เรื่องตลก 69 คือหนังไทยขึ้นหิ้งโดย เป็นเอก รัตนเรือง ว่าด้วยชีวิตที่พลิกผันเพียงข้ามคืนของ ตุ้ม หญิงสาววัยทำงานในห้องหมายเลข 6 เมื่อมีเงินเป็นล้านวางกองอยู่หน้าประตู

เป็นเอกกลับมาอีกครั้งกับการเปลี่ยนมันให้เป็นซีรีส์ความยาว 6 ตอน ฉายลง Netflix ไปเมื่อวันก่อน และเขาเนรมิตบท ‘ทัด’ ไอ้หนุ่มข้างห้องไร้บทบาท ให้กลายเป็นแรปเปอร์ใกล้อับแสงผู้มีคาแรกเตอร์ยียวนกวนบาทาเป็นเอกลักษณ์

เฟย-ภัทร เอกแสงกุล คือคนที่แสดงบทนี้ได้ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

คำตอบของคำถามว่าทำไม คือเฟยเล่นเป็นตัวเอง และเป็นเอกเลือกเขาเพราะเหตุนั้น

เฟย-ภัทร เอกแสงกุล

เฟยพูดจาเสียงดัง แววตาแข็งกร้าว เหมือนตัวเขาขยายใหญ่เพียงนั่งพูดคุยตรงหน้า แต่มวลรอบกายกลับให้ความรู้สึกสบายใจประหลาด เมื่อยิ่งรู้จักยิ่งพบว่าเขาไม่ได้มีพิษภัยอย่างที่ใครคิด

หรืออาจเป็นเพราะทักษะการเอาตัวรอดที่เฟยชำนาญที่สุดคือการพูด ถึงขนาดบอกว่าถ้าไม่เป็นดาราก็คงโดนกระทืบตายไปแล้ว จากหน้าตาไม่รับแขกที่ดูจะชวนแขกให้มาเต็มบ้านซะมากกว่า ส่งให้เขาเป็นนักแสดงที่ขึ้นชื่อเรื่องอิมโพรไวส์

นอกจากจะได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังบทบาททัดในซีรีส์ก่อนใคร นี่คือผลผลิตจากชีวิตด้นสดตลอด 28 ปีที่พร้อมท้าทายวัยเลข 3 

เขาแรปบางส่วนจากเรื่องให้เราฟัง ก่อนอดีตเด็กเกเรจะถูกพาตัวไปถ่ายรูปในคอนเซปต์ผู้บริหารใหญ่แห่ง The Cloud 

เพราะเมื่อด้นแล้ว ก็ต้องไปให้สุด

“กูชื่อ ทัด ไททานิก ระวังพวกมึงจะล่มจม พูดชัด ไทยประดิษฐ์ กูเดินมาให้ก้มลง…”

ทัd ไททาnิก

เฟยเข้าร่วมโปรเจกต์นี้ได้ยังไง

เรารู้จักรุ่นพี่ที่คณะคนหนึ่ง เขาทำงานเป็นผู้ช่วย มาชวนให้ไปแคสต์ ตอนแรกเขาอยากให้ไปแคสต์บท จอน ที่เป็นตำรวจ เราก็ลองเล่นให้ดู ซึ่งเราเป็นตำรวจไม่ได้เลย อาจไม่เหมาะกับบทนี้ เขาให้เหตุผลว่า ดูโจรไปหน่อย (หัวเราะ) 

ทีนี้ก็มาเป็นบท ทัด ที่เป็นแรปเปอร์ ซึ่งเป็นของพี่อีกคนหนึ่งแต่เขาไม่เล่น บทนี้เลยตกมาที่เรา จริง ๆ แล้วเราเป็นเบอร์ 2 นะ 

คุณทำอะไรตอนแคสต์เป็นทัด

เรามองคาแรกเตอร์ทัดก่อน ตัวละครนี้เป็นแรปเปอร์หนุ่มที่มีความดีด มั่นใจในตัวเอง มีความกรันจ์ ไม่ใช่แรปเปอร์ OG สมัยยุค 90 ที่ดูเท่ ๆ เดินนิ่ง ๆ เขาแต่งตัวจัด สีเยอะ ท่าทางเยอะไปหมด เราก็เลยลองลอกเลียนแรปเปอร์ดู เริ่มจากในไทย สุดท้ายมาจบที่ YOUNGOHM 

