หลังจาก บุพเพสันนิวาส ดังถล่มทลายเป็นที่เลื่องลือ 5 ปีต่อมาภาคต่ออย่าง พรหมลิขิต ก็ตามมาตอกย้ำความสำเร็จนั้น และขนดาราเบอร์ใหญ่มาเล่นกันแทบหมดช่อง

มีเพียง ‘อึ่ง’ บ่าวคนใหม่ที่ประกบนางเอกภาคใหม่อย่าง ‘แม่นายพุดตาน’ เท่านั้นที่เป็นที่พูดถึงทั่วบ้านทั่วเมืองว่าเล่นได้น่ารักซื่อใสบ้าง กวนตีนดีบ้าง ยกให้เป็นไลฟ์โค้ชอยุธยาบ้าง แต่ไม่มีใครรู้จักนักแสดงผู้เล่นเป็นอึ่งอย่าง จ๊ะจ๋า-แดนดาว ยมาภัย จริง ๆ จัง ๆ เลย

ข้อมูลเดียวที่มี คือเธอเป็นหลานสาวของ อาจารย์แดง-ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ผู้เขียนบทละครโทรทัศน์ทั้ง 2 ภาค และ บรรเจิดศรี ยมาภัย นักแสดงอาวุโส ผู้เล่นเป็นคุณยายของเกศสุรางค์ในภาคที่แล้ว

ในเมื่อรู้กันอยู่แค่นั้น คำว่า ‘เด็กเส้น’ จากหลาย ๆ คน ก็ตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่าถามเลยนะเจ้าคะ ข้าตอบไม่ถูก ข้าเป็นบ่าวทาส ข้าจักมีเสียงใด ๆ หาได้ไม่เจ้าค่ะ

นี่คือประโยคแรก ๆ ที่อึ่งพูด และพาให้คนทั่วประเทศสังเกตเห็นนักแสดงหน้าใหม่คนนี้

อึ่งเป็นบ่าวทาส พูดไม่ได้

แต่คราวนี้เราไม่ได้มาคุยกับอึ่ง หากแต่เป็นจ๊ะจ๋า ในลุคสาวสมัย 2023 ที่พร้อมจะตอบคำถามทั้งหมดที่เรามี (และตอบยาวด้วย)

จ๊ะจ๋าจะเล่าทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการเข้ามารับบทอึ่ง แพสชันในอาชีพนักแสดง ความรู้สึกตัวลีบเล็กในกองมืออาชีพ ไปจนถึงฝันอันยิ่งใหญ่ของเธอที่ฟังแล้วไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมจ๊ะจ๋าถึงทำได้ดีขนาดนี้ ทั้งที่เป็นละครเรื่องแรก ๆ

ส่วนเรามาตั้งใจฟังเธอในฐานะคนอายุ 26 ปี และกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอาชีพเหมือนกัน

หลานจะแต่งหน้าแต่งตัวมาร้องเพลงให้ฟัง

ละครใกล้จบแล้ว! รู้สึกยังไงกับกระแสที่คนดูพูดถึงอึ่งบ้าง

ดีเกินคาดนะคะ (ยิ้ม)

ตอนที่จ๋าแสดง ไม่คิดว่าผลตอบรับจะดีขนาดนี้ ด้วยความที่เราเป็นนักแสดงหน้าใหม่ คิดว่าคนคงไม่ได้ให้ความสนใจมาก แต่ว่าพอกระแสมันออกไปก็รู้สึกว่าคนเขาเอ็นดูเรา ชื่นชมผลงานการแสดงเราเยอะ ดีใจมาก ๆ ค่ะ

ล่าสุดเห็นว่าจ๊ะจ๋าได้รับรางวัลมาด้วย

ตอนที่เขาส่งมาก็ตกใจ จริง ๆ เราอยากมีโอกาสได้รางวัลสักครั้งในชีวิต แล้วอยู่ดี ๆ พี่ PR ของ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ก็ส่งมาว่าเราได้รางวัล MAYA TV AWARDS 2023 ถึงจะเป็นรางวัลนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่ แต่ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จก้าวแรกในฐานะนักแสดง

เราไม่เคยได้รางวัลอะไรในฐานะนักแสดงมาก่อนเลยค่ะ

ศิลปกรรมศาสตร์ มศว เอกการแสดงและการกำกับการแสดง ที่จ๊ะจ๋าจบมา เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง

เรียนเกี่ยวกับการแสดงแต่เป็นศาสตร์ทางด้านละครเวที เรียนกำกับ เรียนแอคติง และทุกอย่างเกี่ยวกับละครเวที บางทีก็มีฝึกโปรเจกต์เสียงโวคอล การใช้เสียง และอีกหลาย ๆ แบบที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการแสดงทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ ช่วงตอนประมาณ ม.5 เป็นช่วงที่ต้องตัดสินใจว่าเลือกเรียนอะไรดี ตอนแรกอยากเรียนนิเทศ ด้วยความที่มันดังสุดในสายอาร์ต พอเริ่มได้ศึกษาคณะต่าง ๆ ก็เลยมาเจออักษรฯ จุฬาฯ สาขาวิชาศิลปการละคร แล้วก็มาเจอที่นี่ ซึ่งดูตรงสายกว่าเรียนนิเทศ

