1

“คนเราผิดพลาดเป็นครั้งแรกเสมอ” คือคำพูดสุดท้ายของ จี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร ก่อนเราจากลากัน

จากออฟฟิศใหม่กริบของ The Cloud ชั้น 26 เราลงมาชั้นล่างสุดพร้อมพาแขกคนสำคัญมาส่ง

ย้อนกลับไป 3 ชั่วโมงก่อนหน้า สารภาพตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราจำเวลาผิด

จะไม่เครียดเลยถ้าคนที่นั่งรอเราอยู่ก่อนไม่ใช่นักแสดงหนุ่มมาดเซอร์ ผู้คว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวทีสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยไปหมาด ๆ และกำลังจะมีภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีเรื่อง อนงค์ ร่วมกับ โบว์ เมลดา ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้

เป็นใครก็คงไม่พอใจที่เรามาสาย ผิดคาดที่จี๋ต้อนรับเราอย่างเป็นมิตร

เขามาในลุคสบาย ๆ สวมเสื้อยืด กางเกงยีน ไร้การแต่งหน้า พร้อมผู้จัดการและผู้ติดตามท่าทางใจดี

เราทักทายเขาด้วยคำขอโทษ จี๋คลี่ยิ้มไม่เป็นไร เขาบอกว่าแค่มีกาแฟให้ดื่มก็พอใจแล้ว

2

หลังจี๋อนุญาตให้เราพักหายใจชั่วครู่ เราเริ่มต้นคุยกับเขาด้วยข้อสงสัยว่า ทำไมชายหนุ่มที่ดูอัธยาศัยดีถึงให้สัมภาษณ์น้อยมาก

จี๋เองก็เห็นด้วย เขาไม่ได้พยายามปกปิดเรื่องส่วนตัวหรอก เพียงแต่ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง

จากประสบการณ์ แขกหลายคนหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ด้วยเหตุผลว่าชีวิตพวกเขาน่าเบื่อ ราบเรียบ ไม่น่าสนใจ 

“กำลังจะถามว่าชีวิตเราสนุกไหมเหรอ” ยังไม่ทันได้อธิบายเหตุผลเพิ่มเติม จี๋ก็สวนขึ้นมาก่อน “ชีวิตเราโคตรสนุกเลย” 

เราเบิกตากว้างตามประสาคนรู้จักเขาเพียงน้อยนิด ก่อนขอให้จี๋เล่าเรื่องวัยเด็กให้ฟัง 

ชายหนุ่มโคลงแก้วกาแฟในมือ ตามองตรง แทนที่จะตอบคำถาม เขากลับหันไปรบกวนผู้ติดตามว่าขอนั่งคุยกับนักเขียนแค่ 2 คน

ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายของออฟฟิศใหญ่ที่ผู้คนเดินสวนกันไปมา จี๋สนใจแค่บทสนทนาและเรื่องเล่าของเขาเท่านั้น

3

หลายคนรู้จัก จี๋ สุทธิรักษ์ จากภาพยนตร์เรื่อง 4Kings 2 ในบทบาท รก หัวโจกโรงเรียนเทคนิคบุรณพนธ์ที่ทำให้เขาคว้ารางวัลสมทบชายยอดเยี่ยมมาครอง ด้วยพื้นฐานครอบครัวมีฐานะแต่ความสัมพันธ์ในบ้านไม่ค่อยดีนัก รกจึงดูสะอาดสะอ้าน ภูมิฐานกว่าตัวละครอื่น จี๋เองยังรู้ตัวว่าเขามีลุคคุณหนูเกินไปหน่อยสำหรับบทนี้ จนต้องลดน้ำหนักลงหลายกิโลกรัมและทำผิวกายให้คล้ำแดด

ดูเหมือนชีวิตจริงของจี๋จะคล้ายคลึงกับรกอยู่ไม่น้อย เขาเติบโตมาในครอบครัวดาราก็ว่าได้ พ่อเจี๊ยบ-พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร เป็นร็อกเกอร์ชื่อดัง แม่แจ๊คกี้-ณัฐรดา อภิธนานนท์ เป็นนักแสดงดีกรีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้จะถูกเลี้ยงดูด้วยความอบอุ่น จี๋ก็ยังเป็นเด็กเกเร ต่างตรงรกถูกส่งไปเรียนอาชีวะเพื่อตัดภาระ แต่จี๋ถูกส่งไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษในวัยมัธยมปลาย

