2 พฤศจิกายน 2024
7 K

หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินชื่อของ One Bangkok ผ่านหูกันมาบ้างแล้ว 

One Bangkok คือโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนขนาดใหญ่ รูปแบบ Mixed-use ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัยระดับลักชัวรี พื้นที่ร้านค้าปลีก โรงแรม และอื่น ๆ รวมอยู่ในพื้นที่ 108 ไร่ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างไปจากโครงการอสังหาฯ ทั่วไปในประเทศนี้อย่างชัดเจนก็คือ โปรแกรมด้านศิลปะและวัฒนธรรมมากมายที่อยู่อย่างถาวร และทีมทำงานต่าง ‘คิด’ กันมาอย่างแยบยล รอบด้าน เพราะนี่คือหนึ่งในเรื่องที่ One Bangkok ให้น้ำหนักความสำคัญที่สุด และวางรากฐานหนักแน่นกันมาตั้งแต่เริ่มโครงการ

โครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการนี้ มีเป้าหมายในการทำให้คนกรุงโดยทั่วไปได้ใกล้ชิดศิลปะอย่างเป็นธรรมชาติและไม่ทำให้ศิลปะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มหรือเข้าถึงยาก

“เราจะค่อย ๆ ทำกันไป” ปุ๋ม-จรินทร์ทิพย์ ชูหมื่นไวย Head of Art & Culture และ Deputy Head of Strategic Branding & Corporate Communication ของโครงการ เกริ่นก่อนจะพรั่งพรูความฝันของเธอและทีม Art & Culture ประจำ One Bangkok ออกมาหลายข้อ

“เราอยากให้ศิลปะอยู่ได้โดยไม่มีรั้วกั้น อยากให้คนดู Appreciate กับชิ้นงาน อยากให้คนรู้ได้ว่าชิ้นไหนควรแตะ ชิ้นไหนไม่ควรแตะ อยากให้คนกลับมาพิพิธภัณฑ์กันบ่อย ๆ โปรแกรมที่ดูเหมือนจะทำเงินไม่ได้ ก็อยากให้มันเป็นธุรกิจได้ เราอยากให้ Art Business นี้อยู่ได้อย่างยั่งยืน”

วันนี้เราจะพาเดินเข้าสำนักงานของ One Bangkok ไปทักทายทีม Art & Culture ที่เต็มไปด้วยเหล่าตัวท็อปด้านความคิดสร้างสรรค์มารวมตัวกัน

พวกเขาเหล่านี้จะพาเราไปดูว่า หากว่ากันด้วยเรื่องงานศิลปะและวัฒนธรรม คุณจะได้เห็นอะไรจาก One Bangkok บ้าง

เมืองแห่งความรุ่มรวยทางศิลปะ

หากอยากเห็นภาพรวมของศิลปะใน One Bangkok ผู้ที่ทุกคนเรียกว่า ‘พี่ปุ๋ม’ คนนี้ตอบเราได้

เราเริ่มพูดคุยกับเธอด้วยคำถามที่ว่า สำหรับเธอแล้ว One Bangkok คืออะไร

“เรามองว่ามันเป็นเมืองเมืองหนึ่งที่ประกอบไปด้วยชีวิตมากมาย” เธอตอบมาด้วยพลังเต็มเปี่ยม “มีชีวิตการช้อปปิ้ง ชีวิตของคนอยู่อาศัย มีคนหลากหลายธุรกิจมาทำงาน มีนักท่องเที่ยว มีคนที่ดูแลเรื่องบริหารจัดการเพื่อให้เมืองนี้มีประสิทธิภาพที่สุด” 

“ถ้ามองจากมุมคนที่ดูแลแผนกศิลปะและวัฒนธรรม มันเป็นเมืองที่พิเศษมากเลย เพราะเปิดให้ทุกคนมามีประสบการณ์กับงานศิลปะได้ เป็นศิลปะเพื่อสาธารณะ” จรินทร์ทิพย์กล่าว “มันอาจจะแปลกนะที่เราเป็นโครงการเอกชนแต่ทำสิ่งนี้ แต่เรามองว่าการที่มีงานศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่งเพื่อให้คนเข้ามาใช้ชีวิต เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี”

