เรื่องจริงบางเรื่องก็เหมือนความฝันเกินไป

ย้อนเวลากลับไปเมื่อราว 3 ปีก่อน ผมนั่งคุยกับ อุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของไทย ในห้องแต่งตัวของนักเตะของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด วันนั้นเขาบอกว่า ในประเทศบ้านเกิดไม่มีอะไรน่าท้าทายอีกต่อไปแล้ว เมื่อแชมป์ทุกแชมป์ในประเทศเขาครอบครองมาครบถ้วน

“ความจริงก็อยากลองไปเล่นที่ญี่ปุ่นนะ ไม่รู้หรอกว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่อยากไป เพราะทุกวันนี้ผมเจอแต่นักเตะไทยเดิมๆ เจอซ้ำๆ ก็อยากไปเจอนักเตะญี่ปุ่นบ้าง”

วันนั้นเขาพูดประโยคนี้ ซึ่งใครบางคนได้ยินคงคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะนาทีนั้นยังไม่มีใครนึกภาพออกหรอกว่านักเตะไทยจะเอาตัวรอดในลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่นได้อย่างไร แม้เขาจะได้รับการยอมรับอย่างสูงในลีกประเทศบ้านเกิดแล้วก็ตามที

“ความเชื่อมันสำคัญที่สุดแล้ว” ตอนนั้นเขาบอกผมแบบนี้ “อย่างที่มีคนเขาบอก ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้เราก็จะทำได้

“อาจจะยังไม่ใช่วันนี้ แต่อาจจะเป็นวันหน้าที่เราทำได้”

ใครจะเชื่อว่าเวลาคล้อยหลังเพียง 3 ปี ผมต้องนั่งเครื่องบินมาไกลถึงเมืองโกเบเพื่อคุยกับเขา ในวันที่แบ็กซ้ายผู้นี้กลายเป็นแบ็กซ้ายตัวเลือกแรกของสโมสร Vissel Kobe และได้ลงเล่นเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักเตะซึ่งเคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว ทั้ง Andrés Iniesta ยอดกองกลางที่เพิ่งย้ายมาจากสโมสรบาร์เซโลน่า และ Lukas Podolski อดีตศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมนี

แต่ก็อย่างที่ว่าไว้ตั้งแต่แรก

เรื่องจริงบางเรื่องก็เหมือนความฝันเกินไป

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

1.

ภาพเคลื่อนไหวในสนาม VISSEL KOBE Ibuki no Mori Football Ground ซึ่งเป็นสนามซ้อมของสโมสรวิสเซล โกเบ คือภาพนักฟุตบอลกำลังซ้อมกันอยู่

ท่ามกลางนักเตะญี่ปุ่น ผมเห็นธีราทรกำลังซ้อมเปิดบอลอยู่ทางฝั่งซ้ายของสนาม แม้จะเป็นเพียงการซ้อม เปิดเข้าเป้าก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษ แต่ผมเห็นความมุ่งมั่นของเขา ลูกไหนเปิดแล้วกองหน้าโหม่งได้ผมเห็นรอยยิ้มยินดี ลูกไหนเปิดพลาดเป้าผมเห็นแววตาเสียดาย

และนี่คือสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ไทยหรือญี่ปุ่น เขาใส่เต็มที่เสมอ ไม่มีเหยาะแหยะ

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

“ผมอาจจะเป็นคนจริงจังเวลาอยู่ในสนาม” เมื่อตอนที่เจอกันครั้งก่อน เขาบอกอย่างนี้เมื่อผมตั้งข้อสังเกต “ผมถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กว่า ถ้าขนาดซ้อมลูกง่ายๆ มึงยังเสียเลย อย่างนี้แข่งจริงมึงจะไม่เสียหรือไง มันเลยทำให้เราจริงจัง มุ่งมั่น ตั้งแต่เด็ก ถ้าเห็นคนไหนลงมาเดินเล่น ลงมาเหยาะแหยะ อย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมทำเต็มที่ พอเราเต็มที่แล้วเห็นคนอื่นที่เล่นเหมือนไม่อยากเล่น ผมจะรู้สึกว่า อ้าว แล้วเราล่ะ เราอยากมาเล่นนะ ผมก็จะคอยบอก คอยกระตุ้นว่า เอาหน่อยสิ”