เด็กคนอื่นมักมีเพื่อนวัยไล่เลี่ยกัน แต่จี๋ใช้เวลากับเพื่อนพ่อ-แม่ ที่แน่นอนว่าต้องเท่ไม่แพ้ผู้ให้กำเนิดของเขา ไม่แปลกใจที่จี๋จะรู้สึกโตกว่าเพื่อน 

หลังเขยิบจากเด็กชายเป็นนายได้เพียง 1 ปี จี๋เฉลิมฉลองการเป็นผู้ใหญ่ของเขาด้วยการไม่กลับบ้าน 1 ปีเต็ม จำนำโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อไม่ให้ครอบครัวติดต่อได้ เพราะเชื่อว่าตนเก่งพอจะเผชิญโลก

“อายุ 16 เป็นช่วงที่เด็กวัยรุ่นมั่นใจในตัวเองมาก ๆ ทำไมต้องมีใครมานั่งบอก การที่แม่โทรตามมันดูเหมือนเด็ก เราอยากออกไปสัมผัสชีวิต” เขาเล่าให้ฟังอย่างภูมิใจ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ให้อิสระเขามากเกินไปหรือตามเขาไม่ได้มากกว่ากัน

การส่งลูกไปอังกฤษของครอบครัวทรัพย์วิจิตรได้ผลหรืออาจเป็นเพราะบรรยากาศเทาทึมของสภาพอากาศ ความไกลบ้านทำให้จี๋ได้ใช้เวลาตกตะกอนกับตัวเอง 

นอกจากภาษาที่ 2 จี๋ได้ความทรงจำดี ๆ ได้ประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้เขาตัดสินใจเรียนต่อที่นี่ และรู้ตัวสักทีว่าเขาไม่ได้ตัวพองใหญ่อย่างที่คิด

“เรารู้สึกไม่เคยโตเลย จนกระทั่งวันนี้” เขายอมรับ “สุดท้ายความเครียดจะเข้ามาโดยไม่ตั้งตัวอยู่แล้ว ทำไมไม่สนุกไปกับมัน เราว่าชีวิตเกิดมาเพื่อมีความสุขเว้ย ไม่งั้นจะอยู่ไปทำไม”

4

จี๋ไม่ได้อยู่อังกฤษต่อ เขากลับมาเรียนปริญญาตรีที่ประเทศไทย

เขาคิดว่าชีวิตตัวเองเหมือนหนังเรื่อง ไชยา ของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่เล่าเรื่องศิลปะการต่อสู้โบราณของนักมวยคาดเชือก มีตัวละคร เปี๊ยก นักมวยตัวเอกของเรื่อง และ สะหม้อ คู่หูหมัดมวยที่กอดคอกันเข้าเมืองกรุงเพื่อหาเลี้ยงชีพผ่านขวากหนามสารพัน

ก่อนไปจากบ้านเกิด จี๋ให้คำมั่นสัญญากับเพื่อนสนิทคนหนึ่งไว้ว่าจะกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน จี๋เป็นขาลุย เอาจริงเอาจังเหมือนเปี๊ยก ส่วนเพื่อนคนนี้ก็ไม่เอาอ่าวเหมือนสะหม้อ แต่ถึงคราววิวาทเมื่อไหร่ก็ไม่เคยทิ้งเขา

“เราต้องกลับไปเพื่อรักษาคำสัญญาที่มีให้กับเพื่อนคนนี้ เพราะถ้าไม่กลับไปมันก็คงไม่มีใครแล้ว”

ลูกชายครอบครัวศิลปิน หลงใหลภาพยนตร์จนยกมาเปรียบเทียบกับชีวิต ดูยังไงก็คงเดินทางสายนี้ แต่เปล่าต่อให้กลับมาเหมือนเป็นคนละคน จี๋ยังเป็นเด็กหนุ่มที่อยากทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยไม่ลืมว่าเพื่อนสนิทก็ต้องเรียนไหวด้วย ผลลัพธ์ของสมการนี้จึงออกมาเป็นคณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณาเชิงสร้างสรรค์สื่อการตลาด ม.กรุงเทพ ในยุคนั้นที่วงการโฆษณาไทยเฟื่องฟู ใครได้ชื่อว่าทำงานเอเจนซี่นับว่าโก้เก๋ จี๋เองก็อยากเป็นผู้กำกับโฆษณากับคนอื่นเขาบ้าง

