เรารู้จัก เต๋า-ภูศิลป์ วารินรักษ์ ศิลปินลูกทุ่งจากค่ายแกรมมี่ โกลด์ ครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง อ้อมกอดเขมราฐ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว ท่ามกลางบรรยากาศสองฝั่งโขงที่ชวนให้คนดูอยากเก็บกระเป๋าไปสัมผัสธรรมชาติอันงดงามของเขมราฐสักที

ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายตั้งแต่ พ.ศ. 2559 นานจนเกือบลืมกลิ่นอายของวัฒนธรรมอีสาน-ลาว ที่ซุกซ่อนอยู่ในหนังเสียแล้ว กระทั่งได้มาเยือนบ้านของเต๋าในวันนี้

แน่นอนว่าบ้านของเขาไม่เหมือนฉากในภาพยนตร์ แต่กลิ่นอายความคิดถึงอีสานบ้านเกิดกลับแฝงอยู่แทบทุกซอกทุกมุมในโซนที่เขาต่อเติมขึ้นเป็นพิเศษ บ้างหลับใหลอยู่ในประตูไม้ที่ยกมาจากอีสาน บ้างสานไว้ในผ้าซิ่นนับร้อยผืน ฝากฝังผ่านรอยหมากบนผ้าถุงคุณทวด ประดับอยู่บนภาพขาวดำของคุณปู่คุณย่าที่เคารพ และหลอมรวมอยู่ในพระพุทธรูปศิลปะล้านช้างซึ่งตั้งใจหล่อขึ้นเองด้วยความรักและแรงศรัทธา

นี่เป็นเพียงน้ำจิ้มของความคิดถึงเท่านั้น เพราะความรักและความต้องการเก็บความทรงจำไว้ใกล้ตัวยังทำให้เต๋าเหมาพื้นที่ส่วนหนึ่งของตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อนำวัตถุโบราณอายุนับร้อยปีหลายสิบชิ้นกลับมาไทยหลายครั้ง

The Cloud ได้เป็นสื่อแรกในการทัวร์กึ่งเลกเชอร์กับเจ้าของบ้าน นอกจากจะม่วนสมการรอคอยแล้ว เรายังสนุกกับการเห็นเต๋าเผยความเนิร์ดในตัวออกมา โดยเฉพาะเรื่องที่เขาถนัดที่สุดอย่าง ‘หมอลำ’

“สมัย ม.2 นั่งรถโดยสารจากอุบลราชธานีไปบ้านโพน จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อหาซื้อผ้าแพรวา หมอลำสมัยก่อนถ้าลำคนเดียวจะเป็นได้ทั้งตัวละครชายและหญิง ตัวโกง นางร้าย จนถึงพ่อพญา เสนา อำมาตย์คอยตบมุก เอาผ้ามัดเอวจะเรียกว่าเป็นพระเอก พอเปลี่ยนเป็นสไบก็กลายเป็นผู้หญิง เอาไปโพกหัวแทนมงกุฎจะกลายเป็นพ่อพญา” เต๋าหยิบผ้าขึ้นมามัดให้ดูทันที

ห้องที่เขาพาเข้ามาตกแต่งด้วยสิ่งของหลากหลายสไตล์ แต่ทั้งหมดล้วนมีที่มาที่ไปและเข้ากันได้อย่างลงตัวระหว่างสไตล์ไทยกับประเทศอื่นในแถบตะวันออกและตะวันตก ถือเป็น ‘เซฟโซน’ ที่สุดของเขา 

“บางทีผมก็จิบไวน์เป็นเพื่อนพระพุทธรูป” เขาทำท่าสงบนิ่งหน้าองค์พระรัตนะที่ตั้งอยู่ติดผนัง

ไม่ไกลจากกัน ภายในตู้ไม้ใบสีเขียวสด เต๋าทยอยหยิบผ้ากว่าร้อยผืนออกมาให้ดู หนึ่งในนั้นคือผ้าถุงอายุเกิน 100 ปี ของ คุณทวดทองศรี สารสมัคร หมอลำกลอนผู้ส่งต่อสายเลือกหมอลำเข้มข้นมาสู่เหลนชาย เต๋าตั้งใจเก็บผ้าผืนนี้ไว้บูชา เขาชี้ให้ดูว่าบนผืนผ้าทอมือสีดำนั้นยังมีคราบหมากซึมอยู่

