เพราะเรื่องราวความเขียวของเมืองสิงคโปร์ เพื่อการเป็น City in The Park ภายใน ค.ศ. 2030 ยังไม่หมดแค่สวนสัตว์อย่างโครงการ Mandai เราเลยชวนลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้อีกประมาณ 20 กิโลเมตร เพื่อเดินสำรวจพื้นที่สาธารณะสีเขียวสุดไฮเทคอีกแห่งอย่าง ‘Jurong Lake Gardens’ สวนสาธารณะแห่งชาติที่แรกใจกลางเมืองสิงคโปร์ในเขตจูร่ง
จูร่งเคยเป็นเมืองอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 60 และเป็นเขตที่มีความหนาแน่นสูง ด้วยเหตุนั้น หลักการโครงข่ายสีเขียวจึงเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มภูมิทัศน์และความยั่งยืนให้เมืองนี้ ทั้งการสร้างทางน้ำขึ้นมาใหม่ วางระบบขนส่งเพื่อให้เกิดการโดยสารด้วยรถยนต์น้อยลง ทั้งยานยนต์ไร้คนขับ แถมยังกระซิบว่า ในอนาคตจะมีทางรถไฟความเร็วสูงสายกัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์ พาดผ่าน ผสานความยั่งยืนและมรดกทางวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน จนได้รับการยกให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจน้องใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่าง Jurong Lake District ในอนาคต
หลังประตูบานนี้ พื้นที่สีเขียวที่ว่าจะเป็นแบบไหน ชวนเยื้องย่างไปดูเบื้องหลังแนวคิดและความล้ำของเขตจูร่งพร้อมกัน
01 ติดแอ่งน้ำก็เขียวได้
ชื่อ Jurong นี้ เชื่อว่ามีที่มาจากหลายแหล่ง แต่ที่คาดว่าเป็นไปได้มากสุด คือมาจากคำว่า Penjuru ในภาษามาเลเซีย ซึ่งแปลว่ามุม เปรียบเสมือนคาบสมุทร เพราะจูร่งเป็นดินแดนติดน้ำ ทำให้ต่อมาถูกเรียกขานว่า Jurong Lake District หรือเขตทะเลสาบจูร่ง และถ้ามองดีๆ พื้นที่ตรงนี้มีความท้าทายพอสมควร เป็นคำถามว่า แล้วจะปรับปรุงย่านที่อยู่ติดกับทะเลสาบอย่างไร

ถ้าอย่างนั้น ก็ใช้ประโยชน์จากการเป็นเมืองติดทะเลสาบนี่แหละ! -เมืองตอบ
นั่นเป็นที่มาของพื้นที่สาธารณะริมน้ำจนกลายเป็นซิกเนเจอร์ของเมืองอันเขียวขจี แถมยังมีการพัฒนาต่อ เชื่อมบรรดาสวนสาธารณะและย่านที่อยู่เข้าด้วยกันให้ เกิดเป็น Green Loop ให้เดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอ Green Space ได้ง่ายๆ พร้อมยึดการออกแบบที่ยั่งยืนและใช้เทคโนโลยีมามีส่วนช่วยในทุกส่วน เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งเมือง

โดยหนึ่งในพื้นที่สีเขียวรวมๆ กันเกือบ 100 เฮกเตอร์หรือกว่า 600 ไร่ ขนาบทะเลสาบกว่า 17 กิโลเมตร ยังคว้ารางวัล Urban Land Institute Asia Pacific Award for Excellence มาสดๆ ร้อนๆ ในปีนี้โดยตั้งใจให้ Public Space แห่งนี้เป็นของทุกคนอย่างแท้จริง
02 ทัวร์สวนนานาชาติ
สวนแห่งนี้มีอายุ 3 ปีแล้ว นับตั้งแต่ ค.ศ. 2019 โดยทุกส่วนสร้างขึ้นมาเพื่อการรวมตัวกันของครอบครัวและชุมชน ซึ่งในเขตสวนสาธารณะจูร่งมีพื้นที่หลากหลายรูปแบบให้เลือกสรร
ทั้งสวนที่กำลังดำเนินการให้เกิดขึ้น อย่าง Lakeside Garden สวนธีมธรรมชาติ วิวสนามเป็นสโลปลู่ลงมายังทะเลสาบ ประกอบด้วยทางเดินริมทะเลและสวนลอยน้ำ รวมถึงพื้นที่สำหรับเยาวชนกลาง Wetland อย่างลานสเก็ตหรือที่ปีนเขา ได้รับการออกแบบร่วมกันกับชุมชน ให้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้ต่อไป

