มิวสิกวิดีโอเป็นสื่อที่ถูกด้อยค่ากว่าความเป็นจริง ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี มิวสิกวิดีโอซึ่งเป็นงานในสายพานช่วงท้ายสุดจึงได้งบน้อยกว่างานส่วนอื่นมาก
แต่คนที่มีประสบการณ์จะรู้ว่ามิวสิกวิดีโอดี ๆ เป็น Springboard ให้งานเพลงกลับมาคืนชีพเป็นกระแสได้อีกครั้ง ยิ่งในยุค TikTok มันจะกลายเป็นคอนเทนต์ที่เอาไปต่อยอดได้ยาว ๆ
มิวสิกวิดีโอที่ดี ไม่จำเป็นต้องโปรดักชันยิ่งใหญ่ แต่ต้องมีไอเดียแข็งแรง เหมือนกับมิวสิกวิดีโอเพลง I’m OK // Not OK ของ BOYdPOD (บอย โกสิยพงษ์ และ ป๊อด-ธนชัย อุชชิน) และ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ที่น่าสนใจ คืองานนี้ไม่ได้ทำโดยผู้กำกับมิวสิกวิดีโออาชีพ แต่เป็นครีเอทีฟ พีท-ทสร บุณยเนตร Chief Creative Officer ของ BBDO Bangkok โดยทำในนาม Flare Bangkok หน่วยทำโปรดักชันหนังโฆษณาภายใต้ BBDO Bangkok โดยมี พิม-ตวงรัก จิรวัฒนรังสี เป็นตำแหน่ง Head of Production
งานนี้จึงไม่ได้ทำด้วยมุมมอง ‘ผู้กำกับ’ แต่ทำจากมุม ‘ครีเอทีฟ’
พีทบอกว่า เขาไม่ได้คิดว่ากำลังทำมิวสิกวิดีโอ แต่กำลังปั้นแคมเปญดี ๆ งานหนึ่ง
เราต่อสายคุยกับพีทตอนค่ำ หลังมิวสิกวิดีโอปล่อยไม่ถึงชั่วโมง (และได้ล้านวิวแล้วในตอนนี้) เพื่อถามตามสูตรงานครีเอทีฟว่า
Big Idea ของงานนี้คืออะไร


เพลงที่เขียนถึงโดราเอมอนและโนบิตะ
คนที่รู้จักพีทจะรู้ว่าเขาเป็นครีเอทีฟที่ทำเพลงเป็น มีวงของตัวเอง คุ้นเคยกับคนในวงการนี้ดี
ช่วงเริ่มต้นโปรเจกต์ BOYdPOD รอบ 2 บอย โกสิยพงษ์ ต่อสายหาพีทให้มาช่วยคิดคอนเซปต์ให้งานชุดนี้ แต่ด้วยการงานที่รุมเร้า ทำให้พีทช่วยคิดได้ครึ่งเดียว โดยให้ BOYdPOD รอบนี้มีคอนเซปต์ว่า Original Soundtrack เหมือนเพลงประกอบภาพยนตร์ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก
หลังบอยปล่อยงานนี้ในรูปแบบ EP พีทซึ่งเริ่มมีเวลามากขึ้น กลับมาถามบอยอีกครั้งว่าให้เขาช่วยคิดอะไรเพิ่มมั้ย บอยตอบว่ามีมิวสิกวิดีโอเพลงหนึ่งที่กำลังหาคนทำ อยากให้เขาลองดู
15 ปีที่แล้วพีทเคยช่วยทำมิวสิกวิดีโอให้วง Playground ก่อนจะหันเหมาทำอาชีพครีเอทีฟ เขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะกำกับมิวสิกวิดีโอได้ เพราะฉะนั้น พีทเลยเลือกทำสิ่งที่ถนัด คือการมองงานเป็นแคมเปญ มองหาไอเดียเป็นอันดับแรก
เพลง I’m OK // Not OK ที่เขาได้ฟังเป็นเวอร์ชันเดโม เสียงร้องยังไม่ใช่ป๊อด และยังไม่มีบิวกิ้น บอยเล่าว่าเขาเขียนเพลงนี้ให้เพื่อน 2 คนที่รักกันมาก ๆ แต่วันหนึ่งต้องจากกันไป
