่งนี้มากนักหรอก เพราะว่ามันไกล แม้กระทั่งใกล้มาก ๆ เกิดขึ้นกับคนรอบตัวเรา แต่ถ้ามันไม่ได้เกิดกับเราจริง ๆ เราก็จะค่อย ๆ ลืมมันไป แต่นี่มึงมีโอกาสที่พรุ่งนี้ไม่ตื่นมาก็ได้ มึงมีโอกาส มีเปอร์เซ็นต์ มึงจงรู้ไว้เลย ไม่ใช่แค่การจินตนาการเล่น ๆ อีกแล้ว หมอก็พูดอยู่ งั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่มีอะไรให้เสียใจถ้าไม่ตื่นมาก็พอ 

แล้วเรื่องอะไรที่แน่นอนในชีวิตคุณ

ถามกลับว่า แล้วคิดว่าอะไรแน่นอนบ้าง

เราว่าไม่มีอะไรแน่นอนเลยในชีวิต อะไรที่คิดว่าแน่แท้ อีก 5 ปีอาจจะเปลี่ยนก็ได้ หรืออะไรที่เราเชื่อในวันนี้ อีก 10 ปีเราอาจจะเปลี่ยนก็ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสถานการณ์ในชีวิต เจอบางเรื่องที่มัน Trigger มาก ๆ Trauma มาก ๆ เราก็เปลี่ยนไปแล้ว 

เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรแน่นอนเลย ความไม่แน่นอนนี่แหละ คือความแน่นอน 

ความปรารถนาสุดท้ายของ นิ้ง ชัญญา ที่ตกตะกอนจากเนื้องอก 1 ในแสนที่คนอีกแสนไม่ได้รู้

ก่อนจะไปถึงเฟสที่อยู่ร่วมกับเนื้องอกได้ เคยคิดว่าจะต้องหายแล้วกลับมาเป็นปกติไหม

ไม่มี เรามองโลกตามความเป็นจริงมาก ๆ แก้ได้แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่ นอนแล้วไม่ตื่นมา โอเค Fine ไม่ตื่นก็ไม่ตื่น ก็ขอให้ตัวเองไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ถ้ายังไม่ถึงเวลาไป ก็ขอให้เรากลับมามีชีวิตมหัศจรรย์มากกว่าเดิม ความคิดสุดท้ายเราเป็นแบบนี้จริง ๆ เราใส่เครื่องช่วยหายใจ เจาะสกรูยึดกะโหลก ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว เราทำได้แค่เชื่อใจหมอ ปล่อยให้ทุกอย่างที่กำหนดให้กูเป็นเนื้องอกมาแล้ว กำหนดมันต่อเลยค่ะ (หัวเราะ)

เราเคยคิดว่า ถ้าเชื่อว่าเราสั่งจิตได้ เราก็อาจจะใช้โอกาสนี้สั่งจิตไม่ให้ตื่นขึ้นมาเอง เพราะเหนื่อยกับโลกใบนี้แล้ว คิดถึงขั้นนั้น แต่สุดท้ายเราจะแคร์คนอื่นเสมอเลยรู้สึกเหมือนเห็นแก่ตัว 

ตอนนี้คุณมีปัญหาสุขภาพอะไรอยู่บ้าง

จริง ๆ เนื้องอกเรามีที่ต่อมข้างหน้าอีกลูกหนึ่ง มีซีสต์ในสมองที่ผ่าไป จากตอนแรกเป็นก้อนเดียว พอผ่าไปตอนนี้ตรงกลางหาย กลายเป็น 2 ชิ้น แล้วก็เจอก้อนเนื้อที่เต้านม ไม่ใช่มะเร็งนะ ยังมีอีกหลายตำแหน่งมากมาย แต่ช่างมันเหอะ

ก้อนเนื้อที่เต้านมก็เกิดจากการพาพ่อกับพี่ชายไปตรวจสุขภาพนะ เพราะรักไง ถ้าเป็นอะไรจะได้แก้ไขทัน สรุป ทุกคนแข็งแรงยกเว้นเรา เจอเรื่องเซอร์ไพรส์ตลอดเวลา 