โอมมีคาแรกเตอร์ชัดมาก แล้วก็เป็นน้องที่สนิท ไปเที่ยวด้วยกันบ่อย เวลาเจอหน้าก็จะชอบเอามันมาล้อเลียนประจำ เพราะต่อให้เราพูดปกติ แต่เดินไปเจอมันแล้วสำเนียงเราจะเปลี่ยนไปโดยทันที ไม่ว่าจะคุยสำเนียงอะไรอยู่ โอมเป็นคนพูดเสียงต่ำ เสียงอมอยู่ในคอ (เฟยเลียนเสียงโอมให้เราฟัง ซึ่งเหมือนมาก) มีสำเนียงที่ดูเหมือนพูดภาษาอังกฤษตลอดเวลา พอลองเล่นเป็น YOUNGOHM ก็สนุกมาก เขาชอบมาก ตอนแรกเขาบอกว่าเราแรงไปหน่อย ต้องค่อย ๆ หา ค่อย ๆ ปรับลดลงมา

พอถึงขั้นตอนการถ่ายทำจริง ๆ ต้อม เป็นเอก กำกับเฟยยังไง

ตั้งแต่การอ่านบทครั้งแรก มีสิ่งหนึ่งที่พี่ต้อมบอกแล้วเราชอบมาก คือกฎที่พี่จะให้นักแสดงทุกคน คือห้ามทำการบ้าน 

แปลกมาก ผู้กำกับทุกคนบอกให้เรากลับไปทำการบ้านมา หาคาแรกเตอร์มา ไปปั้นมาว่ามึงเป็นยังไง แต่พี่ต้อมบอก ไม่เอา อย่าทำ คาแรกเตอร์มึงที่กูเลือกมา เพราะกูเลือกมาจากตัวมึง เข้ามาเล่นเป็นตัวเอง อย่าพยายาม กูไม่ชอบ ถ้ารู้ว่าใครทำการบ้านมาจะโกรธมาก เป็นสิ่งที่เขากำกับตั้งแต่แรกเลย 

เรามีมุมฮิปฮอปอยู่แล้ว เป็นมุมขี้เล่น (หัวเราะ) แล้วตัวทัดก็มีความเกรี้ยวกราดอยู่บ้าง ใกล้เคียงกับเรา แค่ต้องดันส่วนที่เป็นทัดให้มากขึ้นไปอีก แค่เปลี่ยนวิธีพูด เปลี่ยนสำเนียงนิดหน่อย ที่เหลือก็ไหลไปตามคาแรกเตอร์ ไม่ต้องไปนั่งตีความบทว่าอันนี้จะทำอย่างนี้ ๆ ไม่เอา

หมายความว่า จำบท ไปถึงหน้าเซต แล้วก็เอาเฟยเล่นลงไปเลยเหรอ

ใช่ แต่อย่าเรียกว่าเฟย เรียกว่าเราเป็นคาแรกเตอร์นั้นดีกว่า ซึ่งชอบมากนะ เขาปล่อยให้นักแสดงได้เล่น

อีกอันหนึ่งที่กำกับไว้ คือเขาให้นักแสดงเล่นก็จริง แต่ทุกคำของบทต้องเป๊ะ ด้นสดไม่ได้เลย พี่ต้อมเป็นคนเขียนบทเอง เพราะฉะนั้น เคารพบท พูดให้ตรงตามบทที่เขาเขียน

แต่เฟยเป็นนักแสดงที่ขึ้นชื่อเรื่องการด้นสด

(พยักหน้า) มาก 

แล้วทำยังไง

ยากมาก ถามว่าหลุดไหม หลุดแน่ ซึ่งไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพี่ต้อมไปตัดต่อยังไง แต่เราก็ด้นสดตอนหลังบท เขาจะปล่อยให้เราเล่นไปเรื่อย ๆ 