หากใครรู้จักชื่อ ธีราทร บุญมาทัน ย่อมรู้ว่า บนเส้นทางลูกหนังก่อนจะถึงวันนี้เขาผ่านแรงเสียดทานมาค่อนข้างหนักหน่วงกว่านักเตะซูเปอร์สตาร์คนอื่นๆ ด้วยความที่ในอดีตเขาเป็นนักเตะเลือดร้อนคนหนึ่ง บวกกับนิสัยตรงไปตรงมาของเขา ทำให้ชีวิตการค้าแข้งช่วงแรกๆ ต้องเผชิญแรงกดดันจากแฟนบอลค่อนข้างสูง

ถ้อยคำด่าทอหยาบคาย เขารับมาจนอิ่มหนำสมัยยังเป็นแข้งวัยรุ่น

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

หากเปรียบกับนักรบจะใช้คำว่าแผลเต็มตัวกับเขาก็ไม่ผิดนัก แต่กาลเวลาก็ได้หล่อหลอมขัดเกลาเขาให้กลายเป็นอีกคน วันนี้เขานิ่งกว่าในอดีต ทั้งในสนามและนอกสนาม

“วันที่เจ็บปวดก็ถึงกับอยากจะเลิกเล่น แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่เรารัก เราก็กลับมาอีก พอกลับมาเราก็มาสู้ใหม่” เขาเคยว่าไว้อย่างนี้

หลังการซ้อมในช่วงเช้าสิ้นสุดลง เราจึงได้นั่งคุยกันอีกหนถึงชีวิตในดินแดนแห่งใหม่

2.

ย้อนกลับไปกว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตนักฟุตบอลของธีราทรเริ่มต้นกับโรงเรียนกีฬากรุงเทพมหานคร ก่อนจะย้ายไปสังกัดโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี มหาอำนาจลูกหนังรุ่นเยาวชนขณะนั้น โดยมีรุ่นพี่เป็นศูนย์หน้าเบอร์ 1 ทีมชาติไทยอย่าง มุ้ย-ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งปัจจุบันสังกัดสโมสร Sanfrecce Hiroshima คู่แข่งร่วมลีกสูงสุดแดนปลาดิบ

ภาพที่ธีราทรและธีรศิลป์แลกเสื้อกันหลังจบเกมการแข่งกันระหว่าง วิสเซล โกเบ กับ ซานเฟรซเซ ฮิโรชิม่า จึงมีความหมายลึกซึ้งกว่าการแลกเสื้อธรรมดาเมื่อเรารู้ว่าทั้งสองฟันฝ่าอะไรกันมาบ้าง

จากเด็กมัธยม 2 คนที่ไม่รู้ว่าชีวิตบนเส้นทางลูกหนังอนาคตจะเป็นอย่างไร มาวันนี้พวกเขาได้มาลงสนามแข่งขันกันในลีกสูงสุดแดนปลาดิบ

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

“ถ้าพูดถึงสมัยเด็กๆ น่าจะสักประมาณ 9 ขวบ 10 ขวบ ผมได้มีโอกาสอุ่นเครื่องกับเด็กญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะ เพราะว่าช่วงนั้นเด็กญี่ปุ่นจะไปที่โรงเรียนที่ผมฝึกฟุตบอลอยู่ ผมเลยได้มีโอกาสได้อุ่นเครื่องกับนักเตะญี่ปุ่นที่เป็นเด็กด้วยกัน รุ่นเดียวกัน” ธีราทรเล่าเมื่อผมชวนย้อนถึงความทรงจำเกี่ยวกับญี่ปุ่นในวัยเด็กเท่าที่มี