เด็ก ๆ จำได้ว่าเราเคยเห็นพี่ชายปวดท้องมาก เราบอกว่า ขอให้พี่นัทไม่เป็นอะไร ขอให้ทุกอย่างมาอยู่ที่เรา

เห้ย หรือว่าเป็นเพราะคำนี้

แน่ ๆ (หัวเราะ) ทุกอย่างมารวมกันอยู่ที่กู หม่าม้าเป็นโลหิตจาง พี่นัทไม่เป็น เราเป็น ไทรอยด์เราเป็น เนื้องอกเราเป็น ทุกอย่างมาอยู่ที่เรา

รู้สึกไม่แฟร์บ้างไหม

ไม่เลย รู้สึกโอเคที่พี่นัทไม่เป็นไร เราคิดว่าเราเป็นได้ ถ้าคนที่เรารักเป็นแล้วเราช่วยอะไรไม่ได้ มันทรมานนะ

แต่เราก็ทรมานไง

ก็ทรมานแหละ แต่ถ้าจะต้องตายมันก็ต้องตาย ถ้าจะเป็นอะไรมันจะต้องเป็น ซึ่งจริง ๆ แล้วคนอื่นก็เป็นอะไรอีกตั้งมากมาย แล้วถ้าเราคิดว่าทำไมต้องเป็นกู อ้าว แล้วทำไมต้องเป็นคนอื่นด้วย ไม่มีใครสมควรเป็น ไม่อยากให้ใครเป็น ไม่ต้อง แต่แค่เป็นแล้ว เราก็ต้องยอมรับมัน

คุยกันวันก่อน ดูคุณอยากตอบคำถามเรื่องออกแบบพินัยกรรมจำลอง คิดไว้ด้วยเหรอ

เคยคิด เราเป็นนักวางแผน ถ้าจากโลกนี้ไปทุกคนจะต้องปวดหัวกับเราแน่นอน (หัวเราะ) เราคงทำอะไรไว้มากมาย มีลูกเล่นต่าง ๆ ที่ทุกคนจะต้องแบบ มึงนี่มันไอ้นิ้งจริง ๆ อย่างนี้แน่ ๆ 

ตอนนี้เราคิดกับมันมากขึ้น เพราะถ้าผ่าอีกรอบเราอาจไม่โชคดีเท่ารอบแรกก็ได้ 

คิดไว้ว่ายังไง

อย่างแรก เราจะไปบริจาคร่างกาย เพราะคนที่จะบริจาคร่างกายได้ก็คือคนที่สมองตาย เรามีโอกาสเป็นสิ่งนั้นอยู่แล้ว แล้วร่างกายเราช่วยได้ตั้ง 8 ชีวิต ถ้าอีก 8 ชีวิตช่วยคนอื่นต่อไปได้อีกมากมายก็น่าจะเป็นเรื่องราวที่ดี 

แล้วเราอาจจะเปิดบ้านให้คนที่เรารักมาหยิบของได้คนละชิ้น ถ้าเขาอยากได้ของเราเก็บไว้ จะเป็นเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน อะไรก็ตาม หยิบไปได้เลย ใครอยากได้ก็เอาไป ที่เหลือทุกอย่างคือให้พี่ชาย ป่าป๊าหม่าม้าไม่ต้องน้อยใจนะถ้าไม่มี เพราะพี่ชายเราก็แบ่งให้ทุกคนอยู่แล้ว

อีกอย่างหนึ่ง เราน่าจะเขียนไว้ว่าไม่อยากให้ใครโทษตัวเอง ถ้าเราจะจากไป มันเป็นการตัดสินใจของเราคนเดียว

นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์

ออกแบบงานศพของตัวเองไว้ไหม

ที่แน่ ๆ ทุกคนต้องคุมโทน ขอร้อง ได้โปรด รูปต้องคุมโทนนะคะ 

เหตุผลเดียวที่ทุกคนจะไม่ใส่ชุดสีดำหรือขาวมา รู้เลยว่าทุกคนจะแกล้งเรา พี่น้องทุกคนที่สนิทกับเราจะรู้ว่าใส่สี ๆ แล้วไอ้นิ้งมันจะหงุดหงิดใจ ทุกคนทำแบบนั้นกับเราเสมอ แล้วถ้าใครทำแบบนั้นในงานศพมันจะกวนตีน โดนแน่ ไปหลอกแน่ (หัวเราะ)

แล้วเราก็คิดจะจัดแบบ Exhibition ไม่ต้องจัดแค่ตอนเย็น ทุกคนว่างเวลาไหนก็มา (หัวเราะ) อาจจะเป็นห้อง เป็นสตูดิโอ มีเราที่นอนอยู่ มีรูป ให้ทุกคนเขียนถึงเราแล้วก็เผาให้เราอ่านด้วย หรือต่อให้ไม่เผา คิดว่าเราน่าจะยืนอ่าน รู้ไว้เลยนะ

ก่อนที่เราจะผ่าสมองรอบสอง เราอาจจะทำสิ่งนี้ก่อนเลยก็ได้เพื่อให้เราได้รู้ แล้วงานศพจริง ๆ ของเราอาจจะเรียบง่ายมากเลยก็ได้ เพราะเราได้รู้แล้ว

หลังผ่านเรื่องยาก ๆ ในชีวิตมามากมาย นิ้ง ชัญญา ยังกลัวอะไรอยู่ไหม

มีบางช่วงที่กลัวการเป็นคน Empty เราสูญเสียมามากจนกลายเป็นคนไม่รู้สึกอะไรเลย

เราเสียเพื่อนที่สนิทมาก ๆ ไปคนหนึ่ง ตอนนั้นทำให้เรากลายเป็นคนไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะว่าทุกข์อยู่กับเราไม่นาน สุขอยู่กับเราไม่นาน รู้อยู่แล้วหนิ เสียใจแล้วก็จะเศร้า รู้อยู่แล้วนี่ มีความสุขเดี๋ยวก็จะเศร้า ชีวิตจะมีเรื่องแบบนี้เสมอ รู้อยู่แล้วนี่ ก็เลยกลายเป็นคนนิ่ง เฉยชา เย็นชาเกินไป ซึ่งเราไม่ชอบเลย

ช่วงนั้นเป็นยังไง

(นิ่งคิด) จะเรียกว่าไม่เป็นมนุษย์ไหมก็น่าจะใช่ ปัญหาคือเราเป็นแบบนั้นไม่ได้ในอาชีพเรา 

ตอนที่เราเสียเพื่อน ร่างกายเราบล็อกความเจ็บปวดเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง เหมือนเรามาเติบโตแบบผู้ใหญ่กันเลยดีกว่า มี Mindset กันแบบปลงโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย กันไปเลย แล้วเราต้องไปแคสต์ซีรีส์ที่มีฉากการสูญเสีย รู้เลยว่าร่างกายเราบล็อกมันด้วยความคิดนี้

เลยบอกให้ครูฟังว่าเรากำลังเป็นสิ่งนี้อยู่ ร่างกายนิ้งเป็นแบบนี้ ระบบความคิดนิ้งเป็นแบบนี้ แล้วนิ้งรู้เลยว่าสิ่งที่บล็อกนิ้งอยู่มันคืออะไร คือตัวนิ้งเอง แค่ยอมรับมัน กลับมาก็ดีขึ้น

นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์

คุณไม่ปล่อยให้ตัวเองพังทลายเหรอ

เพราะอาทิตย์ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งเสียอาเจ็กที่สนิทมาก ๆ เสีย 2 คนที่สำคัญกับชีวิตเราในเดือนเดียว เราร้องไห้หนักมาก ๆ ร้องไห้ตลอดเวลา พอเพื่อนเสีย เราร้องไห้อยู่ 2 วัน เหมือนน้ำตามันหมด เพิ่งจะเสียไปแล้วก็ต้องเสียอีกแล้วเหรอวะ ซึ่งเราอยากร้องไห้แต่เราร้องไม่ออก ทั้งที่เราชอบการร้องไห้มาก ๆ 

ทำไม

มันคงทุกข์กว่ามาก ถ้าเราไม่กล้าแสดงออกถึงอารมณ์ของตัวเองเลย เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองมาก

เราเป็นคนแสดงออกหมดเลย หมดเลยจริง ๆ เราไม่แคร์เลยนะถ้าเราจะเสียใจ ร้องไห้ข้างนอก เดิน ๆ อยู่เจอเรื่องนี้มาเศร้าว่ะ ผิดหวังว่ะ เราร้องไห้เลย ใครจะมองเห็นเราร้องไห้ไม่สนใจ เพราะเราต้องเอามันออกมา ปล่อยให้เราร้องไห้ไปเหอะ อยู่ข้าง ๆ ให้เราร้องไห้ก็พอ 

คิดว่าตัวเองกล้าหาญไหม

(ยกแขนที่สักคำว่า Brave) เราสักอันนี้ก่อนที่จะเป็นเนื้องอก 2 อาทิตย์ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนกล้าหาญ เรากล้าที่จะเผชิญเรื่องราวหลาย ๆ อย่าง น่าจะเหมาะกับคำนี้ 

เราเคยเป็นโรคซึมเศร้าเพราะแคร์คนอื่นมากเกินไป เราไม่พูดในสิ่งที่เราคิด เรายอมทั้งที่ไม่เห็นด้วย ตอนนี้ยืนหยัดว่าเราไม่ต้องการมากยิ่งขึ้น ต้องหนักแน่นเข้าไว้ บอกตัวเองว่าหนูจะไม่รู้สึกผิดกับการที่หนูตัดสินใจแบบนี้หรอก 

คนชอบคิดว่าความกล้าหาญคือการไม่กลัวอะไรเลย แต่จริง ๆ แล้วมันคือ

Feel the fear and do it anyway นี่คือสิ่งที่เราใช้ 

เราเป็นเด็กขี้กลัว จะออกกล้องโน่นนี่นั่น แพนิก กลัวไปหมดทุกอย่าง ถ้าคนเยอะก็เอาแล้ว มาละ เหงื่อ หน้าตื่นตระหนก แสดง แสงกระสือ 2 เราก็กลัวเหมือนกันนะว่ามันจะออกมาไม่ดี คนจะผิดหวังในตัวเราไหม เดี๋ยวจะต้องเสียใจ แย่แน่เลย เรากลัวเว้ย แต่เราก็ทำมันอยู่ดี

คุณเคยเขียนไว้ว่า ถ้าต้องการให้บางอย่างเปลี่ยนแปลง ต้องยอมเสียบางสิ่งไป เรื่องอะไรที่คนอย่างนิ้งจะยอมแลก

เวลา เมื่อเราเลือกที่จะใช้เวลากับสิ่งหนึ่ง เท่ากับต้องเสียอีกสิ่งหนึ่งไป 

ไม่อยากยอมแลกอะไรเลย แต่ต้องแลกไง ใช้คำว่ายอมไม่ได้ 

จริงไหมที่เวลาจะเยียวยาทุกอย่าง 

อือ มันนานใช่ไหม แต่ว่าไม่มีทางอื่น เรารู้ว่าทุกคนไม่อยากเศร้าแล้ว ไม่อยากรู้สึกแล้ว อยากประสบความสำเร็จเลย ในความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ไง เราชนะตลอดไม่ได้ด้วยซ้ำ วันนี้ชนะแล้ว พรุ่งนี้ชนะอีก ไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นในชีวิตเราหรอก 

