บ่ไป บ่ไปได้บ่ บ่ไปกรุงเทพฯ ได้บ่

แม้ เต๋า-ภูศิลป์ วารินรักษ์ จะบอกน้องหล่าว่าอย่าไปกรุงเทพฯ แต่รู้ตัวอีกที เขาก็จากบ้านเกิด จ.อุบลราชธานี มาทำตามความฝันของตัวเอง ณ กรุงเทพฯ เสียแล้ว

เต๋า ภูศิลป์ หรือ เกษม ศรีสมบูรณ์ เป็นศิลปิน-นักแสดงวัย 31 ปี เติบโตมากับหมอลำตั้งแต่จำความได้ ร่ำเรียนวิชานาฏศิลป์ตั้งแต่มัธยมจนถึงปริญญาโท เคยเป็นครูฝึกสอนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาอยู่พักหนึ่ง และแจ้งเกิดเป็นศิลปินลูกทุ่งที่ค่ายแกรมมี่โกลด์จากคลิปร้องเพลงในโซเชียลแคม

เช้านี้เราได้มีโอกาสไปเยือนบ้านของเต๋า แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในตัวบ้าน สิ่งแรกที่เราได้ยินกลับไม่ใช่เพลงหมอลำหรือเพลงลูกทุ่ง แต่ดันเป็นเพลงสากลยุค 80 อย่างเพลงของ The Carpenters ต่อด้วย Frankie Valli และตามมาด้วยเพลงอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่คลออยู่เบา ๆ ตลอดต้นจนจบบทสนทนา

ทว่าความต่างขั้วไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะนอกเหนือจากเพลงที่ฟัง ตัวบ้านของเต๋าเต็มไปด้วยของสะสมสารพัด ตั้งแต่ผ้าซิ่นอีสานบ้านเฮายันกรอบรูปยุโรปยุคเก่าที่ไม่มีขายที่ไหน 

ต่อจากนี้คือเรื่องราวชีวิตของชายที่นิยามตัวเองว่า ‘คนรุ่นใหม่หัวใจรุ่นเก่า’ ซึ่งบอกเล่าผ่านปากของเจ้าตัว ท่ามกลางความแตกต่างสุดขั้วของบรรยากาศในตัวบ้าน 

เกษม ศรีสมบูรณ์

ทราบมาว่า ‘ภูศิลป์’ ไม่ใช่ชื่อจริงของเต๋า

ไม่ใช่ครับ จริง ๆ ผมชื่อ เกษม ส่วน ภูศิลป์ เป็นชื่อที่ตั้งโดยซินแสในแกรมมี่ ตอนที่เข้าแกรมมี่มาแรก ๆ เขาจะมีซินแสมาตั้งชื่อให้ โดยเขาบอกว่า ‘ภู’ มาจาก ภูเขา ส่วนคำว่า ‘ศิลป์’ คือศิลปะ

‘เด็กชายเกษม’ เติบโตมายังไง

ผมเป็นเด็กที่ย่าเลี้ยงดูมา เพราะพ่อแม่ยุ่งอยู่กับการทำงาน งานของพ่อแม่คือสูบสิ่งปฏิกูลที่อุบลราชธานี ส่วนย่าก็ทำหน้าที่เลี้ยงหลาน ตอนนอนกลางวันย่าจะร้องเพลงให้ฟัง หลังเลิกเรียนย่าก็จะพาไปร้องเพลง พาขึ้นเวที เรื่องการร้องหมอลำก็ได้รับการฝึกจากย่านี่แหละครับ

ขึ้นเวทีไปประกวดร้องเพลงเหรอ

ไม่ ผมไม่เคยประกวดร้องเพลงเลย 

บางคนเขาร้องเพลงเพื่อนำเงินรางวัลมาเลี้ยงชีพ เลี้ยงดูครอบครัว แต่ผมรู้ตัวแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่คนเสียงดี ผมแค่ชอบร้องเพลง เพราะร้องแล้วมีความสุขเท่านั้นเอง