อยากเป็นนักแสดงเหรอ

ตอนนั้นยังไม่ได้อยากเป็นนักแสดง แต่ว่าชอบสายวงการบันเทิง

ด้วยความที่กล้าแสดงออกมาก เวลาโรงเรียนมีกิจกรรมเราจะเป็นตัวตั้งตัวตี บางทีก็เป็นคนคิดโชว์กับเพื่อน ๆ รู้สึกว่าชอบอะไรแบบนี้ ถ้าให้ไปเรียนบัญชีก็คงไม่เหมาะ

การเป็นหลานของคุณย่าบรรเจิดศรีและอาจารย์แดงมีอิทธิพลกับความสนใจของเราไหม

คิดว่ามีนะคะ เพราะว่าเราใกล้ชิดกับคุณป้า-คุณย่ามาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็ก ๆ จะเปิดคอนเสิร์ตของตัวเองให้คุณย่ากับคุณป้าดูเกือบทุกวัน เราทำบัตรแล้วก็บอก นี่นะคะ มาดูหลาน เดี๋ยวหลานจะแต่งหน้าแต่งตัวมาร้องเพลงให้ฟัง เราอยู่กับอะไรแบบนี้มาตลอด 

คุณป้าเขียนบท เราก็เคยลองเขียนด้วย เขียนไปได้สักพัก อยู่ดี ๆ ตัวละครตาย อีกตอนหนึ่งก็มาเกิดใหม่ ตอนนั้นเป็นช่วงกำลังค้นหาตัวเอง แต่รู้สึกว่าอาจจะไม่เหมาะ เพราะเราไม่ได้เป็นหนอนหนังสือแบบคุณป้า

และเคยไปกองถ่ายกับคุณย่าบ้างกับป้าแดงบ้าง เลยได้ซึมซับวิธีการอยู่ในกองถ่ายมาตั้งแต่เด็ก จนมีโอกาสที่ป้าแดงให้ไปเล่นละครตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ

ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ

ใช่ ๆ เรื่องแรกสุดไปเล่นเพราะตอนนั้นคุณพ่อก็เล่นละครอยู่เหมือนกัน ในฉากคือคุณพ่อต้องฝันว่ามีลูก เขาก็ให้ไปเล่นเป็นลูกเลย แค่เรียกว่า ป้อ แค่นี้

เรื่องที่ 3 พรพรหมอลเวง ถึงเล่นเต็มตัว เราเล่นเป็นน้องขวัญ ตัวร้ายตอนเด็กที่อิจฉานางเอกตลอดเวลา

พอได้ทำแล้วรู้ตัวว่าชอบทางนี้เลยไหม

ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตัวว่าชอบนะ แต่มีวันหนึ่งที่มีฉากร้องไห้ครั้งแรก เราแค่ 7 ขวบ อยู่ ป.1 แต่ก็ทำได้ กลับมาอวดที่บ้านว่า จ๋าร้องไห้ได้แล้วนะคะป้าแดง แต่ว่าสุดท้ายคือพอจบคุณพ่อไม่อยากให้ขาดเรียน เลยให้พักตรงนี้ไปก่อน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นละครอีกเลยจนจบ ม.6 ค่อยมาเล่นอีกครั้ง ถ้ารวมตอนเด็ก ๆ ด้วย ตอนนี้ก็เล่นมา 7 เรื่องแล้ว

เหมือนทิ้งบอมบ์ไว้ 1 ลูก

พรหมลิขิต ยากที่สุดตั้งแต่เล่นมาเลยไหม

ยากสุดในตอนนี้เลย! พีเรียดมันห่างไกลเรามาก เราต้องเป็นบ่าวสมัยอยุธยา และมีความดราม่าในเรื่องผัวที่เอาเรามาขาย

ทำไมถึงได้เข้ามารับบทนี้ได้

ป้าแดงค่ะ คุณป้าเขียนบทแล้วก็เห็นว่าดูเหมาะสมกับเรา หมายถึงว่ามันก็ไม่ได้สวยมากขนาดนางเอก ไม่ต้องเก่งมาก ในบทต้องอยู่กับนางเอกด้วย พี่เบล (เบลล่า-ราณี แคมเปน) ก็น่าจะเล่นส่งได้ ป้าเลยลองให้เล่น