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นตอนที่เขาจับพลัดจับผลูมาเป็นพระเอกจากคำเชิญชวนของรุ่นพี่ งานแรกคือมิวสิกวิดีโอเพลง หยุดสงสาร ของ เบลล์ นันทิตา กำกับโดย จั๊ก-จิรัฏฐ์ สมภักดี ปัจจุบันกลายเป็นพี่ชาย เพื่อนรัก ที่ปรึกษาในชีวิตจริง

“ยังจำวันที่ถ่าย MV ได้อยู่เลย ถ่ายที่ริมทะเล ไม่เข้าใจเลยว่าการแสดงคืออะไร” เราขอให้จี๋ในวันนี้วิจารณ์การแสดงของตัวเองในวันนั้น เขายิ้มเขินกลับมาเป็นคำตอบ

แม้จี๋รู้ว่างาน MV เป็นโปรเจกต์เร็ว ๆ เกิดขึ้นเร็ว ตั้งอยู่เร็ว แล้วก็อาจจะดับไปเร็ว แต่หลังจากนั้นเขาก็เล่น MV มาโดยตลอด

“MV คือโอกาสที่ทำให้ได้สนุกกับชีวิต หนังจะมีไดอะล็อก ต้องโฟกัสอยู่กับซีน แต่ MV คือการทำงานกับเพลง มันดิบกว่า เป็นเรื่องของความรู้สึกและสัญชาตญาณ”

จากจับพลัดจับผลูเริ่มต้น จี๋จริงจังกับการแสดงมากขึ้นตามบทบาทที่ยากขึ้นตาม 

ไม่ใช่เพราะมีเกณฑ์เลือกรับงานเข้มงวด เขาบอกว่างานต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือกเขา

อย่างการที่ เอส-คมกฤษ ตรีวิมล เลือกให้เขารับบท โจ หนุ่มดวงตกที่ได้มรดกเป็นบ้านพร้อมผีในหนังเรื่อง อนงค์ 

“งานมันเลือกเรา” เขาหัวเราะกับคำตอบเดิมที่คล้ายจะเป็นมุกประจำวันนี้ “บางงานต่อให้อยากเล่นแทบตายก็ไม่ได้เล่นนะ เพราะงานไม่ได้เลือก”

แต่ถ้าจะเอาคำตอบจริง ๆ ผู้ชายขี้อายตรงหน้าก็ยังเขินที่จะพูด

สำหรับจี๋ เอสคือผู้ชายที่โรแมนติกที่สุดเท่าที่เขาเจอมา การได้เล่นหนังโรแมนติกคอเมดีของเอสจึงไร้ข้อกังขา ตัวละคร โจ ที่ถูกเขียนมาง่าย ๆ ตามเส้นเรื่อง ไม่มีลักษณะนิสัยเฉพาะ ก็ได้ส่วนผสมจากจี๋และเอสไปเต็มเหนี่ยว 

“เคยถามพี่เอสตอนปิดกล้องว่าทำไมถึงเลือก เขาบอกว่า มึงเป็นคนน่ารัก เหมาะกับบทตลก เราก็คิดต่อต้านในใจว่า ผมเท่มากนะ ผมน่ารักตรงไหนวะพี่

“หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เราปล่อยไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นมากที่สุดงานหนึ่ง เพียวมาก แทบไม่ได้แสดงเลย

“เราพยายามไม่มองสิ่งต่าง ๆ ผ่านคำว่ายาก เราจะมองคำว่ายากเป็นคำว่ายังไงเสมอ เลยไม่ได้รู้สึกว่าความยากเป็นอุปสรรค เพราะทุกอย่างมีวิธีการของมันถ้าเราหาให้เจอ”