เดินลอดซุ้มไม้ไผ่สูดไม้หอม ก่อนเข้า Chinese and Japanese Gardens ที่ยังคงอนุรักษ์สภาพภูมิประเทศเดิม แต่เพิ่มเติมความงามแบบงานศิลป์ ลงไปสร้างลานกิจกรรมใหม่ที่จุคนได้ถึง 7,000 คน


ที่น่าตื่นตาคือ ในตอนเย็นมีลานโคมไฟสว่างไสวให้มานั่งมองพระจันทร์สะท้อนเงาน้ำ ถัดมาที่สวนญี่ปุ่น จะมีสวนดอกไม้และพืชเขตร้อน รวมทั้งต้นปรงที่ทรงปลูกเมื่อ ค.ศ. 1970 โดย สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ แห่งญี่ปุ่น ในคราวที่เสด็จฯ เยือนสิงคโปร์ก่อนขึ้นครองราชสมบัติ
นอกจากนี้ ยังเดินข้ามสะพานเชื่อมทิศเหนือกับทิศตะวันออกของเกาะได้ด้วย และส่วนที่ห้ามพลาด คือสระบัวซึ่งรวบรวมสายพันธุ์บัวที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์

ต่อมายังมี Southern Promenade พื้นที่ 8 เฮกตาร์ทางตอนใต้ของสวน สร้างขึ้นเพื่ออนุรักษ์พืชพันธุ์และสัตว์ป่า ถ้ามองดีๆ เราจะได้เห็นนกพื้นเมืองและต้นบันยันโตเต็มที่ให้พวกมันใช้พักพิง
นอกจากนี้ ที่นี่มีแลนด์มาร์กน่าปักหมุดอยู่อีกมากมาย ทั้งทางเดิน Rasau Walk ชมพันธุ์พืชมากกว่า 500 สปีชีส์ Therapeutic Garden สวนบำบัดที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุผู้เป็นโรคสมองเสื่อม เด็กๆ ที่มีภาวะออทิสติกขั้นไม่รุนแรงหรือสมาธิสั้น ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่อยากมาผ่อนคลาย และสนามเด็กเล่นธรรมชาติให้น้องหนูได้สำรวจสิ่งมีชีวิตอย่างสนุกสนาน


03 แหล่งรวมความไฮเทคล้ำยุค
มากไปกว่าสวนหลากหลายรูปแบบที่คิดมาเพื่อทุกคนแล้ว Jurong Lake Gardens ยังสร้างสรรค์ความล้ำหน้าทางนวัตกรรมและการออกแบบอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ขอเริ่มกันที่ Zero Energy Buildings สวนแห่งนี้มีการใช้งานอาคารด้วยระบบพลังงานเป็นศูนย์ ใช้การก่อสร้างแบบใหม่คือ Mass Engineered Timber (MET) หรือไม้ที่ถูกปรับคุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ให้ทั้งสวยงาม คงทน ใช้เนื้อไม้น้อยกว่า และแข็งแรงกว่าการใช้คอนกรีต แถมยังช่วยลดผลกระทบจากการก่อสร้าง เช่น มลพิษทางเสียง การใช้รถขนส่ง และของเสียได้มากขึ้น
ส่วนของเสียจากพืชในสวนเอง จะนำไปแปลงเป็นพลังงานภายในอาคาร และแปลงเป็นถ่านชีวภาพหรือไบโอชาร์ (Biochar) เพื่อผลิตพลังงานความร้อนต่อไป รวมทั้งสร้างระบบหมุนเวียนน้ำแบบปิดเพื่อให้นำน้ำกลับมาใช้ใหม่อย่างต่อเนื่อง

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือเทคโนโลยีสุดเท่อย่างรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles : AV) นับเป็นที่แรกๆ ที่มีการทดสอบยานยนต์ดังกล่าวในสวนสาธารณะใจกลางเมือง สำหรับรถคันนี้ นักท่องเที่ยวใช้งานเพื่อเดินทางเข้า-ออกสวนสาธารณะได้ฟรีด้วยนะ


ไม่น่าเชื่อว่าสิงคโปร์จะเปลี่ยนพื้นที่ที่ดูเหมือนยากต่อการต่อยอด สู่เครือข่ายสวนเขียวหลายร้อยไร่เข้าไว้ด้วยกัน โดยยังคงทั้งลักษณะเมืองดั้งเดิมและผู้คน แถมยังเตรียมพัฒนาต่อเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ของประเทศได้ด้วย แต่ละโปรเจกต์การสร้างพื้นที่สีเขียวของสิงคโปร์ มีอะไรให้ศึกษาและเก็บเกี่ยวความรู้อยู่เสมอเลย เอาไว้เปิดประเทศและสร้างเสร็จเมื่อไหร่ เจอกันแน่!
ขอบคุณภาพและข้อมูล