เพราะคิดแบบนั้น ที่นี่จึงมีทีม Art & Culture ตั้งแต่โครงการเริ่มตั้งไข่

ซึ่งแม้ว่าโครงการเอกชนเน้นเรื่องศิลปะจะเป็นเรื่องแปลก และการมีอยู่ของทีมนี้ในวงการอสังหายิ่งแปลกขึ้นไปใหญ่ แต่ปุ๋มมองว่า หากงานศิลปะวัฒนธรรมเป็นเพียงอีเวนต์ ทุกอย่างจากกลายเป็นเพียงแค่ของชั่วคราว ปุ๋มอยากเคลื่อนไหวอย่างจริงจังมากกว่านั้น ซึ่งทีมผู้บริหารของ One Bangkok ก็เข้าใจและเห็นตรงกัน

คนแบบไหนที่คุณอยากได้มาร่วมทีม – เราถามหัวเรือใหญ่

เธอหัวเราะก่อนจะนิ่งคิดชั่วครู่

“สิ่งที่พี่มองหาเสมอคือคนที่มีแพสชันในแบบเดียวกัน รักในงานที่ทำ และสามารถทำงานออกมาอย่างโปรเฟสชันนัลได้”

6 ความพิเศษที่เรารอคอย

01 The Wireless House One Bangkok

The Wireless House One Bangkok คืองานขาแรกที่ทีม Art & Culture เล่าให้เราฟัง นำโดย ฟาง-นันทกานต์ ทองวานิช Curator และ ฟอง-อองฟอง เอี่ยมประพันธ์ Assistant Curator และมี เอก-เอกชัย ศิริเจริญกุล เป็น Architect

‘ถนนวิทยุ’ ตั้งชื่อมาจากอดีตที่เคยมีสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของประเทศ อย่าง ‘สถานีวิทยุโทรเลขศาลาแดง’ ตั้งอยู่ ซึ่งที่ตั้งของอาคารนั้นก็กลายมาเป็นที่ตั้งของ One Bangkok ในปัจจุบัน

ตอนที่ One Bangkok มาเช่าพื้นที่แห่งนี้ ในปี พ.ศ. 2559 ทีมงานรู้ว่ามีเสาวิทยุที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถานตั้งแต่ พ.ศ. 2526 ตั้งอยู่อยู่แล้ว และรู้ว่าจะต้องทำงานกับกรมศิลปากรในการขุดและย้ายเสาไปยังพื้นที่แห่งใหม่ตั้งแต่ต้น แต่เมื่อเริ่มขุดถึงพบว่ามีฐานรากอาคารทั้งฐานหลงเหลืออยู่ด้วย จึงได้กลับไปเจรจากับกรมศิลปากรใหม่ ว่านอกจากเสาแล้ว จะขอย้ายฐานรากอาคารไปเช่นกัน

โดยอาคารหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ถูกรื้อทิ้งเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาคารนี้ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปีเดียวกันกับเสาสัญญาณ

จากนั้น เมื่อย้ายเสาและฐานรากไปยังพื้นที่ใหม่ที่เหมาะสมกับ Masterplan ของ One Bangkok แล้ว ทางทีมงานก็สร้างอาคารขึ้นมาใหม่ ตามแบบพิมพ์เขียวที่หลงเหลือไม่มีผิดเพี้ยน 

สุดท้ายอาคารหลังใหม่นี้ก็กลายเป็น The Wireless House One Bangkok ซึ่งมีนิทรรศการถาวรที่เล่าถึง ‘Sense of Roots’ ของพื้นที่และถนนวิทยุในแบบที่ไม่มีใครเล่ามาก่อน 