นอกจากจะเติบโตมากับเพื่อนอายุเท่าพ่อ จี๋มักใช้เวลาอยู่กับปู่และย่าที่ชอบดูละครหลังข่าว เด็กชายคิดว่าคงสนุกดีถ้าเขาได้อยู่ในจอแล้วคุณปู่คุณย่านั่งดูผลงานที่เขาเล่นด้วยกัน 

วันนี้เขาทำสำเร็จแล้ว

5

เดินออกจากออฟฟิศมาทางห้องเก็บของที่ยังไม่เรียบร้อยดี เพลง All These Things That I’ve Done ของ The Killers ดังไกลมาจากโทรศัพท์ของใครสักคน ชวนให้จินตนาการถึงชายหนุ่มใส่กางเกงขาม้า รองเท้าหนังหัวแหลม พร้อมแว่นกันแดดสีดำสนิท

เจ้าของโทรศัพท์กำลังโพสท่าถ่ายรูปน่าหวาดเสียวบนเก้าอี้โคลงเคลง ศีรษะของเขามีแอปเปิล 1 ลูกตามคำขอของช่างภาพ

จี๋อยากให้การสัมภาษณ์อยู่ในบรรยากาศสบาย ๆ ไม่ต้องรีบร้อน เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ถ้าได้ฟังเพลย์ลิสต์ของเขารับรองว่าต้องประทับใจ

ไม่เพียงไม่ชอบการพูดคุยในห้องประชุมกลางออฟฟิศ เขายังถูกใจการบรีฟให้โพสท่าแปลก ๆ เพราะภาพลักษณ์หนุ่มสุขุมทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เล่นสนุกมากนัก

หลังเรียนจบปริญญาตรีกับเพื่อนตามสัญญา เป็นนักแสดงตามครรลอง จี๋เลือกศึกษาต่อปริญญาโทในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตามความต้องการของตัวเอง

ใช่ เขาเป็นวัยรุ่นเกเรที่สนใจการเมืองการปกครองตั้งแต่เด็ก

พ้นจากงานแสดง เรื่องที่คุยกับจี๋สนุกสุดเห็นจะเป็นความฝันของเขา จี๋อยากทำรายการท่องเที่ยว อยากล่องทะเลเป็นไต้ก๋งเรือ อยากเป็นนักแข่งเกม ROV โปรลีก และอยากช่วยแก้ปัญหาบางอย่างในสังคม สังเกตจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย และ สหภาพแรงงานสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย (CUT) ร่วมกับเพื่อนนักแสดงท่านอื่น เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมหนังไทย

“ถ้าโลกนี้เป็นเกม เราจะเป็นตัวละครที่ค่าสเตตัสผิดปกติ มั่วไปหมด” เขาหัวเราะ “เราเอาทุกอย่างมาประชุมกันในหัว ขณะเดียวกันก็ให้อิสระกับตัวเองมาก ๆ เพราะต่อให้เราไม่ตีกรอบตัวเอง สังคมก็จะมีกรอบบางอย่างให้อยู่แล้ว สำคัญคือต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกตัวเองให้ดี”

จี๋ว่ามนุษย์เรามี 2 ประเภท คือคนที่ใช้หัวนำชีวิต กับคนที่ใช้ความรู้สึกนำชีวิต แม้รัฐศาสตรมหาบัณฑิตจะมีแอปเปิลลูกกลมอยู่บนหัว แต่เขาเป็นอย่างหลัง

และถ้ามีให้เลือกว่าจะเพลย์เซฟหรือเทหมดหน้าตัก คิดว่าเขาเลือกอย่างหลังด้วยรึเปล่า

“เราไม่เคยเพลย์เซฟกับเรื่องอะไรเลยในชีวิต”

แล้วรับมือกับความเสี่ยงตามมายังไง – เราถามต่อ 

“ไม่มีวิธีเลย แต่ละเรื่องที่เจอก็ต้องใช้วิธีที่ต่างกัน เรารับมือเรื่องก่อนหน้านี้ได้ ไม่ได้แปลว่าจะเก่งขึ้นในเรื่องต่อไป รู้สึกว่ายังเป็นเลเวลหนึ่งในการจัดการความเสี่ยงอยู่เสมอ เลยเจ็บปวดกับหลาย ๆ สิ่ง”