ตอนแรกเขาเรียกไปเวิร์กช็อป ไปคุยกับ พี่นาย (สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร) ผู้กำกับ เราก็ไม่ได้เตรียมตัวมาเพราะคิดว่าเป็นการลองมาคุยอย่างเดียว แต่พอมาถึงพี่นายบอกว่าอาจให้เทสต์หน้ากล้องด้วย เขามีให้อ่านบทและเล่นกับแอคติงโค้ช วันนั้นทำไม่ได้เลย เพราะกังวลบท เรายังไม่เคยเข้าตัวละคร เลยทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เหตุการณ์นั้นก็เกือบจะทำให้ไม่ได้เล่นแล้ว

แล้วทำไมไป ๆ มา ๆ ถึงได้เล่น

นับจากวันนั้นเรามีเวลาอีกแค่ 2 เดือนก่อนเปิดกล้อง เวลากระชั้นชิดมาก ตอนแรกเขาก็คิดกันว่าจะส่งไปเรียนแอคติงดีไหม แต่เราว่า 2 เดือนมันน้อยมาก ทางเขาก็กลัวเหมือนกันว่าจะไม่ทัน

เขามีคอมเมนต์ว่าคำพูดเราเป็นเด็กสมัยใหม่มาก เวลาพูดจะปล่อยปาก เสียงเหินประโยคท้าย นัยน์ตาก็ดูไม่ซื่อ ดูเป็นคนฉลาดและสมัยใหม่ อีกส่วนหนึ่งคงเพราะว่าเราสักตรงนี้ด้วย (ชี้ไปยังรอยสักที่แขน) แถมวันนั้นก็ใส่ตุ้มหูไปเยอะ เขาคงไม่เห็นอึ่งในตัวเราในวันนั้นเลย

โห แล้วทำยังไงล่ะ

หลังจากที่ฟังเขาพูด เราก็โทรไปบอกป้าว่าไม่เล่นแล้วค่ะ ไม่อยากเป็นภาระ กลัวว่าเล่นไม่ได้แล้วจะพาพี่เบลดิ่งลงเหวไปด้วย ขอไปทำอย่างอื่นดีกว่า ทำ YouTube ก็ได้ อะไรก็ได้ ป้าแดงก็พูดประมาณว่า คนอื่นเขาอยากมาอยู่ในจุดนี้จะตาย แต่เขาไม่มีโอกาส ทำไมเราได้โอกาสมาแล้วถึงไม่ทำ ลองไปคิดดูเอาเองก็แล้วกัน

เหมือนทิ้งบอมบ์ไว้ 1 ลูก

ตอนนั้นเครียดมาก ยอมรับว่าไปดูดวงเลยนะคะว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ถามว่าอยากเล่นไหมมันก็อยากเล่น เพราะนี่เป็นละครฟอร์มยักษ์ มันยิ่งใหญ่มาก ทุกคนคาดหวังและรอคอย สุดท้ายดวงก็บอกว่า ถ้าเล่นอันนี้จะมีโอกาสเติบโตมาก ๆ นะ ถ้าเราเลือกละครจะเหมือนขึ้นลิฟต์ ถ้า YouTube จะเหมือนขึ้นบันได ให้ลองเลือกดู แต่สุดท้ายคนรอบตัวก็บอกว่า เล่น ๆๆๆ เลยตัดสินใจรับมา คุณป้าก็ให้เราไปเรียนแอคติงก่อนเปิดกล้อง

พอปล่อยภาพวันฟิตติงออกไป ชาวเน็ตเขาสงสัยกันว่าใครคืออึ่ง แล้วก็พูดว่าอึ่งน่าจะเป็นคนนั้นคนนี้เล่นมากกว่านะ คนนี้ดูเหมาะกว่านะ (ผู้เขียน : เขายังไม่รู้จักเรา ยังไม่เห็นผลงานเราเลยด้วยซ้ำเนี่ยนะ) ใช่ ๆ เหมือนว่าเขาอ่านนิยายแล้วเห็นภาพคนมีชื่อเสียงที่เขารู้จัก เวลาเราไปอ่านก็จะกดดันตัวเอง จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นแรงผลักดันอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ตอนนั้นคิดไหมว่าละครจะดังแน่ ๆ

ไม่คิดว่าจะดัง ด้วยความที่เป็นภาค 2 ด้วย อาจจะเทียบกับภาคแรกไม่ได้ คิดว่าก็คงมีคนรู้จักมากขึ้น อาจมีผู้ใหญ่มาเห็นแล้วให้ไปทำงานอื่นต่อ แต่ไม่คิดว่าจะกระหึ่มโซเชียลขนาดนี้ นี่คือมากกว่าที่คิด มากกว่าเยอะมาก ๆ

ภาคที่แล้วพี่ผิน-พี่แย้มดังมาก! รู้สึกยังไงในการเข้ามาเป็นอึ่ง ซึ่งเป็นบ่าวที่ประกบนางเอกเหมือนกัน