“ผมซึมซับเรื่องราวเหล่านี้มาจากครอบครัวและคนรอบตัว สมัยก่อนเวลาใครอยากประชาสัมพันธ์ข่าว เขาก็ไปบอกหมอลำให้แต่งกลอนให้หน่อย อยากเรียนรู้อะไรก็ไปหาหมอลำ เรียกว่าเป็น Google กับ Youtube ยุคนั้นเลย เมื่อร้อยปีก่อนมีแค่หมอลำกับหมอแคนก็แทนวงทั้งวงได้

“หมอลำยุคก่อนไม่ได้จบปริญญา แต่เขามีความสามารถด้านการท่องจำกลอนลำได้อย่างแม่นยำ หมอลำ 1 เพลงยาวประมาณ 5 เพลงในยุคนี้ ต้องแก้กลอนสด ด้นสด อัจฉริยะเลย เขาจะขี่เกวียนไปตามหมู่บ้านเพื่อลำแลกข้าว เพราะตัวเองไม่ได้ทำนา” ลูกหมอลำถ่ายทอดสิ่งที่รับรู้มาจากคุณย่าให้ฟังแล้วหยิบผ้าผืนต่อไปขึ้นมา

ผ้าซิ่นตีนตวย หัวจกดาว สีพาสเทลจากจังหวัดอุบลราชธานีบ้านเกิดของเต๋าซึ่งเคยมีราชสำนักยาวนานกว่า 200 ปี เต๋าบอกว่าจังหวัดอุบลราชธานีเคยมีเจ้าเมืองและมีระบบการปกครองแบบอาญาสี่ โดยผ้าซิ่นตีนตวยถือเป็นสิ่งบ่งบอกฐานะผู้นุ่ง หากเทียบกับภาคกลางคงเปรียบเหมือนสถานะเจ้าหญิง ส่วนภาคอีสานจะเรียกว่า ‘อัญญานาง’ หรือภรรยาของเจ้าเมือง

คุณย่าผู้เลี้ยงดูและถ่ายทอดเรื่องหมอลำให้ฟัง

ผ้าหลายผืนคือความภูมิใจของเขา เพราะได้มาจากน้ำพักน้ำแรงที่ไปร้องเพลงตามงาน บางครั้งเต๋าเลือกไม่รับค่าตอบแทนแต่ขอรับเป็นผ้าไว้สะสม อย่างที่เล่าไปว่ายุคก่อนหมอลำแสดงเพื่อแลกกับข้าว ส่วนเต๋าร้องเพลงเพื่อแลกผ้า

เจ้าบ้านบอกว่า ผ้าที่เก็บมีหลายราคาตั้งแต่หลักพันขึ้นไป แต่การสะสมของเขาไม่เกี่ยวกับราคา ทุกอย่างเกี่ยวกับ ‘ความทรงจำ’ และประวัติศาสตร์ที่แฝงอยู่ในนั้นเช่นเดียวกับผ้าลาวผืนนี้

“ผืนนี้ได้มาตั้งแต่ตอนผมไปลาวครั้งแรกกับอาจารย์ใน พ.ศ. 2553 นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ไปถึงเวียงจันทน์ หลายคนบอกว่าไทยลาวเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่ที่จริงไม่มีคำว่าเพื่อนบ้านหรอก ไทย-ลาว อีสาน-ลาว ลาว-พม่า ลาว-เขมร เราแบ่งแยกประเทศเพื่อการปกครอง แต่วิถีชีวิตเป็นวัฒนธรรมร่วม” เราเองก็แทบแยกไม่ออกว่าผ้าผืนไหนเป็นศิลปะสัญชาติอะไร เพราะหลายอย่างคล้ายคลึงและกลมกลืน