ซึ่งในหนัง เรื่องตลก 69 เมื่อ พ.ศ. 2542 ตัวละครนี้แทบไม่มีบทบาทอะไรเลย 

ใช่ ไม่มีบท แล้วเราก็ไม่ได้ไปนั่งศึกษาตอนเป็นหนังด้วย เราว่าไม่เกี่ยวกันเลย ไม่ได้อยากทำให้เหมือนต้นฉบับ แล้วมันก็ไม่มีอะไรให้ดูด้วย

การแสดงหนังรีเมกที่เป็นตำนานของประเทศยากไหม

ไม่ยาก แต่กดดัน ข้อดีของเราคือต้นฉบับไม่ได้ทำอะไรไว้เยอะ นี่เหมือนเป็นต้นฉบับของเรามากกว่า เราก็เล่นไปเรื่อยได้เต็มที่ ฮิปฮอปไปทางไหนได้บ้าง ผมอยากลองอันนี้ ๆ หาอะไรไปขายเขาเยอะ 

เราเป็นคนชอบเล่นอะไรแปลก ๆ อยู่แล้ว บทนี้สนุกมาก มานั่งเล่นบทตัวร้ายอย่างเดียวก็เบื่อ

คิดว่าตัวละครทัดเป็นตัวร้ายรึเปล่า

ไม่ร้าย เป็นตัวละครที่มีอยู่ในชีวิตจริง 

ถามกลับกัน คิดว่าตัวละครทัดเป็นตัวดีไหม

เราว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายแล้วกัน เป็นตัวละครที่ลอย ๆ ในเส้นเรื่อง คิดน้อย เหมือนไม่รู้เรื่องอะไร เป็นเด็กโง่ ๆ คนหนึ่ง แต่มีบทบาทมากในเรื่องนี้

การถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างกับเรื่องอื่น ๆ ที่เคยทำมายังไง

ซีรีส์ที่เคยเล่นมาจะถ่าย 2 – 3 กล้อง ไฟเซตหนึ่งอยู่ยาว ๆ แต่พี่ต้อมถ่ายเหมือนหนัง ถ่ายกล้องเดียวแล้วก็ปรับไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เอาทุกมุมขนาดนั้น เขาเลือกมาแล้วว่าต้องการอะไร เขาละเอียดและแม่นช็อตมาก ๆ ซีนหนึ่งประมาณ 7 คัตได้ แล้วคัตหนึ่งไม่ค่อยเทคเยอะ เขาค่อนข้างชัดเจน 

เคยเทคเดียวผ่านไหม

ไม่มีอยู่แล้ว! 

ถ้ามีเทคเดียวที่เขาชอบ เขาจะให้เราลองอีกแบบหนึ่ง ช่วงท้ายเบาลงหรือหนักขึ้น หน้าที่นักแสดงคือ คิดว่าทำไมต้องทำอย่างนี้แล้วไปเพิ่มเอาในหัว ลองหลาย ๆ แบบให้รู้ว่าซีนนี้จะไปได้ไกลถึงไหน

การถ่ายทำเรื่องนี้สำหรับเราไม่ได้ยากเลย ตัวละครเราไม่ได้รับอะไรหนัก ๆ เข้ามา สิ่งที่ยากอาจเป็นบางซีนที่ถ่ายยาก ด้วยความยิ่งใหญ่ของฉาก มันนานแล้วก็เหนื่อย 

รับบทเป็นทัด แล้วเคยมีช่วงชีวิตเหมือนทัดรึเปล่า

มีนะ เละเทะ เสเพลกันบ้าง ถามว่ายังเหมือนทัดอยู่บ้างไหมก็ยังเหมือนอยู่ แต่ไม่ได้เละเทะแล้ว เลยช่วยให้เราเล่นเป็นตัวนี้ได้ดีจากความเข้าใจ

เฟยคนนั้นเป็นยังไง

ย้อนกลับไปตอนเด็ก เราเป็นคนใจร้อนมาก ๆ สมมตินั่ง ๆ คุยกันอยู่ เฮฮา มีคนพูดไม่เข้าหูปุ๊บ เราเปลี่ยนเลย ภาพตัด อารมณ์ขึ้นจาก 1 ไป 10 