อีกอย่าง ผมมองว่าการประกวดคือความกดดัน ในเมื่อเราชอบร้องเพลง ทำไมต้องเอาเกณฑ์ต่าง ๆ มาพิจารณา อย่าง ศิริพร อำไพพงษ์ ก็คือศิลปิน พี่ต่าย อรทัย หรือ ไมค์ ภิรมย์พร ก็คือศิลปิน ทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป 

เป็นเหมือนดาบสองคม บางทีถ้าแพ้ก็อาจจะรู้สึกว่า เรามันขี้แพ้ ไม่เคยชนะเลย เพราะฉะนั้นสู้มีความสุขในแบบที่เราเป็นดีกว่า แต่ก็มีข้อดีในแง่ที่ว่า เราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในเลเวลไหน ซึ่งปกติย่าจะพาไปร้องตามงานบุญ งานบวช หรือไม่ก็เวทีเสียงอีสาน เวทีเพชรพิณทอง ที่ย่าเขาจะพาไปขอขึ้นหลังเวทีครับ

เพลงหมอลำเพลงแรกที่ร้องคือเพลงอะไร

จำได้แค่ท่อนที่ว่า ถ้าอยากมาทหารราบ ให้ข้ามมาวารินทร์ อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) เป็นกลอนลำที่เก่ามากแล้ว สมัยก่อนยังไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีวิทยุ เราฟังจากมหรสพแล้วก็จำมาร้อง

พ่อแม่ว่าอย่างไรตอนรู้ว่าคุณอยากเป็นนักร้องหมอลำ

โอเคมาก เขาค่อนข้างเปิดกว้าง แต่คนที่เป็นด่านยากคือปู่

จุดเปลี่ยนชีวิตผมคือตอนเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช อยู่ห้องคิงด้วย ตอนนี้เพื่อนพวกนั้นเป็นหมอกันหมดแล้วนะ หมอขอนแก่นบ้าง หมอศิริราชบ้าง แต่ผมกลับรู้สึกเหนื่อยกับการเรียนสายวิทย์ที่ต้องวิ่งเรียน เปลี่ยนห้อง แย่งกันนั่งหน้า พอจะขึ้น ม.4 ผมเลยบอกย่าว่าอยากไปเรียนนาฏศิลป์ ย่าก็ขอปู่ให้อีกที เพราะปู่จะเคร่งมาก ตามค่านิยมสมัยก่อน จะได้ยินคำว่า ‘เต้นกินรำกิน’ อยู่เรื่อย ๆ แต่เราบอกปู่ว่าเราอยากไปทำในสิ่งที่ชอบ สุดท้ายปู่ก็ยอม เลยได้ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด 

เคยคิดจะไปทำธุรกิจกับพ่อแม่บ้างไหม

เคยนะ คิดว่าเราทำได้ แต่ไม่ได้ชอบ ใจเรามันไปทางหมอลำ แล้วเวลาผมชอบอะไร ใจจะเกินร้อยตลอด ผมไม่อยากทำอะไรที่มันขัดกับใจ

จากที่เคยไม่มั่นใจเรื่องเสียงร้อง พอได้เรียนแล้วมั่นใจขึ้นหรือยัง

มั่นใจขึ้นในเรื่องของการได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่ถ้าในเรื่องของการมีเกณฑ์เข้ามาพิจารณา เช่น น้ำเสียง เนื้อร้อง คำร้อง เรายังไม่มั่นใจ เพราะยังคิดว่าเราไม่ใช่คนเสียงดี เหมือนได้มาทำในสิ่งที่เรารัก ได้ความรู้ ได้คะแนน ได้เงินด้วย

ตอนนั้นผมไปร้องเพลงร้านหมูกระทะได้วันละ 300 บาท ผมเลือกเองด้วยนะ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ลำบาก แต่เราอยากลองไปทำงานดู

ทำไม

เพราะอยากรู้ว่าการหาเงินใช้ด้วยตัวเองเป็นยังไง 

ถ้าแม่ให้เรามา 300 อาจจะใช้แป๊บเดียวหมด แต่ 300 ที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเรา มันภูมิใจมากเลยนะ เหมือนเราเห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น แล้วก็จะใช้เงินก้อนนี้อย่างระมัดระวัง