จริง ๆ แล้วบทของอึ่งกับพี่เพิ่มก็เหมือนกับพี่ผิน-พี่แย้มเลย แต่คาแรกเตอร์ไม่เหมือนกัน

เรากดดันมาก เพราะภาคที่แล้วพี่ ๆ ทำไว้ดีมาก พี่นายผู้กำกับเขาก็บอกว่าให้ดูพี่ผิน-พี่แย้มไว้เยอะ ๆ ลองดูแต่ไม่ต้องเอาของเขามาเล่น แค่ดูวิธีการเล่นหรือวิธีที่เขาทำงานด้วยกัน เป็นบ่าวคู่กันมันต้องไปด้วยกัน

อยากรู้เรื่องกระบวนการการออกแบบตัวละคร กว่าจะเป็นอึ่งแบบที่เราเห็นกันตอนนี้

ต้องมานั่งวิเคราะห์ตัวละคร เราอ่านจากนิยายก่อนแล้วก็อ่านจากบท ต้องมานั่งวิเคราะห์นิสัยใจคอของตัวละคร วิเคราะห์ภูมิหลัง ยากตรงที่อึ่งเขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ และโดนสามีขายด้วย ช่วงแรก ๆ ยังหาทางที่ลงตัวไม่เจอ อาจเป็นเพราะยังมีความเกร็งอยู่มาก ๆ ทั้งกับนักแสดงที่แสดงด้วยกัน ทั้งบท แต่พอตอนหลัง ๆ สนิทกับพี่เบล พี่รอน (ภัทรภณ โตอุ่น) และได้อยู่กับอึ่งบ่อยขึ้น มันก็ค่อย ๆ รู้ว่า อ๋า! มันต้องแบบนี้

การเป็นมือใหม่ในกองที่เป็นมืออาชีพมาก ๆ รู้สึกยังไงบ้าง

กดดันค่ะ กดดันมากกก (ตอบคำเดิม)

เราเป็นมือใหม่ที่สุดแล้วค่ะ นักแสดงคนอื่นเขามีชื่อเสียง มีประสบการณ์มาเยอะแล้ว ต่อให้จ๋าจะเคยเล่นมาแล้ว แต่เราก็ไม่ได้เล่นต่อเนื่อง เราเลยตื่นกล้อง

รู้สึกว่าบทเราต้องเป๊ะไว้ก่อน อย่างน้อยต้องไม่เป็นภาระคนอื่นมาก แต่จริง ๆ ช่วงแรกเราเป็นภาระพี่เบลมากเลยนะ ด้วยความที่มือใหม่หัดแสดง ก็จะมีความเกร็งจนเล่นไม่ได้ บางทีบล็อกกิงผิด เข้ากับพี่เบลก็จะคัตบ่อย ๆ เราก็จะ พี่เบลขอโทษค่ะ ๆ (ทำท่าไหว้) ขอโทษไว้ก่อน 

แต่พี่เบลเขาน่ารัก เขาคอยบอก คอยสอน ถ้าอันไหนที่เราทำไม่ได้เขาก็จะบอกให้ลองแบบนี้สิ ๆ รอดมาได้เพราะพี่เบลเหมือนกันนะคะ

เคยฟังสัมภาษณ์หนึ่งมาว่าจ๊ะจ๋าเครียดกับการประกบดาราเบอร์ใหญ่มาก เพราะรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็ก

(พยักหน้า) ก็เล็กเลยแหละ เพราะว่าเขาไม่ได้รู้จักเรา 

พี่หยา (จรรยา ธนาสว่างกุล) เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่รายชื่อออกมาว่าใครเล่นเป็นใคร ทุกคนมีคำถามว่าอึ่งคือใคร พี่หยาถึงขั้นไปเสิร์ชในเน็ตเลย แต่พอเห็นว่าเรียนการแสดง มศว มา ก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ เราว่ามันก็น่าเสิร์ชอยู่นะ (ยิ้ม)

(PR : เข้ากองแรก ๆ นี่เดินตัวเล็กเลยนะ)

อย่างงี้เลย! (ทำท่าตัวลีบเล็กให้ดู) วันแรกนิ่งเงียบมาก ไม่คุยกับใครเลย มาถึงก็จะสวัสดีค่ะ นั่งอยู่เงียบ ๆ เล่นโทรศัพท์ อ่านบท สนิทกับทุกคนแล้วก็เฮฮาปาร์ตี้ มีล้อ มีแซวกันบ้าง จนพี่เบลบอกว่าไม่เห็นเหมือนวันแรก ๆ ที่เข้ามาในกองเลย (หัวเราะ)

เป็นคนคิดมากเหมือนกันเนอะ

ใช่ เป็นคนคิดมากจริง ๆ คิดแทนคนอื่นแล้วก็มาใส่ในตัวเอง คิดมากแล้วก็เอาออกยากนิดหนึ่ง นี่เป็นข้อเสียของการต้องทำงานเป็นนักแสดง บางทีที่เราแสดงแล้วเอาเรื่องอื่นออกจากหัวไม่ได้มันค่อนข้างยาก