“เราพูดถึงอาคารหลังนี้ในขณะฐานะที่มันเปรียบเหมือนเป็น ‘จุดเริ่มต้นของความเป็นสมัยใหม่’ ของย่าน” ฟางอธิบายให้เราฟัง เธอไม่อยากจะพูดถึงอาคารหลังนี้แบบแห้ง ๆ หรือไม่เชื่อมโยงกับคนสมัยนี้ “เมื่อก่อนย่านนี้เป็นทุ่งนา การมีอาคารหลังนี้มาตั้งทำให้เราส่งสัญญาณคุยกับต่างชาติได้ และเป็นส่วนหนึ่งที่นำมาซึ่งการเข้ามาใช้พื้นที่ของคนอื่น ๆ ต่อมา จนทำให้ย่านนี้กลายเป็นย่านเศรษฐกิจอย่างที่เราคุ้นเคยทุกวันนี้”

ความน่าสนใจอีกอย่าง คือระหว่างขุดค้น นักโบราณคดีพบวัตถุถูกฝังอยู่ใต้ดินกว่า 1,500 ชิ้น พวกเขาจะเวียนจัดแสดงวัตถุให้คนค่อย ๆ เข้ามาชมเพื่อทำความรู้จักพื้นที่ 

แต่ละชิ้นไม่ใช่ของมีค่าราคาสูงเหมือนตามพิพิธภัณฑ์ที่เราเคยไป แต่เป็นของใช้ที่เล่าถึงวิถีชิวิตของผู้คนธรรมดา (ส่วนใหญ่เป็นพี่ ๆ ผู้ชาย) ที่เคยอยู่ที่นี่ และการเปลี่ยนผ่านพื้นที่ ตั้งแต่ตอนเป็นทุ่งนา ตอนเป็นพื้นที่ของทหาร ไปจนถึงตอนเป็นสนามมวยลุมพินี คุณจะได้เห็นตั้งแต่กระเป๋านักเรียนเตรียมทหาร น้ำยาแต่งผม เบี้ยพนัน ขวดเหล้า ไปจนถึงไหน้ำปลา และทุกชิ้นผ่านกระบวนการสืบเสาะที่มาอย่างถูกต้องทั้งหมด

โดยทั้งหมดนี้จะเล่าด้วย Branding และ Visual ที่มีความร่วมสมัย ไม่ทำให้นิทรรศการนี้เป็นความโบราณคร่ำครึ

“ทุกอย่างที่เราทำ เรามี Document เก็บไว้อย่างถูกต้องทั้งหมดตั้งแต่วันแรก และจะเป็นข้อมูลที่ดีมาก ๆ ให้กับเด็กสายสถาปัตยกรรมศาสตร์ งานอนุรักษ์ต่าง ๆ นานา” ปุ๋มเสริม

“เราไม่ได้พูดถึงการหวนระลึกถึงอดีตอย่างเดียว แต่พูดถึงอนาคตของย่านนี้ด้วย เราอยากให้ที่นี่เป็นตัวแทนของ Neighborhood นี้”

02 The Wireless Club

One Bangkok ตั้งใจมากที่จะทำให้ The Wireless House One Bangkok เป็นจุดหมายแรกที่ผู้มาเยือนห้ามพลาด จึงคิดต่อยอดไปว่า อยากจะให้บริเวณใกล้เคียงมีประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับส่วน The Wireless House One Bangkok

จากสถานีวิทยุโทรเลข ซึ่งเป็นการกระจายเสียงด้วยสัญญาณรหัสมอร์สในสมัยก่อน มายุคนี้จึงมาคิดถึงเรื่องของเสียงเพลง’ กันแทน แล้วสร้างเป็น Broadcasting Studio นำโดย แอร์-วิชญ์ธนา ธารจินดาวงศ์ Assistant Curator