อีกอย่างที่ได้เรียนรู้คือเรื่องชีวิตการทำงาน เพราะร้านหมูกระทะอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึง 5 นาที ตอนเราอยู่ในรั้วโรงเรียน เวลาทำผิด ครูจะบอกว่า ไม่เป็นไรนะลูก ผิดก็เริ่มใหม่ แต่พอเราข้ามถนนไปเป็นร้านหมูกระทะ ถ้าทำผิดเนี่ย โอ้โห ไม่ได้เลย ถึงจะยังเด็ก แต่เราเป็นลูกจ้างเขา 

ในชีวิตจริงไม่มีคำว่าไม่ได้ ไม่มีคำว่าเดี๋ยวก่อน ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี แต่มันสอนให้เราเข้าใจ

คุณเข้ามากรุงเทพฯ ได้ยังไง

ตอน พ.ศ. 2553 ผมเข้าไปเรียนปริญญาตรีที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เรียนครู 5 ปีเลย แล้วก็ต่อโทที่จุฬาฯ สาขาการจัดการทางวัฒนธรรม จนได้ไปฝึกสอนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ไม่ได้ร้องเพลงเลย 2 ปีเต็ม ผมโหยหาการร้องเพลงมาก แต่จะให้ไปรับจ้างร้องเพลงที่ร้านหมูกระทะแถวปิ่นเกล้าก็ยังไง ๆ อยู่ (หัวเราะ)

ทีนี้ พ.ศ. 2555 ผมซื้อไอโฟนมาเครื่องหนึ่ง ผมอัดคลิปตัวเองร้องเพลงแล้วอัปลงโซเชียลแคม เผยแพร่ไปทางออนไลน์ต่าง ๆ จนมีผู้ใหญ่จากทางแกรมมี่มาเห็นเรา เขาก็เข้ามาคอมเมนต์ว่าสนใจ ทีแรกผมไม่เชื่อ เพราะนี่มันแกรมมี่เลยนะ นี่มันค่ายเพลงของพี่ต่าย อรทัย กับ พี่ไผ่ พงศธร เลยนะ จะใช่ของจริงเหรอ อยู่ดี ๆ เขาจะมาคอมเมนต์คลิปเราจริงเหรอ

ผมก็เลยยังไม่ตอบรับ เพราะคิดว่าเป็นมิจฉาชีพ (หัวเราะ)

ห้ะ

เรื่องจริง ผมปล่อยเบลอไปก่อน แต่ผมไม่ได้ลงคลิปเดียว ผมลงหลายคลิป แล้วเขาก็มาคอมเมนต์ทุกคลิป จนสุดท้ายผมยอมใจอ่อน นัดแนะเวลากันเรียบร้อย ผมก็เข้าไปที่ตึกแกรมมี่ชั้น 33 ถึงรู้ว่าของจริง (หัวเราะ)

บรรยากาศวันนั้นเป็นยังไงบ้าง

คนแรกที่ผมเจอวันนั้นคือ คุณกริช ทอมมัส ซึ่งเป็นเจ้าของแกรมมี่โกลด์ เขาก็ให้ผมไปดูตัว ให้ยืน ให้เดิน ให้ยิ้ม ให้ดู แล้วเขาก็บอกว่า อะ เซ็นสัญญาเลย

ได้ร้องเพลงไหม

ยังไม่ได้ร้อง (หัวเราะ)

แล้วก็เซ็นสัญญาเลยเหรอ

ใช่ (หัวเราะ) ผมงงว่านี่ได้แล้วเหรอ พูดแล้วก็ขนลุก เพราะกว่าคนคนหนึ่งจะเป็นศิลปินได้ ต้องผ่านการประกวด ผ่านสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เหรอ

คิดว่าง่ายไปไหม

ง่ายไปมากเลย แต่มันยากตรงการรักษามาตรฐานยังไงให้อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