อะไรถือเป็นประสบการณ์ที่ผ่านไปได้ยากที่สุดในการทำงานนี้

ช่วงแรก ๆ ค่อนข้างกังวลบทร้องไห้ เราไม่เคยเล่นดราม่าแบบจริงจัง ป้าแดงเขาก็ค่อนข้างคาดหวังกับฉากร้องไห้ของเรา อยากให้รู้สึกจริง ๆ ร้องไห้จริง ๆ โดยไม่ต้องใช้น้ำตาเทียม

เขาบอกว่าฉากร้องไห้เป็นจุดขายของเราเหมือนกันนะ เพราะว่าเราเฮฮา ตลก ซื่อ ๆ โก๊ะ ๆ มาทั้งเรื่อง แต่พอมีฉากดราม่ามันก็จะพลิก คนดูก็จะคาดหวัง รอคอย เขาอยากให้เราเล่นให้ดี แสดงให้เห็นถึงความสามารถ 

ฉากร้องไห้แรกที่ต้องถ่ายคือตอนโดนขามตบ ก่อนถ่ายฉากนั้นเราปลีกตัวออกมาทำสมาธิ ไม่อยากให้คนอื่นต้องรอนาน แต่ก่อนยังไม่รู้วิธีร้องไห้ให้อยู่กับเนื้อเรื่อง ตอนนั้นเลยคิดว่าหมาตายแล้วร้องไห้ แต่ถ้าทำอย่างนั้น พอเข้าไปเล่นจะไม่ต่อเนื่องเพราะต้องพูดบทด้วย กลายเป็นว่าร้องไห้ปลอม ๆ (ทำเสียงร้องไห้ปลอม ๆ) ไม่มีน้ำตา ไม่ได้รู้สึกกับบท 

แต่พอเข้าไปเรียนการแสดงที่ มศว ก็ได้อยู่กับตรงนี้เยอะขึ้น แล้วค่อย ๆ รู้วิธีว่า แค่อยู่กับตัวละครคู่ของเรา เวลาเขาส่งให้เราก็รับ แล้วก็เชื่อว่าตอนนี้เราคืออึ่งจริง ๆ ไม่ใช่จ๊ะจ๋า จะมาคิดว่าหมาตายเพื่อให้ร้องไห้ไม่ได้ แต่ต้องเห็นภาพไปตามเนื้อเรื่องจริง ๆ อย่างตอนที่จ๋าเล่นบทนั้น จ๋าก็เห็นภาพตัวเองที่โดนขาย โดนไอ้ขามลาก เพื่อที่จะให้รู้สึกจริง ๆ

สุดท้ายก็ทำออกมาได้ดีพอสมควร

หลังจากผ่านละครที่ยากที่สุดมา รู้สึกว่าได้พัฒนาตัวเองในเรื่องไหนบ้าง

จริง ๆ ได้พัฒนาทุกด้านเลย ทั้งด้านการเข้าสังคมในกอง การเจอผู้คน การสัมภาษณ์ การออกงาน เหมือนเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลย

เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เยอะมากจากละครเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้เราเติบโตขึ้นมาก ๆ

นี่คือความฝันของเรา

ตั้งแต่เรียนจบมา จ๊ะจ๋ารับงานแสดงมาตลอดเลยไหม

ไม่ค่ะ เราจบ พ.ศ. 2561 ก็ไป Work and Travel เป็นแคชเชียร์ที่สหรัฐฯ ประมาณ 5 เดือนก่อน กลับมาก็ไม่รู้จะทำอะไร 

ตอนนั้นโชคดีเพราะรัชดาลัยมีโปรดักชัน DISNEY’S THE LION KING แล้วเขาเปิดหาคนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาแต่งตัวให้นักแสดง (Dresser) ตอนนั้นรู้สึกว่าละครเวทีก็เป็นสายที่เราเรียนมานะ แล้วเราเพิ่งกลับมาจากสหรัฐฯ ยังอยากฝึกภาษาอยู่ เลยสมัครอันนี้ แต่มันเป็นโปรดักชันสั้น ๆ แค่ 3 เดือน พอทำเสร็จก็เลยเคว้งอีกแล้ว 

ตอนนั้นในหัวคือไม่ได้มีงานเกี่ยวกับวงการบันเทิงเลย แค่ชอบทำงานกับชาวต่างชาติ รู้สึกว่าเขาตรงไปตรงมาดี เวลามีอะไรก็พูดกับเราตรง ๆ ด่าตรง ชมตรง เราชอบอะไรแบบนี้ จริง ๆ ก็ยังอยากมีโอกาสทำละครเวทีอีกนะ แต่ช่วงนั้นโควิดมาพอดี เลยอยากลองสมัครแอร์โฮสเตส ไปสมัครและสอบแล้วด้วย แต่โควิดมาก็เลยล้มเลิกอีก 