ที่นี่จะมีเพลย์ลิสต์จัดทำพิเศษสำหรับการใช้ชีวิตใน One Bangkok มีแขกรับเชิญพิเศษที่จะมานำเสนอรสนิยมและตัวตนผ่านดนตรีหลากยุคสมัย และที่แอร์ตั้งใจจะทำเป็นพิเศษก็คือ Community Radio ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Collective DJ หรือศิลปินดนตรีใต้ดิน ปัจจุบันมีกลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในกรุงเทพฯ มากมาย แต่ยังไม่ได้มีพื้นที่แสดงฝีมือที่เหมาะสม 

“จริง ๆ แล้ว เราหมายถึงใด ๆ ก็ตามที่มีเสียง ไม่ได้มีแค่ดนตรีนะครับ ในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้ทำโปรแกรมทอล์ก พอดแคสต์ หรือ Sound Art ที่ไม่ค่อยมีในเมืองไทยด้วย” แอร์ว่า 

One Bangkok อยากให้ที่นี่กลายเป็น Hub ที่คนรักดนตรีมาใช้เวลาร่วมกัน เหมือนกับคนเมื่อ 100 ปีที่แล้ว รวมตัวกันฟังวิทยุ แม้ตอนนี้จะยังเป็นแค่มุมมุมหนึ่งในโครงการ แต่อนาคตจะกลายเป็นสตูดิโอขึ้นจริง ๆ 

และอย่างสุดท้ายที่แอร์เล่า ก็คือส่วนของ The Wireless Club ซึ่งพิเศษตรงที่ตอนกลางวันจะเป็นร้านกาแฟ และกลางคืนจะแปลงร่างเป็น Listening Bar

NarWhale

03 One Bangkok Public Art Collection

Public Art หรือ ศิลปะสาธารณะ เป็นเหมือนไฮไลต์ของ Art & Culture ก็ว่าได้

ภายในโครงการ One Bangkok ประกอบไปด้วยอาคารนับสิบ และแต่ละอาคารนั้นก็มีเรื่องราวต่างกัน ผู้ใช้งานแตกต่างกันไป จึงตั้งใจนำศิลปะแทรกตัวเข้าไปในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อที่จะเชื่อมโยงแต่ละพื้นที่เข้าด้วยกัน ทั้งแลนด์สเคป พื้นที่ออฟฟิศ โรงแรม พื้นที่พักอาศัย

และที่สำคัญ ทำให้สาธารณชนเข้าถึงได้โดยไม่เสียตังค์แม้แต่แดงเดียว

ในส่วนนี้ กราฟ-ปภพ เกิดทรัพย์ Curator และ กานต์-ณัฐกานต์ วัชระสุขโพธิ์ Assistant Curator เป็นผู้รับผิดชอบหลัก

“Public Art มีปัจจัยเยอะมาก ๆ ที่ต้องคำนึงถึง” กราฟกล่าว ก่อนจะยกตัวอย่างถึงความเข้ากันกับไซต์ การทำงานกับผู้ใช้งานพื้นที่ การออกแบบไซต์ การติดตั้ง และการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องคิดถึงระหว่างกระบวนการทำงาน

Public Art เหล่านี้จึงต้องเริ่มคิดมาพร้อม ๆ กับการออกแบบพื้นที่ กำหนดในเฟรมเวิร์กว่างานประเภทไหนควรอยู่ตรงไหนตั้งแต่แรก และเหล่าคิวเรเตอร์ก็ต้องร่วมประชุมกับทุกแผนกจนเห็นภาพศิลปินประจำแต่ละจุดชัดเจน

“ถ้าคิดเรื่องนี้ทีหลัง เราจะไม่สามารถมีงานอาร์ตที่ Site Specific เข้ากับพื้นที่จริง ๆ แปลว่าเรามีโอกาสเต็มที่ได้แค่ Painting แต่หลาย ๆ อันมันถูกคิดมาตั้งแต่แรกแล้ว” ปุ๋มเสริมกราฟ