นอกจากผ้าถุงคุณทวดจะเป็นตัวแทนครอบครัวซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 600 กิโลเมตรแล้ว ความคิดถึงบ้านของเต๋ายังทำให้เขาตัดสินใจยกประตูไม้มาจากบ้านเก่าของตาที่อีสาน เพื่อทำเป็นประตูห้องน้ำและประตูห้องพระ

“คิดเสียว่าเป็นประตูที่เปิดไปเจออดีต นอกจากนี้ก็มีของใช้ของย่าที่เก็บเอาไว้ในตู้ ทั้งเครื่องเงิน กระเป๋าเงิน ผมคิดถึงทุกอย่าง เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อีสานเป็นหลักแล้ว กลับบ้านก็อยู่ได้ไม่นานต้องกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ต่อ ถ้ายกมาแบบนี้ก็พอช่วยให้หายคิดถึงได้”

เต๋าเดินนำเราเข้าไปยังประตูไม้อีกฝั่งที่แง้มอยู่ ภายในมีพระรัตนะปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้นประดิษฐานอยู่บนหิ้งจำนวน 6 องค์ แต่ละองค์อายุราว 150 ปี นี่คือห้องพระที่เปลี่ยนสไตล์แต่เข้ากับบ้านโมเดิร์นได้อย่างไร้ที่ติ แถมยังเป็นแหล่งของสะสมอายุรวมกันเยอะที่สุดในบ้าน

ด้านหลังองค์พระคือผนังและหน้าต่างไม้สักที่ยกมาจากภาคเหนือ และยังมีคันฉ่องจำลองจากของจริงที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ทัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

“ผมเริ่มจากความชอบนี่แหละ ไปบ้าน ครูไก่-สุรัตน์ จงดา ท่านเป็นผู้เรื่องวัฒนธรรมและบูชาพระเยอะมาก ผมเห็นว่าองค์พระงดงามเลยขอบูชาต่อ องค์แรกที่บูชาคือองค์ขวามือสุด หลังจากนั้นท่านก็เริ่มพาเพื่อนมาเพิ่ม

“บางองค์นิมนต์กลับมาจากต่างประเทศ มีนักสะสมต่างชาติเช่าไปอย่างถูกต้อง แต่พอเขาเสีย คนที่รับช่วงต่อกลับไม่เห็นคุณค่าเลยขายทิ้งไปที่ร้านเอเชีย พี่ที่ร้านขายของเก่าที่ไทยเลยไปนิมนต์กลับมา มีเอกสารครบ ก็คือพระรัตนจีวรดอกพิกุลองค์นี้เลย” เจ้าของห้องเล่าด้วยความศรัทธา เขาบอกว่าตัวเองเกิดวันอาทิตย์ แต่มีปางถวายเนตรเพียงองค์เดียว ที่เหลือเป็นปางที่ชื่นชอบ

ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี
ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี

ทางด้านขวาของหิ้งพระรัตนะคือโต๊ะประดิษฐานองค์พระศิลปะล้านช้างซึ่งหล่อขึ้นใหม่ตั้งแต่ 6 ปีก่อน บริเวณพระเกตุหล่อจากเงินแท้ มีพลอยกาญจนบุรีประดับ บริเวณพระโอษฐ์เป็นทองแดง โดยเต๋าได้สลักว่า ‘นายเกษม ศรีสมบูรณ์’ ซึ่งเป็นชื่อของตนเองเอาไว้ด้านหลัง พร้อมปีที่หล่อคือ พ.ศ. 2560

“ผมรักองค์นี้มากเลย ท่านอยู่กับผมมาตั้งแต่สมัยสร้างเนื้อสร้างตัว พระศิลปะล้านช้างมีเสน่ห์ตรงที่มีฐานสูงและถอดแยกส่วนได้ ผมไปขอให้พระอาจารย์ที่นับถือหล่อให้ ท่านก็แกะแบบเป็นศิลปะล้านช้างแล้วเจิม”

ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี
ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี

ชิ้นต่อมาคือพานเงินแท้สมัยรัชกาลที่ 6 อายุเกิน 100 ปี ราคา 100,000 บาท “ผ่อนหมดแล้วนะครับ ใครสนใจบอกได้” เต๋าหัวเราะ เขามีศิลปะหลายสัญชาติที่สะสมเอาไว้ แม้แต่ในห้องพระไทยก็มีเทพอินเดียและเทพเจ้าจีนอยู่ด้วย