เราเลยไปสมัคร Property Management ดูแลเกี่ยวกับอาคาร อสังหาฯ ไม่ได้เกี่ยวกับที่เรียนมาเลย แค่อยากใช้ภาษาเลยสมัครอันนั้นไป เป็นสาวออฟฟิศไปเลย 2 ปี เข้างาน 8 โมง เลิกงาน 5 โมง งานไม่ได้ยุ่งมากก็มีเวลาว่างทำ TikTok เราก็ยังทำอะไรอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แต่งหน้าเอง เล่นเอง ไม่ได้มีโอกาสไปทางวงการบันเทิงเลย จนป้าแดงบอกว่ากำลังจะมีเรื่อง พรหมลิขิต เราก็ลาออกจากงาน เพราะ 2 สิ่งนี้ไปควบคู่กันไม่ได้ 

ในฐานะที่เราเป็นคนรุ่นเดียวกัน อยากรู้ว่าจ๊ะจ๋ามีความกดดันเรื่องงานหลังเรียนจบเหมือนกันไหม

นี่ว่าเป็นทุกคนแหละที่เรียนจบมาแล้วจะเคว้ง ตอนนี้เราก็ยังกลัวอยู่นะ 

การถ่ายละครคืองานฟรีแลนซ์ ไม่ใช่อะไรที่เป๊ะ ๆ แน่นอนทุกเดือน เราคาดการณ์ไม่ได้ว่างานจะมาเมื่อไหร่ แต่โชคดีที่ที่บ้านไม่ได้กดดัน ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีงานหรือมีเงินส่งให้ที่บ้านตลอด เราจึงค่อนข้างเปิดในเรื่องการหางาน 

แต่เป็นตัวเราที่จะกดดันตัวเอง เราอยากทำงาน อยากมีเงินมีรายได้ เพื่อที่จะดูแลเขาได้ให้สบาย

ตอนถ่ายละคร เราต้องรอละครจบก่อนถึงจะได้เงิน ตอนนั้นก็รู้สึกว่าจะทำยังไงดี เราไม่ได้มีรายได้จากช่องทางอื่น เลยเปิดร้านสัก พยายามหาอะไรให้ตัวเองมีรายได้เข้ามา 

รวยได้เพราะขยันค่ะ (หัวเราะ) เป็นคนเสี่ยงโชคไม่ขึ้น ต้องออกแรงถึงจะได้เงิน เปิดร้านสักก็จัดการเองได้ว่าเขาจองวันนี้ เราว่างไหม ถ้าว่างก็รับ ถ้าไม่ว่างก็ย้ายไปวันอื่น มันยืดหยุ่นได้ ทำควบคู่กันไปได้ เป็นรายได้เสริมช่องทางหนึ่ง

จริง ๆ แล้วความฝันของจ๊ะจ๋าคืออะไร

(หยุดคิด)

เอาจริง ๆ นะ ความฝันคืออยากเล่นละครบรอดเวย์ 

ยาก แต่ก็อยากลองสักครั้ง เป็นต้นไม้ก็ได้ (หัวเราะ) แค่อยากอยู่ตรงนั้น เราเคยทำเบื้องหลัง ไปแต่งตัวให้เขาแล้วรู้สึกว่าน่าสนุกดี อันนี้คือความฝันของเราเลย

การได้เข้ามาเรียน มศว ทำให้เรารู้มากขึ้นว่าละครเวทีมีหลายแบบมาก มีทั้งละครพูด ละครใบ้ มีหลายแบบมาก ไม่ใช่แค่ร้อง เขาก็จะบอกว่าจริง ๆ ละครเวทีคือศาสตร์แรกที่สุดของการแสดง เขาบอกว่าการแสดงแรกสุดของคนคือการยืนเรียงกันร้องเพลงในสมัยกรีก แล้วคนดูก็นั่งดูบนหินขั้น ๆ ขึ้นไป หรืออย่างตอนที่กษัตริย์ดูโขน ก็คือดูการแสดงสดเหมือนดูละครเวที

การที่เรียนละครเวทีมาทำให้เราเล่นใหญ่ได้ ถ้าเล่นใหญ่ไปสำหรับละครทีวีหรือหนังก็ปรับลดลงมาได้ เขาเลยบอกว่าศาสตร์ของละครเวทีคือทั้งหมดของแอคติง และพื้นฐานของละครเวทีคือพื้นฐานของละครส่วนใหญ่

ความฝันนั้นยังอยู่ใช่ไหม

ยังมีอยู่ จริง ๆ ตอนนั้นที่ดูดวงเขาก็บอกด้วยแหละ ถ้าเราเลือกเล่นละครเรื่องนี้จะไปถึงความฝันอันนั้นได้ง่ายกว่า ก็เลยรู้สึกว่าโอเค