กราฟกับกานต์เป็นอีก 2 คนในทีมที่ถือว่ายุ่งมาก พวกเขาต้องคุยกับ Interior Designer คัดเลือกศิลปิน คุยงานกับศิลปิน ดูแลเรื่องการสร้างสรรค์ในเชิงเทคนิค รวมไปถึงงานหลังบ้าน การทำเอกสารต่าง ๆ การทำประกัน และการขนส่งชิ้นงานศิลปะ สารพัดจะต้องจัดการ

ซึ่งผู้ที่จะมาร่วมสร้างสรรค์งานก็มีทั้งศิลปินไทยและศิลปินระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Tony Cragg, Anish Kapoor หรือศิลปินดังคนอื่น ๆ ที่ One Bangkok จะทยอยประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

80% ในโครงการเป็นงานถาวรที่จะอยู่ตรงนั้นไปตลอด ส่วน 20% ที่เหลือจะเป็นส่วนหมุนเวียนที่มาเติมสีสันให้พื้นที่ ถ้ารวมกับ Urban Furniture ที่ชนะจากการประกวดแบบมาแล้ว จะได้ประมาณ 30 ชิ้นใน Phase แรก และอาจเพิ่มอีกเรื่อย ๆ หากมีโอกาสเหมาะ ๆ ในอนาคต

จากข้อมูลของทางคิวเรเตอร์ ที่จริงแล้ว 30 ปีก่อนกรุงเทพฯ ก็เคยมีโครงการ Public Sculpture เกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็ทำอย่างไม่ต่อเนื่อง จนการสร้างบรรยากาศให้ผู้คนรู้จักเสพอาร์ตค่อย ๆ หายไป

“คนทั่วไปอาจมองว่าศิลปะจะต้องอยู่แต่ในแกลเลอรี มีแต่คนอาร์ต ๆ ที่เข้าไปดูได้ แต่จริง ๆ มันอยู่ในพื้นที่สาธารณะได้ แค่เดินเข้าไปก็สัมผัสศิลปะได้” กานต์ยืนยันว่า One Bangkok มองว่าศิลปะเป็นเรื่องใกล้ตัว

“Public art helps humanize built environment.” ศิลปะสาธารณะจะช่วยทำให้สิ่งปลูกสร้างมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา กราฟบอกกับเรา

04 Art Gallery

One Bangkok จะมี Art Gallery เป็นของตัวเอง และเป็นสนามเด็กเล่นให้เหล่าคิวเรเตอร์ได้ปล่อยของเต็มที่

ในช่วงเปิดโครงการ One Bangkok จะทำงานร่วมกับ Bangkok Art Biennale ที่เคยร่วมมือกันมาตั้งแต่ปี 2018

One Bangkok จะเป็นผู้สนับสนุนหลักของ BAB 2024 และพื้นที่แห่งนี้จะกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่จัดแสดงของ BAB ที่จัดขึ้นทั่วทั้งกรุงเทพฯ

หลังจากนั้นทางโครงการจะมีโปรแกรมเป็นของตัวเอง แต่ขออุบไว้ก่อนว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

05 Experiential Art Space

Experiential Art Space หรือที่เรียกกันว่า EAS เป็นพื้นที่ Retail ที่ผสานความเป็น Art & Culture เข้าไป สู่ไลฟ์สไตล์ของผู้คน นำโดยฟางและฟองจาก The Wireless House One Bangkok

ด้วยพื้นที่นี้เคยเป็นทุ่งนามาก่อนในสมัย ร.4 – 6 และเป็นอีกหนึ่ง Sense of Roots นอกเหนือจากสถานีวิทยุโทรเลขศาลาแดง คอนเซปต์หลักของ EAS ก็คือ ‘ข้าว’ และจากข้าว ก็ตีความออกมาเป็นสเปซ เป็นร้านขายของ ที่เข้ากันได้ดีกับความเป็นคนเมือง

ใดใดก็ตาม รายละเอียดในส่วนนี้ยังเป็นความลับอยู่ และ EAS ก็ยังคงเป็นชื่อเรียกเล่น ๆ แต่รับรองว่าเปิดตัวเมื่อไหร่ นี่จะเป็นอีกส่วนที่น่าสนุก