เราเคยเป็นคนโผงผาง พูดอะไรไม่คิด ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใครมาจากไหน ซึ่งไม่ดีกับตัวเราเอง แล้วเราก็ไม่ชอบเวลาตัวเองอารมณ์เสียด้วย เราก็พยายามใจเย็นขึ้นเรื่อย ๆ พยายามหายใจมากขึ้น ตอนนี้เวลาเจอเรื่องอะไรที่หงุดหงิด เราใช้วิธีเดินออกไปเลย ใช้แรงกับการเดิน หาอะไรสักอย่างทำ

รู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นเด็กใจร้อน

โทษว่าเป็นลูกคนเล็กได้ไหม เราเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองมาก แล้วก็สังคมด้วย เราอยู่ในกลุ่มเด็กเกเร พากันเที่ยว พากันไม่เรียนหนังสือ มีเรื่องชกต่อย ไม่ดีเลย

พฤติกรรมเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างขนาดไหน

ส่งผลกระทบต่อมุมมองของเขาที่มีต่อเรามากกว่า ว่าเราเป็นเด็กเวร เป็นคนไม่ดี เขาคงไม่ได้รับผลกระทบที่เราทำไม่ดีมากนักหรอก ส่วนมากเราทำไม่ดี ผลกระทบมาตกอยู่ที่ตัวเราเองอยู่แล้ว 

รู้ตัวตอนไหนว่าไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว

ทุกครั้งหลังจากโมโหแล้ว เรารู้ตัวเสมอว่า มึงเอาอีกแล้วนะ เราก็พยายามรู้ตัวมาตลอดนะ แต่บางทีก็เอาไม่อยู่ ต้องค่อย ๆ หายใจเอา

มีคนกลัวบ่อยมากตอนเข้าฉากด้วย เวลาพูด เล่น คุย เราใช้ตาสื่อสารค่อนข้างเยอะ บางคนแค่มองก็รู้สึกถึงออร่า ไม่ต้องในหนังหรอก ในชีวิตจริงคนก็กลัว ซึ่งเราไม่ได้ทำอะไรเลยแค่นั่งหน้าปกติ 

เป็นปัญหาไหม

เป็นปัญหามาก ไอ้หน้าไม่รับแขกเนี่ย ตีนมาเยอะมาก คนหาเรื่องเยอะมาก ถ้าไม่ใช่ดาราผมว่าตายแล้ว 

สารภาพตรงนี้เลย คนชอบคิดว่าเราไปหาเรื่องเขา ไม่นะครับ เราเป็นตัวโดน เป็นตัวง่อย ๆ เกเรไปวัน ๆ โดนตีไปเรื่อย ๆ เพราะเราไม่ได้สนใคร ไม่ได้กวนนะ แต่หน้าไม่รับแขก เดินคนเดียว เขามากัน 10 กว่าคนก็โดนกระทืบบ่อย แต่ต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ครับ

คิดว่าทักษะการเอาชีวิตรอดสำคัญไหมในชีวิตจริง

สำคัญกว่าความรู้บางอย่างด้วยซ้ำ สังเกตว่าบางคนเก่งมาก ฉลาดมาก แต่เอาตัวรอดไม่เก่ง ต้องยอมรับว่าคนเก่งไม่ได้รอดในสังคมทุกวันนี้ ปลาไหลเท่านั้นแหละที่จะไหลไปได้ เรารู้สึกว่าตัวเองก็เอาชีวิตรอดได้ค่อนข้างเก่งเหมือนกัน 

ทักษะการเอาชีวิตรอดไหนที่ชำนาญที่สุด

การพูดครับ เคยรอดจากการโดนกระทืบ ตอนแรกก็มีเรื่องกันก่อน เขาเอาพวกมาล้อมเราคนเดียว สรุปเราไปเล่นตลกให้เขาดู จนผลสุดท้ายเรานั่งกินเหล้ากับเขาต่อ เขาไม่เอาเราแล้ว