เมื่อรับมือไม่ได้ ทางแก้ไขของเขาคือการเติมพลังตัวเองให้เกินร้อย ออกไปใช้เวลากับคนรอบตัวเมื่อมีเวลาว่าง ยามเหนื่อยก็มีอ้อมกอดและบทสนทนาดี ๆ เป็นฟูกให้ล้มลง

เราถามอย่างนึกสงสัยว่าสรุปแล้วเขาเป็น Introvert หรือ Extrovert กันแน่

“ค่อนไปทาง Introvert นะ เราดูเป็น Extrovert เหรอ” เขาถามกลับ “แค่รู้สึกว่าเรามีคนที่รักเยอะในชีวิต อยากไปใช้เวลากับเขา ว่างก็ไปหาคุณปู่ กินข้าวกับแม่ เล่นกับน้อง แค่เชื่อว่าเราควรจะบอกรักคนที่เรารักทุกครั้งที่เราอยากบอกรัก”

หากใครยังไม่ทราบ ขอเล่าประวัติจี๋เพิ่มเติมว่าแม่ของเขาแต่งงานใหม่ ทำให้จี๋มีน้องชาย 1 คน อายุห่างกัน 18 ปี ก่อนหน้าที่เขาจะลบรูปในอินสตาแกรมออกเกือบหมด มันแทบเป็นแกลเลอรีรวมมิตรภาพของพวกเขา

“บางทีเราก็ไม่เข้าใจศัพท์ที่เขาใช้ ตอนเขาเล่นเกมเราก็พยายามโหลดมาเล่นด้วย ตอนเขาคุยดิสคอร์ดกับเพื่อนเราก็ตะโกนเข้าไปก่อกวน คุยไม่รู้เรื่องหรอก สุดท้ายเราแค่อยากรู้ว่าโลกของเขามีอะไรบ้าง”

แล้วคนที่บอกความต้องการของตัวเองเสมอ เคยรู้ตัวเมื่อสายรึเปล่า – เราโยนคำถามอีกข้อ ขณะที่จี๋กำลังวุ่นวายอยู่กับผลไม้สีแดงลูกนั้น

“โห” เขาลากเสียงยาว “มีเรื่องแบบนั้นอยู่เสมอแหละ”

จี๋ไม่เล่าต่อว่าเรื่องอะไร ก่อนเก็บแอปเปิลเปื้อนฝุ่นขึ้นมาทรงตัวใหม่อีกครั้งอย่างคนไม่ยี่หระต่อความผิดพลาด

6

ออฟฟิศใหม่ของ The Cloud เปิดใช้งานได้ไม่ถึงเดือน จี๋เป็นนักแสดงคนแรกที่ถูกสัมภาษณ์ที่นี่ และเป็นคนแรกที่ถูกถ่ายภาพบนดาดฟ้า 

แม้ความหล่อเหลาของเขาจะขึ้นกล้องจนแทบไม่มีภาพเสีย จี๋ย้ำบ่อยครั้งว่าเขาโพสท่าภาพนิ่งไม่เก่งนัก พร้อมปฏิบัติตามคำขอของช่างภาพทุกประการ จะให้เล่นโลดโผนกว่านี้ หรือให้เดินขึ้นลงอีกกี่ทีก็ย่อมได้ 

มีบทสนทนาเกิดขึ้นมากมายข้างบนนั้นที่เราไม่อาจรู้ รู้ตัวอีกทีก็ปรากฏภาพเขาเซลฟี่ตัวเองในกล้อง ทั้งยังนึกสนุกด้วยการแอบถ่ายช่างภาพของเรากลับบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้ คือจี๋ไม่ได้เป็นห่วงภาพลักษณ์ตัวเองเท่าไรนัก 

“คนหล่อคนสวยเยอะมากนะบนโลกใบนี้ เราเชื่อว่าสิ่งที่นิยามตัวตนของคนคนนั้นจริง ๆ คือคุณค่าของสิ่งที่เขาทำ” จี๋พูดเรียบง่าย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนมาชื่นชอบเขาที่อะไร