เราเรียนรู้จากการสูญเสียว่า ระยะเวลาจะช่วยเรา แต่มันจะยากตรงรอให้ผ่านไป ในช่วงที่แย่จะนาน 1 เดือนจะทรมาน สุดท้ายมันจะค่อย ๆ ดีขึ้น ที่เราไม่ไหวกันก่อนเพราะรอไม่ไหว ณ ขณะนั้น เราแค่ต้องอดทน

หลายปีก่อน คุณบอกว่าตัวเองเป็น Perfectionist ตอนนี้ยังเป็นอยู่ไหม

เรายังกลัวการผิดพลาด แต่รู้ไว้ว่าไม่มีใครไม่เคยผิด ถ้าเราไม่เจ็บปวดเราจะไม่เรียนรู้ ทุกอย่างมันเด้งกลับมาอีกฝั่งเสมอ เป็นเรื่องปกติแหละที่ทุกคนจะมีเวลาที่แย่ 

เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นอยู่แล้ว อยากจะพัฒนาตัวเองมากขึ้นอยู่แล้ว เราแค่เรียนรู้และไปต่อให้ได้ ในอนาคตต้องมีเรื่องผิดพลาดอีกแน่นอน เราหลีกหนีไม่ได้ เพราะความผิดพลาดบางทีก็มาด้วยความไม่รู้ 

รู้สึกยังไงที่ตกตะกอนสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนจะอายุ 30 ด้วยซ้ำ 

เหนื่อย (หัวเราะ) เราเจอทุกอย่างเร็วกว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไม่มีใครไม่เจอเรื่องแบบนี้นะ มันมีแหละ แต่เราผ่าสมองตั้งแต่อายุ 25 นะ ปัญหาครอบครัวก็ตั้งแต่เด็ก ไม่มีเงิน ไม่มีงาน สูญเสียเพื่อน ครอบครัว พี่ที่สนิท ทุกอย่าง มันจะมีอะไรมากกว่านี้อีก

หนักไปไหมสำหรับคนที่อายุไม่ถึง 30 

หนักอยู่สำหรับเรา แต่เป็นแล้วทำไงได้ 

การโตกว่าคนวัยเดียวกัน ทำให้รับมือกับปัญหาได้ดีกว่าด้วยไหม

ไม่เลย สุดท้ายเวลาเจ็บปวดหรือเจอปัญหา ความโตก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก 

เจ็บปวดก็คือเจ็บปวด ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่คุณจะเจ็บปวด ไม่เกี่ยวเลยว่าคุณจะผ่านอะไรมาบ้าง ถ้าช่วงนั้นแย่ มันจะแย่ เก่งไปแล้วไงเอ่ย (หัวเราะ) ภูมิเยอะแล้วไงเอ่ย เราต้องเจ็บปวด ต้องเศร้า

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เราคิดว่าไม่อยากอยู่แล้ว อย่างข่าวที่ผ่านมาก็ Trauma กับเรามาก เราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่เคยโดนแบบนี้มาก่อน มันหนักสำหรับเราจริง ๆ แม้คนพวกนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย แต่เราดันรู้สึกอยู่ดี 

ต่อให้ผ่านเรื่องที่ยากกว่านี้มาแล้วก็ตามเหรอ

ใช่ เรากลายเป็นเด็กโง่คนหนึ่ง ร้องไห้อยู่ในห้องนอนตัวเองไปเรื่อย ๆ ตื่นมาร้องไห้ ตื่นมาร้องไห้วนไปเรื่อย ๆ เรารู้ว่าเราจะกลับมาเป็นซึมเศร้า เรื่องนี้มีอิทธิพลกับเรามาก แต่ข้อดีของการผ่านเรื่องที่เลวร้ายมาตั้งเยอะ ผ่านช่วงเวลาที่จะกระโดดตึกอยู่แล้ว ผ่านช่วงเวลาซึมเศร้าที่หนักมาก ๆ มาแล้ว ทำให้เรารู้ทันตัวเองมากขึ้นว่าเรากำลังจะเป็นสิ่งนั้น เราเลยพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ตัวเองเป็น