06 Art Activities

กิจกรรมเองก็เป็นอีกอย่างที่จะเป็นสีสันให้กับพื้นที่ ทำให้ One Bangkok น่าสนใจสำหรับทุกคน และอยากให้คนที่เคยมาเยือนแล้ว อยากมาอีก

การคิดกิจกรรมก็จะต้องคิดควบคู่ไปกับ Calendar Year ของโครงการ เพื่อออกแบบความคิดสร้างสรรค์ในแบบของ One Bangkok ที่ไม่ใช่แค่การตะโกนให้เสียงดังที่สุดแน่นอน

พวกเขาอยากสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างสถานที่กับผู้คน และไม่ทำให้ศิลปะถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง เช่น Artventure ที่ถูกคิดมาเพื่อปลูกความคิดสร้างสร้างให้กับเด็ก ๆ ผ่าน Public Art ซึ่งไม่เพียงเด็กจะได้สนุกกับกิจกรรมเท่านั้น แต่ผู้ปกครองจะได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกับเด็ก ๆ ด้วย

และผู้ที่ดูภาพรวมของการริเริ่มไอเดียและสร้างโอกาสทางธุรกิจในทุก ๆ โปรแกรมที่เกิดขึ้นภายใต้ Art & Culture ก็คือ ม่อน-อมร มงคลแก้วสกุล จาก Innovation & Business Development บทบาทของม่อนคือการดูแลให้เรื่องราวมีความน่าสนใจ ร่วมสมัย และเข้าถึงผู้คน เช่น การร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ การดีไซน์คอมมูนิตี้คนรักเสียงเพลง การทำ Merchandise

ซึ่งการออกแบบสินค้าของตัวเองโดยเฉพาะ รับผิดชอบโดยทีม Merchandise

“Merchandise ของ One Bangkok เป็น Creative Product ที่จะมาเติมความพิเศษให้แต่ละกิจกรรม” กิฟท์-จิตรลดา วงศ์พราวมาศ จาก Merchandise กล่าว ในเมื่อแต่ละพื้นที่ แต่ละกิจกรรมของโครงการต่างก็มีที่มาที่ไป พวกเขาก็เห็นโอกาสในการเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตัวสินค้าเช่นกัน และสมมติว่า One Bangkok มีการร่วมงานกับศิลปินคนหนึ่ง ก็เป็นโอกาสดี ๆ สำหรับ Merchandise แล้ว

เท่ากับว่าใครมาเดินดูงานศิลปะก็จะได้ช็อปปิ้งสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่หาซื้อไม่ได้ที่อื่นด้วย

One Bangkok มีภาพลูกค้าแบบไหนในใจ – เราเอ่ยถามทีม Marketing Communication ที่ประกอบด้วย จูน-ชนิดาภา ปัญญาพลเสรี, ยีน-พัชรลัย ตั้งไพฑูรย์สกุล และ พิช-พิชฌน์ จันทร์พริ้ม

“เอาจริง ๆ นะคะ One Bangkok ตอบรับทุกคนได้ ไม่ว่าคุณจะมี Persona แบบไหน สไตล์เป็นยังไง มีไลฟ์สไตล์หรือทำกิจกรรมอะไร” จูนตอบ 

ทีมนี้ทำงานกับทุกทีมใน Art & Culture สร้าง Branding กำหนด Positioning แล้วคลอดเป็น CI จากนั้นจึงวางแผนสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนที่อยากพูดคุยด้วย ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ เช่น Art Activity

“ในวันที่เข้ามา สิ่งที่ทำคือการจำลอง Persona ของแต่ละกลุ่ม ตั้งแต่คนที่แค่ผ่านเข้ามาในโครงการ ไปจนถึงคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการ รีเสิร์ชและวางแผนกันหมดแล้วว่า Journey แต่ละวันของคนแต่ละกลุ่มจะมีศิลปะแทรกซึมไปในชีวิตได้ยังไงบ้าง”