เพื่อนที่ว่านี้ชื่อ ‘โดราเอมอน’ และ ‘โนบิตะ’ คาแรกเตอร์การ์ตูนในตำนาน ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ จะรู้ว่าในการ์ตูนจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่โดราเอมอนจำเป็นต้องลาโนบิตะเพื่อกลับโลกอนาคต เนื้อหาท่อนนี้ถูกวิเคราะห์ตีความเป็นการ์ตูนและแอนิเมชันหลายเวอร์ชันมาก สำหรับบอย เขาเลือกเขียนออกมาเป็นเพลงนี้ โดยเขียนเล่าเรื่องให้ลักษณะเป็นซีนหนังที่ 2 ตัวละครนี้กลับมาเจอกัน
“คอนเซปต์คือเพลงของเพื่อน เราเลยคิดต่อจากพี่บอยว่า ถ้าจะทำมิวสิกวิดีโอทั้งที ทำไมไม่ทำให้เป็นเหมือนเครื่องมือที่พาเพื่อน 2 คนมาเจอกัน ถ้าเราพาเพื่อน 2 คนมาเจอกันได้ คุณก็ส่งเพลงนี้ให้เพื่อนที่คุณคิดถึงได้เช่นกัน
“เราเลยนึกถึงหนังเรื่อง เพื่อนสนิท ที่ตอนจบเพื่อนทั้ง 2 คนก็ไม่ได้กลับมาเจอกัน แล้วความรู้สึกนั้นค้างเติ่งอยู่ในใจของคนดู เราลองไปทำการบ้านแล้วพบว่า เพื่อนสนิท ฉายครั้งแรก 20 ปีที่แล้วพอดีเลย ซึ่งฐานคนฟังเพลงพี่บอยก็คือเด็กวัยรุ่นยุคนั้นพอดี” พีทเล่า

ถ้าเจอกันเฉย ๆ เรื่องจะไม่กลับไปตอบคอนเซปต์ของเพลง เขาเลยคิดไอเดีย ‘เครื่องจับเท็จ’ เข้ามาในเรื่อง
“เราจะเอาดากานดามาเจอไข่ย้อย ผ่านทางเครื่องจับเท็จ แล้วมาดูสิว่าความรู้สึกของเขามันจริงแค่ไหน” พีทเล่า “มันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ไอเดีย I’m OK // Not OK แข็งแรงที่สุด ตั้งแต่คิด Storyboard ช็อตที่หวังผลจริง ๆ คือตอนที่ไข่ย้อยถามดากานดาว่า ‘แกโอเคไหม’ แล้วดากานดาตอบว่า ‘เราโอเค’ แล้วพุ่งไปกอดไข่ย้อย นอกจากรีแอคชันหน้าของดากานดาที่ดูไม่โอเคแล้ว เครื่องจับเท็จจะช่วยยืนยันกับคนดูอีกแรงหนึ่งว่า จริง ๆ แล้วดากานดาโกหก เธอไม่โอเค”
ความจริงแล้ว ก่อนเป็นดากานดาและไข่ย้อย พีทมี Direction คนต้นเรื่อง 2 แบบ แบบหนึ่งคือเพื่อนจริง ๆ ที่ยังไม่กลับมาคุยกัน (ซึ่งเป็นงานแบบ BBDO ยุคพีทมาก ๆ) แบบที่ 2 คือเพื่อนที่เป็น Fictional Character โดยมี เพื่อนสนิท เป็นตัวเลือกเดียว สุดท้ายตัวเพลงเหมาะกับแบบหลังมากกว่า
ขอเล่าเรื่อง Flare Bangkok เล็กน้อย นี่คือหน่วยใหม่ใต้ BBDO Bangkok ที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน งานหลักของหน่วยนี้คือโปรดักชันเฮาส์ที่ถนัดหนัง Online Film แบบสั้น หรือ Long Form พีทอยากช่วยพิมให้คนรู้จักบริษัทนี้มากขึ้น เลยรับงานนี้มาทำ จุดเด่นคือปรับสเกลตามความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งก็ตอบโจทย์มิวสิกวิดีโอนี้พอดี
มิวสิกวิดีโอที่ทำเพื่อดากานดาและไข่ย้อย