อะไรที่ช่วยคุณไว้

เพลงแฮปปี้ไม่ช่วยอะไรเลย หนังสือก็ไม่อยากอ่าน อาหารก็ไม่อร่อย เหตุการณ์นั้นทำให้เรา Lost อะไรบางอย่างไปเยอะอยู่เหมือนกัน ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเหรอ สิ่งที่เราเชื่อมาเสมอว่าจะนำพาให้เราไปอยู่ในที่ดี ๆ มันไม่ใช่เหรอ เราร้องไห้ไปเรื่อย ๆ ไม่อยากทำอะไรเลย

มีจุดที่เราร้องไห้อยู่บนมอเตอร์ไซค์แล้วอยากทิ้งตัวลงไปเลย ทุกอย่างจะได้จบ แต่เราดันคิดว่า ถ้ารถข้างหลังชนเราตาย เขาต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่เลยทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา ทำให้เรารอดมาได้ถึงตรงนี้ เพราะเราไม่อยากเป็นเหตุผลที่คนอื่นต้องมาแบกรับ

เราไม่รู้ว่าวันที่เรายอมแพ้มันจะมาถึงเมื่อไหร่ อีกสิ่งที่จะช่วยยึดเราไว้จากข่าวที่ผ่านมาที่รุนแรงกับเรามาก ๆ คือ หนัง ไม่งั้นเราอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว ทีมงานที่ตั้งใจทำ 100 ชีวิต ถ้าเราไม่ออกไปขายสิ่งนี้ แล้วใครจะออกมาขาย เราเป็นด่านหน้าสุด เราต้องมานั่งบอกว่าทีมโปรดักชันเราเจ๋งแค่ไหน อาร์ตเราทำอะไรบ้าง เราต้องมานั่งพูดสิ่งนี้ให้คนฟัง 

นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์

นิ้ง ชัญญา อยากไปอยู่จุดไหนในวงการบันเทิง

ตอนเด็กกว่านี้ อาจจะอยากได้รางวัลออสการ์ พอเราได้รางวัล Best Leading Actress มาตอนเล่น The Deadline สุดท้ายมันแค่นั้น ได้มาแล้วก็ดีใจแหละ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามีคุณค่ามากขึ้น พรุ่งนี้ก็ตื่นมาเหมือนเดิม 

ยิ่งโตขึ้นความฝันยิ่งแคบลง เราจะไหลไปตามกระแสน้ำเหมือนแมงกะพรุน ทุกคนไม่ต้องมีจุดหมายก็ได้ แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ชีวิตมันจะนำพาเราไปหาสิ่งนั้นเอง ถ้าเรามีความมุ่งมั่นอยู่ในใจลึก ๆ ฟังดูปลง ๆ นะ แต่ใช่ มันเป็นแบบนั้น

เราไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้เลย ตอนเรียนเราติดศูนย์ 30 ตัว คือถ้าอยากเห็นชีวิตสวยหรู ไม่ต้องมาดูเราเลย เราเป็นตัวอย่างของชีวิตที่เติบโตงดงามและถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีไม่ได้ ขอเป็นไอดอลของคนไม่เก่งได้ไหม ขอเป็นไอดอลของคนที่ Tough มาก ๆ แต่เราไม่ได้อยากเป็นคนมีชีวิตลำบากนะ ไม่อยากเป็นคน Tough ถ้าเลือกได้ ไม่อยากเป็นเนื้องอกถึงจะรู้สึกว่า โห ไอ้เหี้ยนี่ เป็นเนื้องอกถึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ต้อง ไม่ได้อยาก 