จ๊ะจ๋าอยากเล่นบรอดเวย์แนวไหน

มีร้องบ้างนิดหน่อยก็ได้ เราชอบร้องเพลงด้วย เต้นด้วย 

จริง ๆ เคยไปลองออดิชันมาแล้ว แต่บรอดเวย์ยากสำหรับเราเพราะต้องเต้นได้และร้องได้ด้วย ร้องน่ะโอเค พอทำได้อยู่ แต่เต้น มันไม่ได้เต้นแบบเต้นทั่วไป ไม่ใช่ Cover Dance เต้น TikTok ต้องมีพื้นฐานคอนเทมโพรารี่ มีพื้นฐานบัลเลต์ ซึ่งเราไม่ได้เรียนเต้นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก เคยเรียนแจ๊สแค่นิดหน่อย แต่อันนี้ต้องหมุนตัว ยกขาด้วย มันก็เลยยาก

ตอนที่ออดิชันก็เลย อ๋อ… ถ้าอยากไปอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ต้องเรียนเพิ่ม

เรียนเพิ่มแล้ว จะทำยังไงให้เราเข้าไปอยู่ในแวดวงได้

จริง ๆ มีประกาศรับสมัครอยู่เหมือนกันนะคะ เขาจะเอาคนที่อยู่ประเทศนั้นเลย ถ้าเราอยากทำจริงจังอาจต้องย้ายไปตั้งหลักอยู่ที่นั่น 

คิดว่าตอนนี้ความฝันเราคือเล่นละครเวทีในไทยก่อน รัชดาลัยก็ได้ หรือ M Theatre หรือโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศก็ได้ แค่ว่าอยากลองเล่นโปรดักชันที่ใหญ่ขึ้นกว่าตอนมหาลัย

ยังจะรับละครอยู่ไหม

รับค่ะ รับ (หัวเราะ) รับค่ะ 

ถ้าเทียบกันระหว่างละครเวทีกับละครทีวี ละครทีวีมีฐานคนดูที่มากกว่า คนดูเข้าถึงได้ง่ายกว่า ละครเวทีค่อนข้างเฉพาะกลุ่มมาก ถ้าได้ทำควบคู่กันไปก็จะดี

เราอยากลองรับบทบาทใหม่ ๆ ที่ผ่านมาได้เล่นเป็นเพื่อนนางเอกที่แบบโก๊ะ ๆ ฮา ๆ มีสีสัน อยากเล่นบทที่เข้มข้นบ้าง จริง ๆ อยากเล่นเป็นเด็กพิเศษด้วยนะ อย่างเด็กออทิสติกแบบพี่ยิม (Side by Side พี่น้องลูกขนไก่) หรือว่าเป็นแบบดราม่ามาก ๆ ที่ไม่ได้สดใส อยากลองบทอื่น ๆ ที่ไกลตัวเราขึ้นบ้าง 

แต่จริง ๆ แล้วถ้าถามว่าชอบบทไหน เราชอบบทที่เชื่อมโยงกับตัวเรา เพราะเวลาเล่นแล้วทำให้กลมกลืนกับตัวเองได้ แค่อยากลอง แต่ไม่รู้จะทำได้ดีมั้ยนะ

คิดแทนเขา

ปฏิกิริยาแรกของคนที่รู้ว่าเราเป็นหลานของทั้ง 2 ท่านเป็นยังไงบ้าง

เขาก็ไม่ได้แสดงออกให้เราเห็นชัดเจนว่ารู้สึกยังไง เหมือนจะเป็นตัวเรามากกว่าที่คิดแทนเขาว่าทุกคนคงไม่ชอบเราหรอกมั้ง เพราะเราเป็นเด็กเส้น เลยทำให้เราเหมือนบล็อกตัวเองเอาไว้ด้วยนิดหนึ่ง แต่จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไงนะ

แต่จะมีช่วงที่ละครออนไปแล้ว กลายเป็นว่าคนรู้เยอะมากว่านี่คือหลานป้าแดงกับหลานคุณย่า ตอนแรกก็กลัว แต่พอเราไปนั่งดูฟีดแบ็ก กลายเป็นว่าเป็นเชิงบวก ไม่ได้มีใครโจมตีเรื่องเป็นเด็กเส้น แต่ทุกคนบอกว่า ถือว่าเป็นเด็กเส้นที่แสดงความสามารถให้ทุกคนเห็นสมกับการที่เขาดึงมาเล่น 