“ความทรงจำที่ดีคือ เราชนะเขาเยอะมาก ชนะที 7-0 8-0 หรือ 12-0 ก็มี แต่ว่าทำไมโตมาแล้วเราถึงสู้เขาไม่ได้” เขาเน้นเสียงที่ประโยคคำถามโลกแตกซึ่งแฟนฟุตบอลชาวไทยต่างก็ตั้งข้อสังเกต

“ทำไมพอโตมา เด็กไทยหรือว่าทีมชาติไทยเราถึงยังสู้ญี่ปุ่นไม่ได้สักที ทำไมถึงไปไม่ถึงเขาสักที ทั้งที่ตอนเด็กเราชนะเขาได้ ชนะเยอะด้วย

“พอผมได้มาสัมผัสเจลีกจริงๆ ถึงรู้ว่า เรายังห่างจากเขาเยอะ ในเรื่องการจัดการ ความเป็นมืออาชีพของสโมสรที่นี่ หรือเทคโนโลยีต่างๆ ค่อนข้างห่างกับที่ไทยเยอะ หลายอย่างมันทำให้การพัฒนาของเขาทิ้งห่างจากไทยไปไกล”

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

หากย้อนดูประวัติเส้นทางลูกหนังของธีราทรจะพบว่าเขาอยู่ในระดับสูงสุดมาตลอด เคยสังกัดทั้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นสองยักษ์ใหญ่ในลีกสูงสุดของไทย ก่อนจะย้ายมาอยู่วิสเซล โกเบ ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี

“ตอนแรกคิดว่าคงไม่ได้มาแล้วแหละ” ธีราทรพูดถึงการย้ายทีมที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่สำคัญจุดหนึ่ง คือด้วยอายุของผม ถ้าเป็นคนไทยก็ชอบคิดว่า ผมอายุเริ่มเยอะแล้ว คงไปไม่ได้ ผมเลยคิดว่า ก็คงไม่ได้มาแล้วแหละ แต่ลึกๆ ผมยังอยากมาอยู่ ผมอยากมาที่นี่ อยากมาเล่นที่นี่ให้ได้ มันเป็นความฝัน เป็นความท้าทาย ผมมองว่าลีกในเอเชีย ผมอยากเล่นที่ญี่ปุ่นมากที่สุด จนวันนี้ได้มา มันก็รู้สึกว่าผมได้มาทำตามความฝันของผมแล้ว”

“อยู่เมืองไทยประสบความสำร็จมาตลอดชีวิต กลัวไหมว่ามาที่นี่แล้วจะล้มเหลว” ผมถาม

“ผมก็ได้มีโอกาสคุยกับ พี่ตี๋-สินทวีชัย หทัยรัตนกุล เขาบอกว่า ผมน่าจะไปลีกที่มันสูงกว่าไทยได้แล้ว ผมก็บอกพี่เขาว่า ผมก็อยากไปเหมือนกัน แต่กลัวล้มเหลว นั่นแหละคือสิ่งที่ตอนแรกผมกลัว ผมกลัวล้มเหลว แต่ว่าพอผมได้คุยพี่เขา พี่เขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็แยกกัน เข้าห้องใครห้องมัน แล้วพอหลังจากจะซ้อมตอนเย็น เขาก็เดินมากอดคอแล้วบอกว่า พี่มีคำตอบให้เอ็งแล้ว