เต๋าบูชาไฉ่ซิ่งเอี๊ยโดยเก็บเอาไว้ในตู้เก็บของ จนกระทั่งได้ออกรายการ บ้านดีผีคุ้ม ริว จิตสัมผัส โทรมาหาและบอกว่า “มีเทพองค์หนึ่งที่เธอบูชา ดูแลเขา แต่กลับเอาเขาไปขังไปไว้ในตู้” แล้วริวก็วาดภาพไฉ่ซิ่งเอี๊ยมาให้ เพราะท่านมาสื่อให้รับรู้ หลังจากนั้น เต๋าจึงนำภาพของท่านออกมาจากตู้และวางไว้ในห้องพระแทน

ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี
ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี

พระรัตนะหน้าโต๊ะทำงานที่เต๋ามักนั่งสงบใจด้วย

ออกจากโซนไทยมาสู่โซนตะวันตก เต๋าพาสิ่งของหลายอย่างเดินทางมาจากต่างแดน ชิ้นสำคัญคงหนีไม้พ้นกรอบรูปเปล่าที่ตั้งอยู่ด้านหลังพระรัตนะ ซึ่งเขาให้นิยามว่าเป็นของสะสมชิ้นแรกที่ตั้งใจสะสมอย่างจริงจัง

“ชิ้นนี้อายุ 111 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1912 ด้านหลังมีตรา GGG ติดอยู่ว่า มาจากแกลลอรีที่บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม หลังล้มเลิกกิจการ อย่างที่บอกว่าผมสนิทกับครูไก่ และ อาจารย์อนุชา ทีรคานนท์ อาจารย์เลยคอยแนะนำให้ ผมถึงรู้ว่าทางพิพิธภัณฑ์เขาเอาออกมาประมูล

“เวลาไปต่างประเทศ ผมจะชอบหิ้วของกลับมาตลอด อย่างตอนไปเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ ก็เดินเล่นในร้านขายของเก่าจนเจอกรอบรูปที่ไม่รู้ว่าเป็นภาพใคร วันนี้เพิ่งหาเจอ ปรากฏว่าคนในรูปคือผู้ว่าการแหลมกู๊ดโฮปที่อยู่แอฟริกาใต้ ซึ่งสมัยร้อยกว่าปีก่อนเป็นอาณานิคมอังกฤษ” 

ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี
ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี

เต๋าเป็นนักช้อปเหมือนกัน – เราชม เขายิ้มแล้วหัวเราะออกมา

“นี่ยังน้อยนะ เวลาขนมาปกติเป็นตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่ไปสุวรรณภูมิ ด้านในแบ่งเป็นช่องเล็ก ๆ เราก็เหมามาเลยหนึ่งช่อง เรียกว่าระบบ Door to Door คือเราชอบชิ้นไหนก็ชี้ในร้านที่ขายของนั่นแหละ กรอกที่อยู่ในกรุงเทพฯ จ่ายภาษี ค่าขนส่งให้เรียบร้อย ออกจากร้านของเก่าที่เอดินบะระแล้วอีก 3 เดือนเขาก็จะส่งขึ้นเรือมาถึงหน้าบ้านเราเลย” 

ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี
ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี

นอกจากกรอบรูป เต๋ายังมีรูปปั้นบรอนซ์จากปารีสอายุ 130 กว่าปี พร้อมโต๊ะทำงาน บาร์น้ำ และพรมส่งตรงมาจากลอนดอนในล็อตเดียวกัน ส่วนที่ทีมงานของเรานั่งพิงอยู่นั้น คือโต๊ะสมัยนโปเลียน อยู่ในช่วงเทียบเท่าสมัยรัชกาลที่ 2 และนอกบ้านที่แดดส่องนั้นคือไหปลาร้าเก่าของคุณย่าที่ถูกประยุกต์เป็นกระถางต้นไผ่