พีทรู้จัก นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา และ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ดี (ซันนี่เป็นรุ่นพี่คณะของพีท) การชวน 2 คนนี้ไม่ยาก
ที่ยากคือการกำกับ พีทไปขอความช่วยเหลือจาก ครูร่ม-ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์ Acting Coach จาก SPARK Drama Studio มาช่วยคิด
พีทรู้ว่าไม่ใช่แค่ดากานดาและไข่ย้อยจะไม่เจอกัน แต่นุ่นและซันนี่ก็ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ครูร่มจึงแนะนำว่า First Reaction ที่ 2 คนนี้จะได้ ‘เห็นหน้ากัน’ สำคัญที่สุด ทั้งในมิติของหนังและโลกความเป็นจริง จงเก็บมันไว้ในวันถ่ายจริงเท่านั้น
นั่นทำให้พีทเลือกทำเวิร์กช็อปนักแสดงแบบแยกกัน โดยบรีฟที่ให้นักแสดงคือการกลับไปเป็นดากานดากับไข่ย้อยหลังผ่านไป 20 ปีที่ไม่เจอกัน


“การบ้านสำคัญที่สุดที่ให้พี่นุ่นกับพี่ซันนี่ไป คือวันถ่ายจริงอยากให้ใช้ภาษากายคุยกันล้วน ๆ เพราะไข่ย้อยกับดากานดาไม่เจอกันมานานมาก เขาเป็นทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนที่แอบชอบกัน มันต้องมีทั้งความคิดถึง ความเสียใจ ความผิดหวัง และอีกมากมาย ลองถ่ายทอดออกมาให้ดูหน่อย”
เพื่อให้มิวสิกวิดีโอมีเนื้อหา มีที่มาที่ไปของการเจอกันมากขึ้น ครูร่มเลยให้โจทย์ผู้กำกับด้วยว่า อยากให้พีทเล่นด้วย โดยให้ในเรื่อง พีทเป็นผู้กำกับที่รู้จักไข่ย้อย ชวนดากานดามาเล่นมิวสิกวิดีโอ และลองชวนไข่ย้อยมาเจอดากานดาดู
วันถ่ายจริง ตามที่วางแผนไว้ พีทไม่ให้นุ่นเจอกับซันนี่เลย แยกที่นั่งคนละฝั่ง ให้มาเจอกันตอนสั่ง Action เทคแรก และแทบจะเป็นเทคเดียวที่ใช้ในมิวสิกวิดีโอ


“ที่เห็นในมิวสิกวิดีโอ เราเลือกฟุตเทจเทคแรกมาใช้เป็นหลัก เพราะความรู้สึกแบบนี้หลอกกันไม่ได้
“ผมเปิดสเปซให้ทั้งคู่มาก ๆ แค่บอกว่าปลายทางอยากได้ความรู้สึกแบบไหน จำได้ว่าก่อนเทคแรกที่เขาจะเจอหน้ากันจริง ๆ พี่นุ่นดึงผมไปคุย บอกว่ารีแอคชันแรกสำคัญที่สุด ระยะกล้องของ พี่ไจแอ้นท์ (ตากล้องของมิวสิกวิดีโอ) เป็นยังไง เราตอบว่า Over the Shoulder พี่นุ่นตอบทันทีว่า Close-up เลยไหม ‘พี่คิดว่าเทค 2 พี่ไม่น่าฟีลเหมือนเทคแรก’ เราเลยเชื่อพี่นุ่น เปลี่ยนระยะของกล้องเท่านั้นแหละ Magic มันเกิดขึ้นเลย” พีทเล่า
ผู้กำกับวาง Breakdown ไว้ ตั้งกล้องสวนกัน คัตน้อยมาก มุม Close-up เพื่อไม่ขัดอารมณ์คนดู การถ่ายจบก่อนเบรก 2 ชั่วโมง เพราะงานออกมาดีแล้ว และตัดทิ้งส่วนที่ไม่จำเป็นออกแทน