ภัทr เAกแสงKุล

คุณเล่นเป็นตัวร้ายมากี่เรื่องแล้ว

ช่วยนับให้หน่อยดิ เยอะจนจำไม่ได้เลย 

เกิดจากการลองไปเล่นเรื่องแรก เล่นเป็นตัวร้ายที่สั่งสเต๊กไม่ดีแล้วคนด่ากันเยอะมาก หลังจากนั้นบทร้ายก็ค่อย ๆ ติดต่อเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วก็มีไปแทรกเป็นพระเอกเรื่องหนึ่งแต่ไม่ดัง เลยกลับมาเป็นตัวร้าย (หัวเราะ) แต่เราไม่โฟกัสว่าจะเป็นพระเอก ตัวร้าย หรือตัวประกอบ ถ้าบทน่าเล่นก็เล่น ไปรับเชิญ 1 ซีนก็ไป 

บทที่อยากลองเล่นมาก ๆ คืออะไร

อาชีพที่ท้าทายมาก ๆ อยากเป็นหมอ ท่องศัพท์ยาก ๆ ให้อึดอัดกดดันกันไปเลย หรือเล่นเป็นคนต่างชาติให้ได้เรียนภาษาไปเลย หรือเล่นเป็นคนผิดปกติอะไรสักอย่างให้ได้ลองเป็นอย่างอื่นบ้าง 

ด้วยความที่เราเป็นคนวาไรตี้ ติดตลก ชอบเล่น หลัง ๆ นี้ก็มีแต่บทอะไรแปลก ๆ เข้ามาเยอะเลย ชอบมาก ใครเห็นบทความนี้แล้วอยากให้ไปเล่นตัวอะไรประหลาด ๆ ได้เลยนะครับ พร้อม ยินดี

การแสดงแบบเฟยคืออะไร

คือความเชื่อ แค่นั้นเลย เฟยจะใช้คำว่าช่างแม่งทุกครั้งก่อนเข้าไปในซีน เพื่อไม่ให้กดดันตัวเอง 

สมัยก่อนตั้งใจจะเป็นนักแสดงที่ดี ตั้งใจมาก แต่พอช่างแม่งแล้วผลลัพธ์ดีกว่า เพราะเราตั้งใจเกิน มันแข็ง มันเกร็ง ร่างกายไม่ผ่อนคลาย หลัง ๆ การแสดงของเราคือเชื่อว่าเป็นตัวละครนั้น ๆ แล้วเข้าไปสนุก

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ช่างแม่งคือตอนไหน

เราอยู่ในวงการมาสักพักจนรู้สึกตัน เล่นซีนดราม่าไม่ได้เลย ร้องไห้ไม่ได้ ชีวิตประจำวันก็ร้องไห้ไม่ได้ ตันไปหมด จนไปเจอ ครูบิว (อรพรรณ อาจสมรรถ) เขาให้เราทำแบบฝึกหัดเยอะมาก คุยถึงแบ็กกราวนด์ตัวเอง ค่อย ๆ เอาอารมณ์ความรู้สึกเราออกมา ให้ระบายเหมือนเพื่อน อาจเกิดจากการเข้ามาอยู่ในวงการแล้วเจอความกดดันเยอะ ๆ ทำงานเยอะ ๆ ทำให้เราสร้างกำแพงขึ้นมาสูงจนไม่เป็นตัวเอง จนการแสดงเหล่านั้นไม่จริงอีกต่อไป

เขากะเทาะเปลือกออก เราร้องไห้หนักมากเหมือนข้างในมันโล่งเลย แล้วคำว่าช่างแม่งก็เกิดขึ้น ทำให้เราแสดงแบบอิมโพรไวส์ได้ดี

รู้สึกเหมือนจับทางถูกไหม

ก็ถูกแล้วล่ะมั้ง เราสนุก ไม่ชอบอะไรที่บีบรัดตัวเรามากเกินไป ทุกวันนี้คือถ้าเล่นเป็นใครสักคน เราก็คือคนนั้น ถ้ามานั่งกำหนดการเดินทางของเขาตั้งแต่ 1 – 4 ก็คงไม่ใช่คน เวลามีเสียงแทรกขึ้นมา (ดีดนิ้ว) คงต้องหันไปดูว่าคือเสียงอะไร ให้มีเสียงรถชนแล้วยังมานั่งจ้องหน้าก็คงไม่ใช่ เราต้องหันไปมอง