หรือแม้แต่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากอิเกียต่างประเทศ หรือของทำใหม่ ไม่ได้มีประวัติส่วนตัวอันยาวนานอย่าง อ่างล้างหน้าจากสุโขทัยหรือก๊อกน้ำ ศิลปินหนุ่มคนนี้ก็เก็บสะสมเช่นกัน เพราะทุกอย่างล้วนทำให้เขาหวนคิดถึงความทรงจำที่มีโอกาสลืม

“คนมักถามผมว่าจะหิ้วมาจากเมืองนอกเลยหรอ ก๊อกน้ำเนี่ยนะ ที่ไทยก็มี แต่สำหรับผม คุณค่ามันไม่เหมือนกัน อย่างแจกันจีนอันนี้เป็นของทำขึ้นใหม่ แต่แฟนคลับของผมที่อยู่จีนเขาส่งมาให้ เท่านี้ก็มีเหตุผลให้เก็บเอาไว้แล้ว

“ส่วนของที่เก่าจริง ผมจะบอกก่อนว่า เก่าของใครแต่ใหม่ของผมนะ ถ้าจะมาอยู่ด้วยกันผมก็โอเค ขอแค่ทำให้เรามั่งมีก็พอ ไม่ต้องมาหลอกกัน” เต๋าหัวเราะ พอจะคาดเดาได้ว่าสื่อถึงอะไร

ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี

เรียกว่าบ้านหลังนี้คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความโหยหาบ้านเกิดกับความชอบส่วนตัว เต๋าเลือกสิ่งของที่จะสะสมจากความถูกชะตา ถูกที่ และถูกเวลา ส่วนคำถามว่าเขาสะสมไปทำไม เต๋าผู้มีเพื่อนเป็นอาจารย์หรือคนที่มีวัยวุฒิสูงกว่ากล่าวว่า

“ก็คงเหมือนคนที่เกษียณแล้วที่พร้อมหาจุดสบายใจ คนอื่นกลับจากงานอาจไปปาร์ตี้ แต่ผมขอกลับบ้านมานั่งจิบไวน์ นั่งมองพระพุทธรูปให้ใจสงบ นี่คือเซฟโซนที่เราได้พักผ่อน ฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้า หรือบางวันก็แค่หลับตา คิดถึงทุ่งนา บ้านเกิด คิดถึงคุณย่า ประมาณนั้นก็พอครับ” เขาทิ้งท้าย

แม้ตอนนี้เต๋าจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ มากกว่าบ้านเกิด แต่ตัวตนของเขายังไม่เปลี่ยนไป ความเป็นลูกอีสานยังไหลเวียนอยู่ในสายเลือด และอัดแน่นอยู่ในห้องที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปลดปล่อยความเป็นตัวเอง 

นี่คือที่ที่เขาชาร์จพลังอย่างเต็มเปี่ยม แล้วก้าวออกจากบ้านไปทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถในฐานะเต๋า ภูศิลป์ ศิลปินลูกทุ่ง แกรมมี่ โกลด์ และลูกหลานหมอลำแห่งจังหวัดอุบลราชธานี

ชมห้องสะสมของ 'เต๋า ภูศิลป์' ผู้ยกประตูมาจากอีสาน เก็บตั้งแต่ผ้าซิ่นของทวดถึงโต๊ะนโปเลียน อายุรวมกว่า 1,000 ปี
คุณค่าของของสะสมไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาที่เราได้มา แต่เกิดจากความทรงจำที่ซ่อนอยู่ ไม่ต่างจากบทเพลงที่ซ่อนใครบางคนเอาไว้

Writers

วโรดม เตชศรีสุธี

วโรดม เตชศรีสุธี

นักจิบชามะนาวจากเมืองสรอง งานประจำเป็นนักฟัง งานพาร์ทไทม์เป็นนักเขียน งานอดิเรกเป็นนักเล่า

ธนพงศ์ วสุวัต

ธนพงศ์ วสุวัต

นักเดินทางเพื่อหาอะไรสักอย่างในชีวิต อยากเป็นความสุขให้กับคนรอบตัว เลยชอบส่งรูปข้าวตอนตี 2

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์