แล้วอยากมีชีวิตแบบไหน

อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ตื่นไปทำงาน ออกกอง ช่วยเหลือคนไปเรื่อย ๆ สงบ เอนจอยอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง แล้วก็ได้เจอคนที่น่าสนใจมากมาย เจอคนสัมภาษณ์เจ๋ง ๆ อยากตื่นเต้นไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปสุดถึงไหน ไม่ต้องรวย ต้องใหญ่มากกว่าใคร ไม่จำเป็น แล้วดูชีวิตของคนที่อยากสงบสิ

ตรงข้ามทุกอย่าง

เออ ออกกำลังกาย มีชีวิตอยู่ดี ๆ เป็นเนื้องอกในก้านสมอง 1 ในแสน เห้ย ได้เหรอวะ ชีวิตไม่ต้องการคอนเทนต์แต่ส่งมา ไปรับรางวัลแรกในชีวิตที่ฟิลิปปินส์ คาดหวังมานาน ภูเขาไฟระเบิดทั้งที่เงียบมาตลอด 43 ปี เห้ย ได้เหรอวะ 

ต่อให้เราพยายาม Play Safe ขนาดไหน มันจะมีปัญหาเข้ามา เราจะไม่บอกคนอื่นหรอกนะว่าชีวิตมันง่าย ชีวิตมันไม่ง่าย เราต้องผ่านอะไรกันอีกเยอะ 

ถ้ามีหนังสืออัตชีวประวัติของคุณจริง ๆ อยากตั้งชื่อว่าอะไร

นิ้ง ชัญญา 

แด่มนุษย์ทุกคนที่พยายามสู้อยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ

อยากให้คนอ่านได้อะไรจากหนังสือของคุณ

หวังว่าคนอ่านเขาจะเรียนรู้ผ่านเรื่องราวของเราได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องลำบาก ได้ไอเดียใช้ชีวิตบางอย่างเร็วขึ้นโดยไม่ต้องสูญเสีย เราสูญเสียให้ก็ได้ ถ้ามันให้แรงบันดาลใจได้เราก็คงมีความสุขมาก แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะรู้สึกว่า เรามีประโยชน์อะไรกับโลกใบนี้บ้าง 

(ร้องไห้) 

ถ้าเราใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอาจจะไม่มีแรงสู้ขนาดนี้ เพราะเราเองไม่ได้อยากอยู่ขนาดนั้น มันเหนื่อยกับการรู้สึกเยอะแยะ เราเป็นคนแคร์ เป็นคนรู้สึกมาก เราเลยรับทุกอย่างมาเยอะ มันมีปัญหากับตัวเองนี่แหละเพราะเราเป็นแบบอื่นไม่ได้ ถ้าไม่เป็นคนอ่อนไหว ไม่เป็นคน Sensitive ได้ จะเป็นไหม ขอไม่เป็น 

เราเคยพยายามหนี ใช้ชีวิตกันแบบ I don’t care เราทำไม่ได้เว้ย หัวใจกับสมองมันคนละเรื่อง ถ้าคิดว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้หรอก มึงรู้สึกค่ะ ความรู้สึกมันไม่ต้องคิด ยอมรับเถอะ มึงเป็นคนแบบนั้นนิ้ง 

แล้วรู้เอาไว้เลยแล้วกันว่า มึงไม่ได้เป็นคนแข็งแกร่ง มึงไม่ไหว งั้นไม่เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่โหดร้ายดีกว่า เราเลือกชีวิตตัวเองได้ 

เหมือนหนังสือ How to การใช้ชีวิตโดย นิ้ง ชัญญา เลย

เราแค่อยากจะแชร์ แต่ไม่อยากไปบอกให้คนอื่นต้องใช้ชีวิตตามนี้ ต้องไม่ผิดพลาดแบบนี้ หรือเรียนรู้สิ่งนี้แล้วมันจะเวิร์ก ตัวแปรในชีวิตทุกคนแตกต่างกัน อ่านแล้ววางทิ้งไว้ก็ได้ ชีวิต นิ้ง ชัญญา ก็แค่นี้ แล้วไง แต่ก็ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน ได้รู้จักกันก่อนที่จะตาย

นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์

Writer

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์