จริง ๆ ผมไม่ได้อยากเป็นนักแสดงตั้งแต่แรกหรอก แค่โตขึ้นแล้วได้รับโอกาส เข้ามาแล้วก็สนุกกับมัน เหมือนได้เล่นเป็นคนอื่นไปเรื่อย ๆ 

เคยมีผู้กำกับบอกให้เล่นอะไรก็ได้ตามที่เฟยอยากเล่นไหม

มี 

แล้วมันหยุดที่ตรงไหน

ไปไม่หยุดเลยครับ หลุดไปเลย ไม่สนบล็อกกิ้ง ไม่เอาอะไรแล้ว (หัวเราะ)

เฟยเป็นดาราที่เป็นตัวของตัวเองมาก แต่จริง ๆ แล้วดาราควรจะรักษาภาพพจน์ตัวเองไม่ใช่เหรอ

ปกติก็ควรเป็นแบบนั้นแหละ แต่เราไม่อยากเป็นแบบนั้น 

การรักษาภาพพจน์ก็ดีกับตัวเขา ได้เป็นคนที่ดีขึ้น แต่เราเหนื่อยกับการต้องเป็นภาพที่สังคมชอบตลอดเวลา นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราเป็นเราที่ดีขึ้นได้ ไม่ทำอะไรที่แย่ได้ ไม่ทำอะไรที่สังคมเดือดร้อนได้ แต่เราก็อยากไปสังสรรค์ อยากใช้ชีวิต อยากแต่งตัวแบบนี้ เราว่าไม่ผิด ดีกว่าต้องมานั่งเป็นพระเอก มีภาพคนดีตลอดเวลา

เคยมีภาพเป็นพระเอกแบบนั้นไหม

เคย ช่วงแรกที่เข้าวงการก็เป็นแบบนั้นทุกคนอยู่แล้ว สวัสดีครับ ผมเฟยครับ เก๊กอะไรก็ไม่รู้ 

เขาบอกให้เราเป็น สอนให้เราทำตัวนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ ภาพที่ดูไม่ดีห้ามทำ ห้ามมีแฟน เราก็รู้สึกว่า อ้าว กูชอบเขา จีบเขา เป็นแฟนกัน ทำไมเปิดตัวไม่ได้ สงสารเขานะ

ต่อรองกับค่ายยังไงถึงได้เวอร์ชันนี้มา

เราไม่ทำตามไงครับ เพราะมีอะไรก็บอก

ซึ่งเวิร์กกว่า

สบายใจกว่า มีความสุขกว่า กระแสตอบรับก็ดูจะดีกว่า 

เรียนรู้อะไรจากกระแสข่าวลบที่มีมาเรื่อย ๆ

หมองูตายเพราะงู เราพูดเก่งเราก็ตายเพราะคำพูดเรา พูดให้รอดได้ก็พูดให้ตายได้เหมือนกัน เราต้องพูดให้อยู่ในขอบเขต เชื่อทุกอย่างแต่ไม่ต้องพูดทุกอย่างก็ได้

คิดว่าจะอยู่วงการนี้ไปยาวนานไหม

ไม่ได้คาดหวังว่าจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ ก็อยู่จนกว่าเขาจะไม่ให้อยู่ ซึ่งมีน้องดาราท่านหนึ่งเคยพูดว่า ออกไปเดินบนถนนเขาก็จำได้ ทำอะไรไม่ได้หรอก แต่การอยู่วงการนี้ทำให้เราได้แสง แต่เราก็ดับได้เหมือนกัน ผมก็พร้อมจะไปได้ทุกเมื่อ

สมัยก่อนเคยคาดหวังว่าอยากได้รางวัล อยากล่ามาก อีโก้สูง เพื่อนทุกคนที่อยู่กับเราก็พูดตรงหมด ด่าว่ามึงทำแบบนี้ไม่ถูก รุ่นพี่ก็บอกว่ามึงอย่าทำ เราเป็นคนรับฟัง แต่จะทำไหมอีกเรื่อง แล้วเราก็ค่อย ๆ ทลายกำแพงอีโก้ที่สูงมากของเราลง จุดนี้แค่สนุกกับการแสดงที่ได้รับก็พอ 