สำหรับแฟน เพื่อนสนิท อาจคาดหวังว่าเนื้อหาในมิวสิกวิดีโอจะมีมากกว่านี้ แต่เนื่องจากเป้าหมายของมิวสิกวิดีโอคือส่งเสริมเนื้อหาของเพลง ต้องสั้น ไม่กลืนกินพื้นที่ทางอารมณ์ บวกกับไดเรกชันของพีทที่มีเป้าหมายอีกแบบ งานเลยออกมาน้อย ๆ อย่างที่เห็น
“พอเป็นดากานดากับไข่ย้อย ผมรู้สึกว่ามันไม่ต้องพูดอะไรเลย
“เปิดตามา ได้เจอเพื่อนที่ไม่เจอมา 20 ปี คนดูเอาตัวเองไปนั่งอยู่ตรงนั้นได้ และใช้ความทรงจำของตัวเอง บวกกับเรื่องราวตัวเอง แล้วปล่อยให้เพลงของพี่บอยทำงาน ผมคิดว่ามันน่าจะเวิร์ก แล้วกลายเป็นว่าการที่ทั้งคู่ไม่พูดอะไรเลยและใช้ภาษากายแทน มันทำงานกับเพลงและคนฟังจริง ๆ” พีทให้คำตอบ
ไอเดียของเรื่องคือ Mixed Reality พร็อปของมิวสิกวิดีโอจึงสำคัญมากเช่นกัน
ถ้าใครเป็นแฟน เพื่อนสนิท จะรู้ว่าภาพดอกไม้ในเรื่อง คือภาพขี้เหล็กอเมริกันและชงโค
ในหนัง 2 ตัวละครวาดรูปนี้ใต้ต้นไม้ตอนต้น ไข่ย้อยส่งดอกไม้ 2 ดอกนี้ในสมุดให้ดากานดาในตอนจบ การวางภาพนี้ในมิวสิกวิดีโอ เซตฉากให้เหมือนสตูดิโอวาดภาพ เป็นการเล่าชีวิตของดากานดาหลังผ่านไป 2 ทศวรรษโดยไม่ต้องพูดอะไรเยอะ
ชุดที่นุ่นใส่ ต้องทำให้รู้ว่าเป็นชุดของศิลปินจากภาคเหนือ ยังมีความเป็นดากานดาที่ปรับให้เข้ากับวันนี้มากขึ้น ส่วนชุดของไข่ย้อย พีทจินตนาการว่าปัจจุบันเขาคือกราฟิกดีไซเนอร์ในบริษัทโฆษณา ซึ่งก็จะเข้ากับเนื้อหาในมิวสิกวิดีโอ ลุคจะดูติสต์ แต่ดูดี เป็นไข่ย้อยที่โตขึ้นแล้ว
เสียงที่ทั้ง 2 คนพูดท้ายเครดิต มีการถ่ายภาพไว้ด้วย เปลี่ยนมุม แต่สุดท้ายใช้แค่เสียง ทำให้คนดูได้จินตนาการต่อมากขึ้นด้วย


Emotional Damage
มีหลายเหตุผลที่ทำให้มิวสิกวิดีโอ I’m OK // Not OK ดังระเบิด ติด Trending ใน Twitter และ YouTube หมวด Music ภายในไม่ถึงวัน
แต่เรื่องสำคัญคือการทำให้มิวสิกวิดีโอนี้เป็นเรื่องของคนดูทุกคน แฟน เพื่อนสนิท ที่ยังคาใจในตอนจบมีเยอะมาก การเว้นพื้นที่ให้คนดูได้รู้สึก ไม่ต้องพูด ก็เล่าได้นับพันนับหมื่นคำ ทำให้งานมีแต่คนรัก
Big Idea ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล ไม่จำเป็นต้องหาวิธีเล่าที่วิลิศมาหรา แต่มันคือความง่ายที่ทำงานกับความจำและความรู้สึกของคนดู นี่คือสิ่งที่พีทได้เรียนรู้และสรุปให้เราฟัง
อันที่จริง มิวสิกวิดีโอ กับ Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์ก็ตกที่นั่งลำบากคล้ายกัน มันถูกลดทอนคุณค่า ลดราคา ถูกทดแทน และมองข้าม ตามสภาพเศรษฐกิจ
อย่างน้อยที่สุด ความคิดสร้างสรรค์ในมิวสิกวิดีโอ I’m OK // Not OK บอกเราข้อหนึ่งว่า
การได้หัวใจของคนดู ทำให้เขารัก ไม่เคยล้าสมัย
ไม่ว่าจะผ่านมา 20 ปี หรือนานกว่านั้นก็ตาม