ทำไมถึงเลือกเซ็นสัญญาเป็นศิลปินแทนที่จะเป็นครู

นั่นน่ะสิ (หัวเราะ) เซ็นไปก่อนแล้วค่อยไปคุยกับครูพี่เลี้ยงที่ดูแลอยู่ 

ผมจำได้ว่าต้องนั่งบีทีเอสไป 5 สถานีจากเตรียมอุดมฯ สถานีสยาม ต่อชิดลม เพลินจิต นานา ลงอโศกไปแกรมมี่ ฝึกสอนเสร็จแล้วเขาก็จ้างต่อด้วย แต่ทางแกรมมี่เสนอมาว่าจะออกอัลบัมให้พอดี เราก็ โห ยังไงดีวะเนี่ย ครูก็อยากเป็น นักร้องก็อยากเป็น แต่พอเริ่มมีงานร้องเพลงเข้ามา เริ่มได้ทำอัลบัม ผมเลยตัดสินใจได้

สุดท้ายก็บอกครูพี่เลี้ยงว่า ผมขอโทษ แต่ผมขอเดินทางตามความฝันของผมได้ไหม ผมอยากลองดูว่าการใช้ชีวิตท่ามกลางความฝันที่เป็นความจริงจะเป็นยังไง ใช้ไปใช้มาก็ 10 ปีแล้วครับ

พอได้ทำอัลบัมจริง ๆ กว่าจะได้เพลงมา 1 เพลงมีกระบวนการยังไงบ้าง

โห ยากมาก เพราะพี่กริช ทอมมัส เป็นคนที่ละเอียดมาก ๆ ในเรื่องการทำงาน ทำงานเหมือนคอขวดกับปากขวด กว่าแต่ละเพลงจะส่งผ่านปากขวดลงคอขวดไปได้คือใช้เวลานานมาก ผมเคยประชุมทั้งวันจนออกไปอ้วก 

อ้วกจริง ๆ เลยเหรอ

ใช่ อ้วกจริง ๆ เลยครับ พี่ที่พาเข้าแกรมมี่ก็ไปลูบหลังให้ (หัวเราะ) 

ตอนทำอัลบัมคือเหนื่อยจริง ต้องตรวจทีละขั้นตอน ตรวจทีละคำว่าคำนี้ได้ไหม ต้องดูว่าเราจะขายใคร ขายตลาดเชลฟ์ไหน แต่บทจะได้ก็ง่ายเลยนะ อย่างเพลง ก้อนขี้ฟ้า แค่เราร้องไกด์ไปให้นายฟัง ยังไม่มีเสียงจริง ๆ นะ นายก็บอกเลยว่าเอาอันนี้แหละ ไปมิกซ์เลย จนทำให้เราเข้าใจว่า อ๋อ การทำเพลงมันไม่มีสูตรสำเร็จ มันเป็นไปตามอารมณ์ อย่าไปซีเรียสกับมันมาก

ภูศิลป์ วารินรักษ์

เต๋ามองว่าเส้นทางชีวิตตัวเองเรียบง่ายไหม

เรียบง่ายนะ ผมมองว่าชีวิตผมเหมือนการขึ้นบันไดทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ไม่ว่าบันไดจะอยู่สูงแค่ไหน ผมก็จะเดิน 

ค่อย ๆ หาความสุขที่ชั้นนู้นชั้นนี้ได้ เก็บไปเรื่อย ๆ เราจะไม่ถึงเป้าหมายก็ไม่เป็นไร แค่เราได้เก็บความสุขตามบันไดในแต่ละชั้นก็เพียงพอแล้ว

บางคนจะขึ้นลิฟต์ก็ได้แหละ แต่ถ้าขึ้นลิฟต์ คุณจะไม่ได้เห็นอะไรเลยระหว่างทาง 

อะไรคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตแสนเรียบง่ายของคุณ

ไม่มีเลย เชื่อไหม

แม้แต่เวลายายเสีย ทวดเสีย ผมยังไม่เคยร้องไห้เลยนะ ไม่ใช่ใจดำ แต่เรามองว่ามันคือสัจธรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะฉะนั้นเวลาคนอื่นร้องไห้ เราจะทำหน้าที่ปลอบมากกว่า มันเลยไม่มีคำว่าท้อเข้ามาในชีวิต สะกดไม่เป็นด้วยซ้ำไป

