01
เขาบอกว่า
ศาสตราจารย์โยชิยุกิ ทะสึซุมิจากมหาวิทยาลัยโกเบ คาดว่า ภูเขาไฟฟูจิจะระเบิดอีกครั้งใน 132 ปีข้างหน้า เถ้าธุลีจะปกคลุมโตเกียวหนากว่า 10 เซนติเมตร มูลค่าความเสียหายที่ประเมินได้ในสกุลเงินเยนมีเลขศูนย์ห้อยท้ายมาสิบกว่าตัว
หลายคงนึกถึงฉากไคลแม็กซ์ของหนังภัยพิบัติในตำนานทั้งหลาย
เป็นภาพที่น่ากลัวจนต้องหาคนมากอด
เมื่อคลายความตระหนก และคลายวงแขนออกจากกันแล้ว ก็น่าคิดว่า การปะทุของภูเขาไฟทิ้งอะไรไว้ให้เราบ้าง
ยากจะเดาว่า การระเบิดของภูเขาไฟฟูจิในอีก 132 ปีข้างหน้า จะเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นไปอย่างไร
ยากพอๆ กับคำตอบว่า การระเบิดครั้งล่าสุดของภูเขาไฟฟูจิเมื่อ 311 ปีก่อน ทิ้งอะไรไว้ให้ญี่ปุ่นบ้าง
02
เขาไขลาน
ย้อนเวลากลับมาปัจจุบัน
ตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองอิโตะ จังหวัดชิซึโอกะ จังหวัดที่มีภูเขาไฟฟูจิเป็นของดีประจำจังหวัด และมีชาเป็นสินค้าขึ้นชื่อ (ถ้าอยากรู้ว่าเมืองนี้มีดีเรื่องชายังไง ตามไปอ่านเรื่องวิชาจากวังชากันได้นะ)
อิโตะเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ อยู่ติดทะเล มีความเป็นเมืองตากอากาศ มีบ้านหลังน้อยแบบตะวันตกเรียงเป็นแถวเหมือนหลงเข้าไปอยู่ในหนังฮอลลีวูดยุคคุณแม่ มีคาเฟ่น่ารักๆ มีสตูดิโอทำงานฝีมือของศิลปิน มีร้านขายของฝาก และมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
Nosaka Automata Museum คือพิพิธภัณฑ์ที่ผมหลงรัก
ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสะสมตุ๊กตาโบราณอายุนับสิบปีถึงร้อยปี ทั้งหมดคือตุ๊กตาที่มีกลไกไขลาน แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวง่ายๆ แค่ขยับซ้ายขวา ตุ๊กตาแต่ละตัวใช้ร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกายกรรม รินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่ม หรือเขียนหนังสือ ด้วยการไขลานแค่ครั้งเดียว
ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในหนังสือเรื่อง The Invention of Hugo Cabret ของ Brian Selznick
การสร้างกลไกไขลานให้ตุ๊กตาตัวหนึ่งขยับได้ขนาดนี้เมื่อหนึ่งศตวรรษที่แล้ว คงน่าตื่นเต้นเหมือนการสร้างหุ่น ASIMO เมื่อทศวรรษก่อน หรือการสร้าง AI ในยุคนี้
ไม่ว่ายุคไหน มนุษย์เราก็พยายามสร้างหุ่นให้เหมือนคนที่สุด
มันขยับเขยื้อนได้เหมือนเรา มันช่วยงานเราได้ คุยกับเราได้ และคิดได้ดีกว่าเราในหลายเรื่อง
แต่อ้อมกอดของหุ่นยนต์ยังไม่อบอุ่นเหมือนคน