“พีี่เขาก็บอกว่า ความล้มเหลวคืออะไร ไม่ต้องกลัวความล้มเหลวเลย เพราะว่ามาที่นี่มีแต่ได้กับได้ มันเป็นกำไรชีวิต ได้พัฒนาตนเอง ได้เล่นในลีกที่ใหญ่กว่า ได้ซ้อมกับนักเตะที่เก่งกว่า มันไม่มีคำว่าล้มเหลวเลย มันเลยทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเลยว่า เออ ความล้มเหลวคืออะไร มานี่มีแต่กำไร กำไรชีวิตทั้งนั้น ประสบการณ์ชีวิตทั้งนั้น สิ่งที่ได้เจอตั้งแต่ต้นปี ตั้งแต่วันที่ 27 ที่ผมมาเล่นที่นี่ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมออกมา

“ผมก็ร้องไห้นะตอนที่แฟน ลูก มาส่งที่สนามบิน ก้าวที่ออกจากสุวรรณภูมิผมร้องไห้เลย นี่ผมต้องมาผจญภัยคนเดียวแล้ว”อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

3.

ยอมรับว่าก่อนบทสนทนาจะเริ่มขึ้น ผมคิดว่าเขาในวัย 28 ปีน่าจะมีความสุขไม่น้อยเมื่อได้มาเล่นในลีกที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันจะได้มาเล่นสักครั้งในชีวิต

แต่หลายๆ คำตอบของเขาก็ทำให้ผมต้องคิดใหม่

โอเค ความสุขน่ะมีแน่ แต่ด้านที่ทุกข์ทนเจ็บปวดมีใครบ้างไหมที่เห็น

“ช่วงแรกผมร้องไห้แทบทุกวันเลย ซ้อมเสร็จก็ร้องไห้”

ผมคงไม่ประหลาดใจอะไรถ้าคำพูดนี้เป็นของคนอื่นใดที่ไม่ใช่แบ็กซ้ายทีมชาติไทยผู้นี้

“ช่วงแรกๆ ปัญหาคือผมต้องอยู่คนเดียว พูดกับใครไม่รู้เรื่อง คิดถึงบ้าน และผมก็คิดถึงลูกและภรรยามาก ที่ผ่านมาผมไม่เคยห่างแฟนด้วย เราอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ไม่เคยห่างกัน มันเป็นครั้งแรกแล้วเราก็ต้องออกนอกประเทศเลย

“ความเป็นอยู่ของผมตอนนั้นมันยังไม่ได้เป็นหลักเป็นแหล่ง บ้านก็ยังไม่มี แล้วก็ยังเล่นไม่เข้าระบบกับทีม หลายคนก็พูดกับผมว่า เดี๋ยวมันคงจะดีขึ้น ซึ่งผมก็คิดอยู่ในใจแหละว่ามันจะดีขึ้นไหม แต่ผมก็พยายามในทุกๆ วันให้มันดี พยายามพัฒนาตนเองให้ก้าวขึ้นมาทันนักเตะญี่ปุ่นหลายๆ คนให้ได้”

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

ไม่ใช่แค่พูดว่าจะพยายาม แต่เขาทำให้เห็น ภาษาไม่เป็นใช่ไหม-เขาฝึก ยังไม่เข้าระบบทีมใช่ไหม-ในสนามเขาซ้อมอย่างหนัก จนวันนี้เขาสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้แทบจะถาวรแล้ว

“เรื่องภาษาผมมีล่ามของผมชื่อพี่มิว ผมก็จะคอยศึกษา คอยถาม แล้วก็ฟังจากนักเตะญี่ปุ่นพูด เราก็จะถามว่า คำนี้แปลว่าอะไร ไม่ว่าจะเป็นพวกคำขออนุญาต หรือคำทั่วๆ ไปผมก็พยายามฟัง จำ แล้วก็ท่องเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าผมรู้ว่าจะได้มาที่นี่ ผมก็คงตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอน ม.4 ไปแล้ว ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตต่างๆ อาหารการกิน ที่นี่ก็มีร้านอาหารไทย เราเดินไปกินคนเดียวบ้าง ไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องการแข่งขันในสนามผมก็พยายามหาวิธีการเล่นของทีมให้ได้ พยายามดูการเล่นของตำแหน่งแบ็กซ้ายของทีมอื่นๆ พยายามทำความเข้าใจแท็กติก และวัฒนธรรมการเล่นของญี่ปุ่นให้ได้โดยเร็ว”