เป็นคนไม่ร้องไห้เลยเหรอ

ใช่ เราไม่เคยมีเรื่องดราม่าในชีวิต แต่หลังจากได้เล่นละคร มันก็ช่วยนะ ทำให้เราเข้าใจอารมณ์ตัวละครว่าอยากจะรู้สึกอะไรก็แค่ปล่อยมันมา คาแรกเตอร์ตัวละครค่อย ๆ หล่อหลอมให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งในชีวิตด้วยว่าละครสอนให้เราร้องไห้

ตอนเล่นละครเรื่อง ดอกคูณเสียงแคน เป็นคนแขนขาด แม่พิการ ตาบอด ก็ทำให้เราเห็นว่าชีวิตคนเราไม่ได้สมบูรณ์ไปทั้งหมด ชีวิต เต๋า ภูศิลป์ ก็เหมือนกัน

เคยมีคนนอกมองเข้ามาไหมว่าสิ่งที่คุณได้มามันง่ายเกินไป

ก็มีบ้างนะครับ 

อย่าง 10 ปีที่แล้วที่เพิ่งเข้าแกรมมี่แรก ๆ ผมไปกู้ธนาคาร บอกเขาไปว่าผมเป็นศิลปินแกรมมี่ แต่นายแบงก์ตอบกลับมาว่า โอ้ย เดี๋ยวก็ไม่ดัง เดี๋ยวก็หาย แค่กระแสหรือเปล่า เราเข้าใจเขานะ ผมก็ตอบเขาไปเลยว่า พี่ ผมขอโอกาส ให้ผมกู้หน่อย จนตอนนี้ก็ผ่อนหมดแล้ว สองล้านแปด 

ฉะนั้น สิ่งที่เราพยายามแสดงให้คนเห็นตลอด 10 ปีที่อยู่แกรมมี่ คือความเพียรพยายามของเรา เราได้มาง่ายก็จริง แต่ไม่ได้ง่ายกับทุกเรื่อง เราตั้งใจทำในทุก ๆ ผลงาน เต็มที่ที่สุดในแบบของเรา เพราะเราต้องการลบคำสบประมาทที่ว่า ‘เข้าไปง่าย ๆ เดี๋ยวก็ออกไปง่าย ๆ’ 

คิดว่าคนเราจำเป็นต้องผ่านชีวิตที่ลำบากตรากตรำก่อนไหม ถึงจะเป็นศิลปินได้

อืม ผมมองว่าคนเราแค่เกิดมาก็ไม่เท่ากันแล้ว ดูอย่างนิ้วมือ 5 นิ้ว เท่ากันไหม นิ้วโป้งเตี้ยกว่านะ แต่พอยกแค่นิ้วโป้ง มันเยี่ยมกว่าเพื่อน ส่วนนิ้วกลาง มันสูงกว่าเพื่อน แต่พอยกแค่นิ้วกลาง มัน… (หัวเราะ) ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในชีวิตของแต่ละคนมากกว่า เกิดมาร้อยพ่อพันแม่ ต่างนิสัยใจคอ 

การเป็นศิลปินไม่จำเป็นต้องลำบาก บางคนรวยร้อยล้านพันล้าน เขาก็ยังเป็นศิลปินได้ แล้วเราก็ไม่ต้องไปอิจฉาเขาเพราะเขาเป็นอย่างนั้น เราแค่มีความสุขในแบบของเรา

ความสุขเลือกได้ มันเกิดขึ้นจากตัวเรา พอเลือกเป็นก็เย็นใจ

เกษียณสำราญ

นอกเหนือจากชีวิตที่เต็มไปด้วยหมอลำ ลูกทุ่ง และนาฏศิลป์ เต๋าชอบทำอะไรอีก

ผมชอบไปวัด เพราะตอนเด็ก ๆ ย่าชอบพาไปหาพระจนผมซึมซับ ในเฟซบุ๊กผมจะโพสต์รูปพระทุกวันพระ สวัสดีวันนี้วันพระ อะไรก็ว่าไป