‘ศิลปะ’ ที่นี่ ตอบโจทย์ผู้คนในหลายระนาบ 

ที่นี่จะต้องมีงานระดับคุณภาพสากล หาดูยากในประเทศไทย เพื่อให้ ‘ผู้หลงใหลในศิลปะ’ ได้เสพ มี Audio Guide และอีกหลายช่องทางให้สัมผัสประสบการณ์ ทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการพัฒนา

ทั้งยังต้องเข้าถึง ‘กลุ่มแมส’ คนทั่วไปที่อาจมาดูศิลปะตามเทรนด์ สนใจความงาม ถ่ายรูปสวย 

และต้องแตะถึง ‘คนที่ไม่ได้สนใจอาร์ตเลย’ อย่างผู้คนที่ทำงานในโครงการ ซึ่งปกติแล้วอาจแวะซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วกลับบ้านเลย อย่างน้อยหาก Public Art Collection ทำหน้าที่เป็นแลนด์มาร์กให้คนจำทางได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ

“ไม่เป็นไรเลยที่หลายคนไม่ได้มีศิลปะในความสนใจ แต่งานศิลปะก็ต้องอยู่กับเขาได้อย่างไม่เคอะเขินหรือทำให้เขารู้สึกแปลกแยกกับ One Bangkok” จูนกล่าว

ซึ่งทีมก็จะไปถึงเป้าหมายไม่ได้เลย หากขาดน้องเล็กของทีม นุกนิก-สถิตย์ภรณ์ วนารุ่งเรือง กับตำแหน่งหน้าที่ที่ขาดไม่ได้ Administrative

นุกนิกผู้มาจากสายแลป แต่เข้ามาทำงานสายศิลปะเพราะใจรัก มีหน้าที่เป็นเหมือนตัวแทนทีมในการพูดคุยกับฝ่ายอื่น ๆ ที่ไม่ได้ดูแลด้านศิลปะโดยตรง เช่น ทีมกฎหมาย ทีมบัญชี เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันถึงทิศทางที่ Art & Culture จะมุ่งไป และเพื่อที่งานจะออกมาได้สมบูรณ์ราบรื่น

ทั้งนี้ เมืองศิลปะแห่งนี้หวังลึก ๆ เสมอ ที่จะให้ผู้คนกลุ่มที่ใกล้ชิดศิลปะน้อยที่สุด ค่อย ๆ ขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่สนใจศิลปะมากขึ้น และมากขึ้น ด้วยการแวดล้อมด้วยศิลปะทุกวัน

One Bangkok กับ บทบาท ‘ผืนผ้าใบของเมือง’

ทีม Art & Culture อยากจะยกระดับและเพิ่มความสมบูรณ์ให้ One Bangkok ผ่านศิลปะและวัฒนธรรม และให้ Philosophy ของที่นี่ไว้ว่า ‘Inspiring Urban Canvas’ ซึ่งหมายถึงการเป็นผืนผ้าใบขนาดใหญ่ ที่ต้องอาศัยพู่กันของผู้คนมาแต่งเติมสีสันไปด้วยกัน โดยผ้าใบผืนนี้มีความเป็นสาธารณะ เปิดกว้างให้ทุกคนเข้ามาใช้งานได้เต็มที่ (Placemaking) และอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้คุณภาพชีวิตในเมืองนี้ดียิ่งขึ้น (Sense of Belonging)

One Bangkok ยังมุ่งมั่นที่จะเป็น Art Destination ไม่ว่าจะระดับท้องถิ่นหรือระดับโลกด้วย พวกเขาอยากให้ครอบครัวนึกถึงเวลาอยากพาลูกหลานไปเที่ยว และอยากให้คนในแวดวงศิลปะเข้ามาเมื่ออยากลงมือทำอะไรบางอย่าง