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

“แล้วตอนที่ยังปรับตัวไม่ได้ ตอนที่นอนร้องไห้ คิดไหมว่าตัวเองคิดผิดที่มาที่นี่” ผมชวนเขาย้อนทบทวน

“ไม่เคยคิด หลายอย่างที่เราเจอเป็นประสบการณ์ชีวิต เป็นสิ่งล้ำค่าในชีวิตของผม มันก็ทำให้เรามองย้อนกลับไปเราสามารถคิดกับตนเองได้ว่าเรามาที่นี่ เราเจออะไรบ้าง”

ว่ากันตามตรง อยู่เมืองไทยเขาก็สบายดีอยู่แล้ว มีบ้าน มีครอบครัว มีคนรัก ทำไมถึงต้องมาลำบากถึงญี่ปุ่น-ผมสงสัย

“มันเป็นความฝันเดียว ผมอยากจะมาทำให้เต็มที่ จะได้ลงหรือไม่ได้ลง แต่อย่างน้อยผมได้ซ้อมกับนักเตะญี่ปุ่น ได้เรียนรู้มากขึ้นกว่าเดิม อยู่ที่เมืองไทยผมได้แชมป์มาหมดแล้ว เจอคู่ต่อสู้ก็หน้าเดิมๆ เรารู้วิธีที่จะรับมือ รู้ว่าจะเอาชนะเขาอย่างไร จะเล่นอย่างไรกับเขา มันเหมือนชีวิตเราเจอทางตัน

“ลงเตะมันก็ได้เงินนะ แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้พัฒนาขึ้นไป ความรู้สึกผมตอนที่อยู่ที่เมืองไทย ช่วง 2 ปีหลังผมเริ่มไม่พัฒนาตนเอง มีแต่คนอื่นมาเจอเราแล้วพยายามจะพัฒนาขึ้นมาให้ทันเรา แต่เราไม่รู้ว่าจะพัฒนาขึ้นไปเพื่อให้ทันใคร ผมเลยคิดว่าเราต้องมาแข่ง เราต้องมาพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเพื่อสู้กับนักเตะญี่ปุ่นให้ได้

“อยู่เมืองไทยชื่อเสียงผมก็มีในระดับหนึ่ง เงินก็มีในระดับหนึ่ง ไม่ต้องปรับตัวก็ได้ แต่ชีวิตมันไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม มาที่นี่ผมรู้ว่าอยู่เพื่อพัฒนาตัวเอง”

คงเป็นอย่างที่เขาว่าไว้้เสมอ ไม่ว่าจะเมื่อ 3 ปีที่แล้วหรือตอนนี้ ฟุตบอลคือสิ่งที่เขารัก อะไรที่เขาทำเพื่อให้อยู่กับมันได้ต่อไป เขาไม่เคยลังเลสงสัย

ใช่, กับสิ่งที่เรารัก เรามักไม่มีคำถาม

อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน, นักฟุตบอลไทย, เจลีก ญี่ปุ่น

พบบูทของสโมสรฟุตบอลเจลีกได้ที่งาน NIPPON HAKU BANGKOK 2018

วันที่ 31 สิงหาคม – 2 กันยายน 2018
เวลา 11.00 – 20.00 น.
สถานที่ สยามพารากอน ชั้น 5
โทร 022583983 และ 0891095122

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

Avatar

วินัย สัตตะรุจาวงษ์

ผู้กำกับรายการและโฆษณาที่ช่วงนี้หันมาสนใจงานแนวสารคดี จึงเน้นทำงานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง ตัวอย่างผลงานที่ผ่านมาคือ รายการ human ride และ เป็น อยู่ คือ