มีคนบอกเยอะว่าเหมือนคนอายุ 60 ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสมัยก่อนที่ตายแล้วเกิดใหม่

ที่ชอบฟังเพลงยุค 70 – 80 ด้วยเหรอ

ผมชอบฟังเพลงแนวนี้เพราะรู้สึกว่ามัน ‘ไร้กาลเวลา’ เช่นเดียวกับของในบ้านผมด้วย พวกเฟอร์นิเจอร์ ของสะสม มันคลาสสิก จะผ่านไปอีก 100 ปีก็จะยังเป็นแบบนี้ แต่เวลาเพื่อนมาบ้านผมเนี่ย มันกลัวนะ เพื่อนจะถามว่า มึงทำบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์อะไรเนี่ย (หัวเราะ) ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไปชอบได้ยังไง รู้แค่รู้สึกผูกพัน แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ฟังเพลงสมัยใหม่นะ เลือดกรุ๊ปบี ผมก็ฟัง (หัวเราะ) 

อย่างการปลูกดอกบัว เนี่ย มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเลย เมื่อก่อนผมรู้สึกว่าผมเป็นคนมือร้อนนะ ปลูกอะไรไม่ขึ้น แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ผมกินส้มตำอยู่ ก็หันไปมองต้นไม้

อย่าบอกนะว่า

ผมก็สาดน้ำส้มตำเลย ได้ต้นมะละกอต้นนี้นี่แหละ (หัวเราะ) พอมันขึ้นปุ๊บ เราก็เฮ้ย! เราเป็นคนมือเย็นแล้ว หลังจากนั้นก็ปลูกทุกอย่างเลย กลายเป็นอีกหนึ่งงานอดิเรก พยายามไม่จับมือถือ เปิดโหมดเครื่องบิน ใครจะว่ายังไงก็แล้วแต่ ผมจะปลูกต้นไม้

อาจารย์ผมก็บอกว่า เต๋าต้องหัดคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันบ้างนะ แต่เพื่อนสนิทผมก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดเลย เหมือนกลุ่มคนแก่ 5 คน

ถ้านั่งอยู่ในแก๊งของเต๋า เขาจะแนะนำให้เรารู้จักเต๋าด้วยคำว่าอะไร

โรคจิต (หัวเราะ) ถ้ารู้จักผม เวลานัดกัน 6 โมงเช้า คือ 06.00 น. ล้อหมุน หรือถ้าจัดของก็จะต้องทำให้มันสมมาตร ผมชอบจัดแจง (หัวเราะ) 

ผมเลยคิดว่าเราเป็นคนสมัยก่อนที่ตายแล้วเกิดใหม่หรือเปล่า เพราะผมอายุ 31 ก็จริง แต่เรื่องความชอบ ความสนใจของผมมันค่อนข้างจะไปไกล งานอดิเรกก็เหมือนคนที่เกษียณแล้ว แต่ผมก็มองว่าผมเกษียณแล้วนะ

เกษียณยังไง

ตอนผมเข้าวงการแรก ๆ ผมเคยให้สัมภาษณ์ว่าผมจะขอเกษียณตอนอายุ 30 

มันเป็นเรื่องของอายุการทำงานในวงการบันเทิงน่ะ พอเวลาผ่านไป คลื่นลูกใหม่ก็ต้องมา เด็กสมัยนี้เก่ง มีศักยภาพกว่าเราอีก ผมก็เลยสร้างแผนเตรียมการเกษียณของ เต๋า ภูศิลป์ ไว้ที่อายุ 30 ปี ส่วนอะไรที่ได้หลังจากนั้น ผมถือว่ามันคือกำไรชีวิต 

เตรียมอะไรไว้บ้าง มีระยะเวลาชัดเจนไหม

เป็นแผนเกษียณระยะ 10 ปี แต่หลัก ๆ มันคือการเตรียมการว่า ต่อให้พรุ่งนี้ไม่มีใครจ้างผม ผมก็ต้องอยู่ได้ 