ตอนนี้มันทำได้แค่แสดงท่าทาง แต่การส่งผ่านพลังและความรู้สึกอะไรบางอย่างจากกันสู่กันนั้นเรายังประดิษฐ์ไม่ได้
03
เขาสัตว์
แซวกันว่า หนังที่ถ่ายในปารีส มองผ่านหน้าต่างออกมาทีไรเป็นต้องเห็นหอไอเฟล
ถ้ามีหนังเรื่องไหนมาถ่ายที่เมืองอิโตะ มองผ่านหน้าต่างออกมา ก็น่าจะต้องเห็นภูเขา Omuro
ภูเขากลางเมืองที่พวกเราต่างเอ่ยปากถามกันว่า มันคืออะไร
www.jref.com
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายต้น แดดยังร้อน แรง และแยงตา เกินกว่าจะไปหาเขา พวกเราเลยแวะแตะตีนเขา เดินเล่นที่สวนสัตว์ Izu Shaboten ก่อน
สวนสัตว์แห่งนี้ก็เหมือนหลายๆ ที่ในเมืองอิโตะ คือมีภูเขาโอมุโระเป็นฉากหลัง
ที่นี่เป็นสวนสัตว์ที่มีแนวคิดในการจัดแสดงสัตว์แบบสวนสัตว์ยุคใหม่ คือ พยายามหลีกเลี่ยงการจับสัตว์ไปใส่ในกรง แต่จำกัดพื้นที่ของมันด้วยการใช้วิธีแบบธรรมชาติ เช่น การล้อมรอบด้วยน้ำ หรือการสร้างกรงขนาดยักษ์ แล้วให้เราเดินเข้าไปดูพวกมันข้างในแทน
รวมถึงการเปิดโอกาสให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ด้วยการให้อาหารที่สวนสัตว์เตรียมไว้ให้
สัตว์หลายชนิดได้รับสิทธิให้เดินไปมาทั่วสวนสัตว์ปะปนกับนักท่องเที่ยวอย่างเสรี เช่น นกยูง
สัตว์ทุกตัวในโซนสวนสัตว์เด็กพร้อมให้เด็กๆ ได้สัมผัส เพื่อให้พวกเขาเติบโตไปพร้อมกับความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัตว์ ไม่มีอคติกับสัตว์ที่รูปร่างไม่น่ารัก และรับรู้ว่าสัตว์ทุกตัวมีชีวิตและมีความรู้สึกเหมือนกับเรา
สัตว์หลายตัวที่เดินอยู่รอบๆ ตัวเรา น่ากอดรัดฟัดเหวี่ยงมาก แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะไม่รบกวนพวกมัน ถ้าเราอยู่ร่วมกับสัตว์เหล่านี้ในสวนสัตว์ได้ ออกนอกสวนสัตว์ไปเราก็จะไม่รบกวนสัตว์ที่อยู่ในธรรมชาติ
04
เขาสร้าง
เมื่อ 4,000 ปีก่อน ภูเขาโอมุโระยังเร่าร้อนรุ่ม ภายในคุกรุ่นแบบพวยพุ่งพล่าน เมื่อระเบิดออกมา ลาวาที่คงข้นคลั่กเหมือนไส้ขนมปังก็ล้นทะลักออกมาจากปากปล่อง ไหลนองไปทางชายหาด Jogasaki จนเกิดเป็นภูมิประเทศที่น่าสนใจ กลายเป็นชายหาดที่เกลื่อนกลาดไปด้วยหินภูเขาไฟ
ถ้าอธิบายแบบเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวต้องบอกว่า ตอนนี้มันถูกปะตราว่าเป็น Izu Peninsula Geopark
แต่ถ้าอธิบายแบบแฟนการ์ตูนก็ มันสวยแปลกตาจนถูกใช้เป็นฉากถ่ายทำละครโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง ไอ้มดแดง
05
เขาหัวโล้นหรือเขาหัวเราะ