การจะไปถึงจุดนั้นได้ ทีม Art & Culture ตั้งใจสร้าง 4 อย่างด้วยกัน คือสร้างความเชื่อของผู้คน สร้าง Art Space ที่มีคุณภาพ เป็นมิตรและมีชีวิตชีวา สร้าง Art Program ดี ๆ สร้าง Art Community ของดีไซเนอร์ คิวเรเตอร์ ศิลปินระดับนักเรียนจนถึงระดับท็อป

ซึ่งสิ่งสำคัญไม่แพ้เรื่องไหน คือพวกเขาตั้งใจเชื้อเชิญให้ผู้คนเข้ามาที่โครงการมากขึ้นเพื่อมาสัมผัสงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ รวมถึงได้เรียนรู้ถึงพื้นฐานของสิ่งที่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงเมื่อมาชมงาน

One Bangkok ยังตั้งใจสื่อสารให้สาธารณชนเข้าใจว่าศิลปะสำหรับพวกเขา ไม่ใช่แค่ Marketing ชั่วคราว แต่ผลักดันกันอย่างจริงจัง คิดถึงขนาดว่าจะเป็น ‘มาตรฐานใหม่’ ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และจะมีเจ้าอื่นจะเริ่มเห็นความสำคัญตามกันมาเรื่อย ๆ

ตอนนี้คนไทยเริ่มสนใจศิลปะกันมากขึ้น ดูจากที่นิยมไปเดินเล่นหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แม้ว่าในระดับต้นจะเป็นการไปถ่ายรูป แต่ก็ได้เริ่มเอาตัวเองเข้าไปหาศิลปะ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น One Bangkok ก็เป็นหน่วยงานเอกชน จะดีกว่านี้ถ้าในอนาคตภาครัฐจะสนับสนุนด้านศิลปะให้มากขึ้น

ปุ๋มยกตัวอย่างว่าบางเมืองในโลกนี้ตั้งเป็นกฎของเมืองด้วยซ้ำ ว่าลงทุนเท่าไหร่ จะต้องกลับมาเป็น Public Art Program เท่าไหร่ บางประเทศก็ถึงขั้นเป็น Tax Incentive ซึ่งของเหล่านี้เอกชนทำเองไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม One Bangkok ก็จะผลักดันศิลปะให้ถึงที่สุด สุดขอบที่ทำได้ 

“ปรัชญาหนึ่งของโครงการ One Bangkok คือ ถ้ามองว่าน้ำไฟสำคัญ ศิลปะก็สำคัญเช่นเดียวกัน เป็นเหตุผลที่เราพูดถึงพื้นที่ศิลปะเวลาโปรโมต” ปุ๋มกล่าว

“ที่นี่เราเดินเข้าไปสัมผัสงานศิลปะได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเข้าไปในแกลเลอรีหรือมิวเซียมดี ๆ เพราะพวกเราคิดว่าศิลปะคือโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้คนและสังคมมีโอกาสได้เติบโตร่วมกับศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลาย”

เราเชื่อว่า ที่นี่จะเป็นโครงการที่น่าสนใจในแง่ศิลปะสำหรับคนกรุงเทพฯ หรือผู้มาเยือน และคงสร้างสีสันใหม่ ๆ ให้กับเมืองได้อีกเยอะ

อยากเห็นแล้วว่าบรรยากาศจะเป็นยังไง

Writer

พู่กัน เรืองเวส

พู่กัน เรืองเวส

อดีตนักเรียนสถาปัตย์ สนใจใคร่รู้เรื่องผู้คนและรูปแบบการใช้ชีวิตอันหลากหลาย ชอบลองทำสิ่งแปลกใหม่ พอ ๆ กับที่ชอบนอนนิ่ง ๆ อยู่บ้าน

Photographer

Avatar

นินทร์ นรินทรกุล ณ อยุธยา

นินทร์ชอบถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ซื้อฟิล์มให้ไม่ยั้ง ตื่นเต้นกับเสียงชัตเตอร์เสมอต้นเสมอปลาย เพื่อนชอบชวนไปทะเล ไม่ใช่เพราะนินทร์น่าคบเพียงอย่างเดียวแน่นอน :)