ผมเตรียมในเรื่องของเงิน ซื้อประกัน ซื้อหุ้น ต้องมีเงินก้อน มีธุรกิจอื่นรองรับ เพราะแม้งานในวงการนี้จะทำเงินได้เร็วจริง แต่มันก็หมดไปเร็วด้วย เพราะฉะนั้น ผมจะมีมรณานุสติอยู่เสมอ ถ้าพรุ่งนี้เกิดมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมไม่มีงานแล้ว ผมต้องมีแผนรองรับว่าผมจะอยู่ยังไง

และถ้าวันหนึ่งไม่มีใครจ้างผมจริง ๆ ก็ไม่อยากให้มองว่าเป็นศิลปินตกอับ ผมไม่ชอบคำนี้มาก ๆ เพราะผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่แค่เปลี่ยนอาชีพ 

อยากทำอะไรหลังเกษียณ

ทำอะไรที่ตัวเองมีความสุขโดยไม่เบียดเบียนคนรอบข้าง ปลูกต้นไม้ ปลูกดอกบัว อะไรก็ได้ที่สร้างความพอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต ไม่ใช่เกษียณในเรื่องของอายุ ไม่ใช่ว่าเราจะหมดไฟหรือหมดพลังในการทำงาน แต่เกษียณในเรื่องของจิตใจเรามากกว่า อย่างการโพสต์รูปดอกบัวว่ามันออกดอกแล้วนะ แค่นี้เอง นี่คือชีวิตหลังเกษียณ พยายามมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ ก็พอ

เต๋า ภูศิลป์ เคยคิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ไหม

ไม่เคยเลย อย่างที่บอกว่าทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตท่ามกลางความฝัน ฝันว่าได้เป็นนักร้อง ตอนนี้ก็ฝันมา 10 กว่าปีแล้ว มีพี่คนหนึ่งที่อยู่ในแกรมมี่บอกว่า คิดซะว่ามาเที่ยวสวรรค์นะ ผมก็เลยจำขึ้นใจว่าเราแค่มาเที่ยวสวรรค์อยู่ 

แต่อย่าลืมนะว่าเราฝันอยู่ เพราะถ้าเราตื่นมาเป็นความจริงเมื่อไหร่ก็มีแผนเกษียณที่เราวางไว้รองรับ ถึงตอนนี้ผมจะไม่ได้อยู่บนลิฟต์ชั้น 10 แต่ผมก็มีความสุขในแบบที่ผมเป็น ได้ไปเที่ยว ได้ร้องเพลง ได้สร้างความสุขให้กับคนอื่น แค่นั้นก็โอเคแล้ว

ยังเหลือความฝันอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกไหม

อืม ก็เป็นอาจารย์นั่นแหละ เพราะเรามีใบประกอบวิชาชีพครู ผมยังไม่เคยสัมผัสการเป็นครูทั้งชีวิตเลย 

ผมอยากให้ความรู้ อยากสอนเด็กเรื่องศิลปะ ประวัติศาสตร์ การจัดการทางวัฒนธรรม ไม่นานมานี้ ผมก็เพิ่งไปบรรยายที่จุฬาฯ เรื่องหมอลำ ว่ามันเข้ากับภูมิศาสตร์ของคณะไหน มีวัฒนธรรมอะไรบ้าง 

ถ้าเต๋าในวัยเด็กนั่งอยู่ตรงหน้า อยากบอกอะไรกับเด็กคนนั้น

ขอบคุณตัวเองที่ไม่เกเร ขอบคุณที่ไม่หลงระเริงไปกับแสงสีเสียงหรือสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ขอบคุณที่เข้มแข็งขนาดนี้จนกลายเป็น เต๋า ภูศิลป์ ในวันนี้ได้

Writers

วรรณิกา อุดมสินวัฒนา

วรรณิกา อุดมสินวัฒนา

ติดบ้าน ชอบดื่มชา เล่นกีฬาไม่ได้เรื่อง

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์