“เราไม่ค่อยทบทวนสิ่งที่คนอื่นรู้สึกกับตัวตนของเรา เพราะไม่สำคัญเลยว่าใครจะมองเราเป็นยังไง เราไม่สนเลยว่าวันนี้จะเดินออกไปหน้าโทรมหรือแต่งตัวแย่ ถ้าไม่นับเอกสาร ในความเป็นตัวตนเราไม่ยึดถืออะไรเลย แม้แต่ชื่อ สมมติว่า ชล (ผู้เขียน) ไม่มีชื่อ เราก็คงเรียกชลว่าเธอ แล้วก็มีคนหันมา 10 คน สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนชอบผลงานเราไหม

ย้อนกลับไปที่คำถามแรกว่าทำไมเขาถึงให้สัมภาษณ์น้อยมาก เราเข้าใจแล้วตอนนี้

“เราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ไม่ใช่ปรัชญานะ แต่เราเปลี่ยนไปทุกวันจริง ๆ วันนี้เราเป็นคนคุยเก่ง พรุ่งนี้เราอาจจะพูดน้อยมาก ความหมายของคำตอบที่ตอบไปก็อาจจะเปลี่ยน”

เขาพูดติดตลก ไม่มีคราบนักแสดง

“กินเบียร์ไหม ถ้ากินเบียร์คุยกันคำตอบอาจจะเป็นอีกอย่างก็ได้”

การทำงานกับเขามันผ่อนคลายได้มากถึงเพียงนี้จริง ๆ นั่นแหละ

7

แทนที่จะรีบกลับโดยทันทีเมื่อเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์เพราะมีงานต่อ จี๋เลือกใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศเราอีกสักพักเพื่อพูดคุยและถ่ายรูปกับพี่ ๆ น้อง ๆ อย่างเป็นกันเอง เราที่ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ตรงนี้ รับรู้ได้ทันทีว่าทำไมคนมากมายถึงรักเขา 

ไม่ใช่แค่ถ่ายรูป แต่เขาถามชื่อทุกคน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบขณะเซ็นลายเซ็น แถมยังออกปากขอโทษที่ตนลายมือไม่สวย 

นับไปอีก 3 วันจากวันที่เราคุยกัน จี๋กำลังจะมีแฟนมีตพบปะแฟนคลับเป็นครั้งแรก

เขาอยู่ในวงการมานานกว่า 10 ปี แต่ชื่อของ จี๋ สุทธิรักษ์ กลับถูกพูดถึงทั่วประเทศในช่วง 2 – 3 ปีหลัง จี๋ไม่ได้เก็บมาคิดว่าเขาโด่งดังช้าเกินไปไหม แต่ช้าหรือเร็วอาจไม่สำคัญอีก เพราะชื่อเสียงนับเป็นผลกำไรจากอาชีพนี้ ชวนให้นึกถึงคำถามที่เขาเป็นฝ่ายโยนกลับมาบ้าง

“คิดว่าพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้คืออะไร บางคนคิดว่าความรัก กิเลส ตัณหา ของชลคืออะไร”

เขามีคำตอบในใจอยู่แล้ว

“มันคือความหวัง ทุกคนหวังว่าสิ่งดี ๆ กำลังรออยู่ที่ปลายทาง ถ้าไม่มีความหวังเราจะไม่มีแรงไปทำอะไร ดังนั้น การที่เราได้เจอทุกคนและได้เป็นกำลังใจ เป็นพลังเล็ก ๆ ให้เขามีความหวังในการใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่เรายินดีจะทำให้ และมีความสุขที่ได้ทำ

“เรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่เป็นพลังให้ใครสักคนได้ มันไม่ง่ายเลยนะการใช้ชีวิตในสังคมทุกวันนี้ เราเลยมีความสุขกับงานแสดงมาก ๆ เพราะเมื่อชิ้นงานถูกส่งออกไป มันจะคุยกับความรู้สึกคนเสมอ ต่อให้ดังหรือไม่ดังก็ตาม”

จากออฟฟิศใหม่กริบของ The Cloud ชั้น 26 เราลงมาชั้นล่างสุดพร้อมพาแขกคนสำคัญมาส่ง

บรรยากาศในลิฟต์ยังเต็มไปด้วยมุกตลกเป็นกันเอง เราไม่ลืมขอโทษเขาจากใจจริงที่ทำให้เสียเวลา

“คนเราผิดพลาดเป็นครั้งแรกเสมอ” คือคำพูดสุดท้ายของเขา

Writer

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์