พระอาทิตย์เร่ิมหย่อนย้อยคล้อยลง คงได้เวลาขึ้นไปหาเขา
มีคนเปรียบว่าภูเขาโอมุโระมีรูปร่างเหมือนครกบ้าง เหมือนชามบ้าง ซึ่งตอนนี้ถูกห่มคลุมด้วยผืนหญ้าที่เพิ่งระบัดใบรับฤดูใบไม้ผลิ ชาวบ้านที่นี่มีประเพณีเผาหญ้าบนเขาโอมุโระมา 700 ปีแล้ว จัดกันเป็นงานใหญ่โต มันเป็นวิธีกำจัดวัชพืชและเพิ่มแร่ธาตุให้ดินที่ได้ผลดีมาก
บางคนเห็นแล้วอยากเรียกว่า เขาหัวโล้น แต่คนที่นี่มองว่ามันคือ เขาหัวเราะ
แถวๆ ตีนเขา ไม่ห่างจากตีนเรา คือต้นซากุระกว่า 40 ชนิด ที่จะช่วยแซมสีชมพูให้ภูเขาในช่วงเดือนเมษายน
ลมเย็น ในความหมายของเวลาและอุณหภูมิ พัดยอดหญ้าบนเขาให้ขยับอย่างระริกระรี้ ทำเอาเราอยากเดินเท้าไปตามสนามหญ้าความสูง 580 เมตร เสียดายที่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต นักท่องเที่ยวทุกคนต้องขึ้นและลงด้วยกระเช้าเท่านั้น
6 นาทีผ่านไป กระเช้าก็พาเราก็ขึ้นมาถึงยอดเขา ให้เราได้เดินวนรอบปากปล่องของอดีตภูเขาไฟ
หญ้าเขียวๆ ที่คลี่คลุมเขาทั้งลูกทั้งส่วนนอกและส่วนในทำให้ทุกอย่างดูละมุนละไม พื้นล่างภายในปล่องเป็นลานยิงธนู
ทางเดินของนักท่องเที่ยวเป็นทางปูนความกว้างสัก 2 เมตร พาดวนอยู่รอบปากปล่อง ไร้รั้วรอบขอบชิดใดๆ เป็นการออกแบบภูมิสถาปัตย์ที่ดีมาก อาจเป็นเพราะมีการเติมสิ่งก่อสร้างเข้าไปน้อยที่สุด ก็เลยรู้สึกถึงพลังของธรรมชาติที่สุด
ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็สวยไปหมด มองออกไปข้างนอกก็สวย มองกลับเข้าไปในภูเขาก็สวย
ถึงแม้กระเช้าจะพามนุษย์ตัวจ้อยขึ้นมาเดินบนยอดเขาด้วยความรวดเร็ว แต่บรรยากาศบนนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกว่า ตอนนี้โลกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา
ใกล้ๆ ลานยิงธนูมีศาลเจ้าเซ็งเก็น เป็นที่สิงสถิตของเทพอิวะนะงะฮิเมะโนะมิโงะโตะ
ตำนานของเทพองค์นี้มีอยู่ว่า เทพโอยะมัตซึมิ เป็นพ่อของเทพสาวสองพี่น้องคือ อิวะนะงะฮิเมะโนะมิโงะโตะ ผู้พี่ และ โคะโนะฮะนะซะคุยะฮิเมะโนะมิโงะโตะ ผู้น้อง พ่ออยากให้ลูกสาวทั้งสองแต่งงานกับลูกหลานเทพชื่อ นินิจิโนะมิโกะโตะ เทพหนุ่มคนนี้ปฏิเสธคนพี่ เพราะชอบแค่คนน้อง ทั้งๆ ที่เขาทำคนพี่ท้องเรียบร้อยแล้ว
เทพคนพี่เลยหนีไปคลอดลูกท่ามกลางไฟอันร้อนแรงของภูเขาโอมุโระ โดยมีเทพแห่งไฟ 3 องค์ช่วยให้คลอดอย่างปลอดภัย
ศาลเจ้าแห่งนี้ก็เลยมีคนมาขอพรเรื่องคลอดลูกให้ปลอดภัย และความรัก (ไม่แน่ใจว่าคนที่มาขอได้อ่านประวัติถ้วนถี่ดีแล้วหรือยัง)
ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าคนญี่ปุ่นเป็นชาติแรกที่เหยียบดวงจันทร์ พวกเขาคงไม่ปักธงชาติ ทิ้งรอยเท้าไว้แล้วประกาศกับชาวโลกว่า บนนั้นไม่มีกระต่าย ไม่มียายกับตา ไม่มีเทพยดาใดๆ ที่เรากราบไหว้
บางทีนักบินอวกาศญี่ปุ่นอาจจะตั้งศาลชินโตให้กับเทพเจ้าสักองค์บนดวงจันทร์เหมือนกับที่พวกเขามีเทพเจ้าอยู่ในธรรมชาติทุกที่
การขึ้นมาบนเขาลูกนี้ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกยิ่งใหญ่คับฟ้า
ศาลเจ้าบอกว่า ที่นี่ยังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ ส่วนการมองออกไปโดยรอบแล้วเห็นทะเลที่แสนจะกว้างใหญ่ รวมถึงภูเขาไฟฟูจิที่ตั้งตระหง่าน ย้ำว่ามนุษย์ช่างเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับธรรมชาติ
การเห็นภูเขาโอมุโระได้จากทุกมุมเมือง และรับรู้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยพ่นพุ่งลาวาออกมามากมาย คงทำให้คนแถวนี้รู้สึกว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ
คนแถวนี้รู้สึกกับภูเขาโอมุโระยังไง คนญี่ปุ่นก็อาจจะรู้สึกกับภูเขาไฟฟูจิแบบนั้น
06
เขากอดเรา
ครั้งหนึ่ง ภูเขาลูกนี้เคยโกรธเกรี้ยว ระเบิดลาวาจนคนผวาพากันหนีห่าง
แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างเย็นลง ภูเขาโอมุโระก็ดูจะเปิดอ้อมแขนชวนให้คนเข้ามาหา
บรรยากาศรอบตัวตอนนี้ สีอุ่นๆ ของแดด สีเขียวสดชื่นของหญ้า สีครามของฟ้า สีลม ไปจนถึงศาลาแดง ผสมกันอย่างกลมกล่อม สบายจนไม่อยากกลับ
แต่เมื่อเข็มสั้นของนาฬิกาแตะเลข 5 เจ้าหน้าที่ก็ประกาศให้นักท่องเที่ยวทุกคนกลับลงไปข้างล่าง
ตอนเดินไปขึ้นกระเช้า ผมรู้สึกว่าภูเขาโอมุโระไม่ได้มีไว้เหยียบ แต่มีไว้กอด
พอคิดดีๆ มนุษย์ตัวจิ๋วอย่างเราคงกอดเขาไม่ไหว เรากำลังถูกสายลมทำหน้าที่แทนภูเขา โอบกอดเราต่างหาก
ผมไม่รู้ว่า โอมุโระ แปลว่าอะไร แต่ถ้าให้ผมตั้งชื่อภาษาไทยให้ภูเขาลูกนี้ ผมอยากตั้งว่า ‘เขากอดเรา’
ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ทุกคนที่เดินทางมาท่ีนี่คนเดียว คงรู้สึกเหมือนกัน
ส่วนคนที่มาเป็นคู่ คงไม่ต้องรบกวนเขา
เรากอดกันเองได้
นอกจากขอพรจากศาลเจ้าให้ความรักแข็งแรงแล้ว ก็ควรจะลงแรงช่วยกันคนละไม้คนละมือด้วย
ผมไม่ได้หมายความว่าให้กอดกันเพื่อแสดงความรัก
แค่บนนี้ลมมันแรง กอดกันไว้จะได้ไม่ล้ม
ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’
ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเทียมเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