ตอนนี้ถือว่าเป็นเฟยแบบที่ชอบรึยัง

ดีขึ้น แต่ยังไม่ใช่ที่ชอบที่สุด 

ผมอยากเป็นคนนิ่ม อยากเป็นคนใจเย็น (หัวเราะ) อยากเบาขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้บอกว่าเราเบาแล้ว ก็ยังดังอยู่ดี เรายังเป็นคนพูดเสียงดัง ยังกระโชกโฮกฮาก มันเบาลงได้อีก

เมื่อไหร่ที่ความร้อนเราน้อยลง เราจะเย็นขึ้น แล้วก็จะสบายขึ้น นี่คือความเชื่อของเราตอนนี้

เฟยในวัย 28 กลัวชีวิตในวัยเลข 3 ไหม

ไม่เลย เพื่อนทุกคนบอกให้ระวังเลข 3 ไว้ เดี๋ยวรู้ เราบอกว่า มาดิ อยากเจอแล้วเลข 3 เนี่ย มาสักที เตือนมาตั้งแต่ 22 เตือนมา 6 ปีแล้ว มาสักทีเถอะ ขนาดโควิดช่วยเร่งเวลา 4 ปีแล้วยังไม่ถึงอีกเหรอ 30 ก็รอมันอยู่ ยังมีอะไรให้เราไปข้างหน้าได้อีก ให้รู้กันไปว่าถ้า 30 แล้วกูยังไม่ประสบความสำเร็จเนี่ย เดี๋ยวเจอกัน

อยากบอกอะไรกับเลข 3 ที่กำลังจะมาถึง

กูยังไม่แก่

แล้วอยากบอกอะไรกับเด็กชายเฟยที่เคยเกเร

แล้วแต่มึง ปล่อยให้มันเจอไป 

เพราะเจอแบบนั้นก็เลยกลายมาเป็นแบบนี้ เราอาจจะเรียนรู้เร็วกว่าบางคน ไปเจออะไรมาก่อนเลยจะไม่ทำมันอีก ชีวิตวัยเด็กเราพุ่งไปเร็วมาก 

เวลาคนถามว่าอยากย้อนเวลาไหม เฟยบอกไม่ เจอไป ให้เจอแหละดีแล้ว ให้มันล้มจะได้รู้ ถ้าไม่ล้มก็ไม่มานั่งคิดหรอกว่าทำอะไรผิดถึงล้ม ถ้าทำผิดแล้วคนมานั่งบอกว่าไม่เป็นไรคือไม่ใช่ มันเป็น แค่นั้น

เรื่องอะไรที่คนอย่างเฟยจะใจเย็นให้

เรื่องของคนอื่น เราชอบให้คำปรึกษาคนอื่นมากแม้ชีวิตตัวเองจะไม่รอด เรื่องนี้จะใจเย็นที่สุด แต่กับเรื่องตัวเองร้อนมาก ไม่รู้เป็นอะไร

ขอ 1 ซีนของทัดที่ต้องดูใน เรื่องตลก 69 The Series

โห ไอ้ตัวนี้มาแบบแปลก ๆ ตลอด เป็นตัวละครที่ประหลาด แต่ถ้าให้เลือกคงเป็นซีนเปิดตัวที่ต้องแรปยาว ๆ ให้คนดูรู้จักว่าคาแรกเตอร์นี้มั่นใจขนาดไหน แต่เราไม่ได้คิดแรปเอง ตั้ง ตะวันวาด เป็นคนแต่งให้ ซึ่งสิ่งนี้ยากกับเรามากตรงที่เราไม่ได้เป็นแรปเปอร์ ตั้งส่งแรปมาให้ประมาณ 5 ย่อหน้า แล้วพรุ่งนี้ต้องถ่าย 

ตอนนั้นเราอยู่ จ.จันทบุรี ระหว่างทางขับกลับ 3 ชั่วโมงครึ่งกับทั้งคืนนั้นก็แรปอยู่เพลงเดียว แรปแม่งอยู่นั่นแหละ แรป แรป แรป วน ๆ ไปเรื่อย ๆ ซึ่งซีนนี้ตลกมาก อยากให้ดูครับ

ภาพ : มณีนุช บุญเรือง

Writer

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์