ฟีดแบ็กไม่ได้เป็นแนวลบ ถ้าเป็นลบเราก็คงรู้สึกแย่

แปลว่าตอนที่กำลังถ่าย จ๊ะจ๋าก็ต้องแบกความเครียดกับคำว่าเด็กเส้นมาโดยตลอด

ใช่ กดดัน

ก็คุยกับพี่รอนที่เป็นคู่แสดงของเราตลอด เวลามีอะไรเครียดนิดหน่อยก็จะไปบอกพี่รอนเลยว่าตอนนี้รู้สึกแบบนี้ ทำยังไงดี มันเอาไม่ออก ทำให้เราเล่นได้ไม่เต็มที่ พี่รอนก็บอกว่าปล่อยไว้เลย ถ้าเรายังมือใหม่ ยังรับมือกับคอมเมนต์แย่ ๆ ไม่ได้ก็อย่าเพิ่งอ่าน รอให้จ๋ามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงก่อนค่อยไปเสพได้ เรื่องเด็กเส้นพี่รอนบอกว่าไม่เป็นไร เด็กเส้นแล้วไง ถือว่าเรามีโอกาส ก็ให้ทำให้เต็มที่ ทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุด

ซึ่งจริง ๆ ตอนถ่ายป้าแดงไม่เคยแนะนำอะไรเลยนะ ป้าแดงบอกว่าป้าไม่ได้เป็นสายแอคติง อยากให้ฟังจากผู้กำกับและแอคติงโค้ช ส่วนใหญ่ที่ถามป้าแดงจะมีแค่ว่า ความหมายของอันนี้คืออะไร หรือบทนี้ตีความยังไง ป้าพูดเรื่องบทได้อย่างเดียว

ตอนนี้ยังคิดมากกับคำว่าเด็กเส้นอยู่ไหม

ไม่ค่อยแล้วนะ ด้วยความที่ผลตอบรับออกมาดี เราก็รู้สึกว่าทำงานออกมาสำเร็จ และลบคำสบประมาทของหลาย ๆ คนได้แล้ว และตอนนี้ก็ได้เล่นละครที่ไม่ใช่บทของป้าแดงเขียนเป็นเรื่องแรก ทำให้รู้สึกว่าหลุดพ้นคำนั้นมาแล้ว

แต่พี่นายก็จะพูดว่า จ๋าประสบความสำเร็จจาก พรหมลิขิต แล้ว จ๋ามีมาตรฐานของตัวเองแล้ว ถ้าเราเล่นเรื่องต่อ ๆ ไป คราวนี้ต้องคงมาตรฐาน หรือไม่ก็ต้องดีกว่ามาตรฐานเดิมนะ เพราะคนจะจับตาดูแล้ว ถือว่าเป็นความยากเหมือนกัน

ปีหน้ามีแผนจะทำอะไรบ้าง

ปีหน้าก็จะมีหนังสั้นที่กำลังจะออนแอร์ ส่วนกิจการร้านสัก ถ้ามีโอกาสก็อยากจะรับลูกค้ามากขึ้น 

และมีแพลนว่าอยากทำยูทูบเป็นของตัวเอง จริง ๆ เปิดช่องมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำคอนเทนต์อะไรดี ด้วยความที่เราเป็นคนหลากหลาย เดี๋ยวลองหาดูว่าควรจะทำแบบไหนให้น่าสนใจและยังไม่มีคนทำ ช่วงนี้อึ่งกำลังมา ก็อาจจะใช้ในการพรีเซนต์ตัวเองนี่แหละ (หัวเราะ)

(ผู้เขียน : ไม่กลัวคนติดภาพเราในบทบ่าวเหรอ) ไม่เลย ถ้าเขาจำเราแบบนี้ แปลว่าเราก็ต้องไปเตะตาเขา และแปลว่าเราประสบความสำเร็จในงานของเราเหมือนกัน เพราะคนอินกับตัวละครที่เราได้รับ

อยากให้คนจำ ‘จ๊ะจ๋า แดนดาว’ แบบไหน

จำแบบไหนก็ได้ จะจำเป็นอึ่งหรือจำเป็นจ๋าก็ได้ค่ะ แค่เขาจำเราได้เราก็ดีใจแล้วอะ ไม่ว่าจะเป็นในบทบาทไหน หรือว่าในฐานะอะไร การเป็นที่จดจำก็ดีหมดเลย 

แต่จำในเรื่องดีนะคะ เอาเรื่องดีนะ (หัวเราะ)

Writer

พู่กัน เรืองเวส

พู่กัน เรืองเวส

อดีตนักเรียนสถาปัตย์ สนใจใคร่รู้เรื่องผู้คนและรูปแบบการใช้ชีวิตอันหลากหลาย ชอบลองทำสิ่งแปลกใหม่ พอ ๆ กับที่ชอบนอนนิ่ง ๆ อยู่บ้าน

Photographer

โตมร เช้าสาคร

โตมร เช้าสาคร

ชอบถ่ายวิวมากกว่าคน ชอบกินเผ็ดและกาแฟมาก เป็นคนอีโค่เฟรนลี่ รักสีเขียว ชวนไปไหนก็ได้ไม่ติด ถ้ามีตัง