13 กุมภาพันธ์ 2020
223 K

“ผมว่าจริงๆ แล้วคนที่อยู่ต่างจังหวัด อยากกลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน สูดอากาศดีๆ อยู่อย่างสบายๆ เหมือนกันทั้งนั้น” 

น้ำ-รพีภัทร เอกพันธ์กุล เอ่ยขึ้นขณะเอนกายนั่งคุยสบายๆ ที่บ้านกลางทุ่งของเขาในอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก

น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ

ชีวิตที่บ้านไร่ชายทุ่งของเขาเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เขาเลือกกลับมาลงหลักปักฐานที่จังหวัดบ้านเกิด ปลูกปั้นฟาร์มไก่ที่เป็นความรักความชอบเมื่อเยาว์วัย และอีก 2 ปีต่อมาเขาย้ายครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างถาวร

ในฐานะคุณพ่อลูกสอง เขาตั้งใจเลี้ยงลูกชายและลูกสาวให้เป็นเด็กบ้านทุ่งที่ได้สูดอากาศดีๆ สัมผัสวิถีชีวิตที่อยู่กับดิน หญ้า และสัตว์เลี้ยงเหมือนกับเขาในวันวาน

ทุกวันนี้เขาเลี้ยงไก่ เลี้ยงควาย เลี้ยงม้า เลี้ยงปลา และใช้ชีวิตสบายๆ เหมือนได้พักผ่อนต่างจังหวัดทุกวัน ชนิดไม่ต้องรอวันหยุดแล้วหาโอกาสไปเที่ยว

ขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงทำงานในวงการบันเทิง ไม่ได้ห่างหายไปไหน เพียงแต่ไม่โหมรับงาน และบาลานซ์ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม

ในวัยเพียง 35 ปี น้ำ รพีภัทร มีชีวิตเนิบช้าที่เขาปรารถนามาตลอด โดยไม่ต้องรอให้ถึงวัยเกษียณ

น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ

เบญจา คีตา ความรัก

บ่ายแก่ของวัน ยานพาหนะของเรามาถึง ‘รพีภัทรฟาร์ม’ ที่อยู่กลางทุ่งโล่ง ที่ดิน 8 ไร่ ด้านหน้าเป็นลานหญ้าโล่งกว้าง มีบ่อปลาขนาดใหญ่ และลึกเข้าไปข้างหน้าเห็นบ้านหลังใหญ่ทรงทันสมัยตั้งอยู่ ข้างกันนั้นเป็นเล้าไก่และคอกควาย บ้านไร่แห่งนี้เห็นเด่นชัดมาแต่ไกล เพราะที่ดินข้างกันนั้นเป็นที่โล่งว่าง ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ 

น้ำและมินตรา ภรรยาของเขา ออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเองและเชิญเราเข้าไปนั่งในห้องรับแขกเพดานสูงที่ลูกสาวคนเล็กวัย 2 ขวบของเขานั่งเล่นอยู่บนโซฟา ส่วนโอเชี่ยน ลูกชายคนโตวัย 7 ขวบยังไม่กลับจากโรงเรียน 

มารีนเดินเข้ามาพูดคุยกับเราอย่างไม่เคอะเขิน และขณะที่นั่งสนทนากัน สาวน้อยคนนี้ก็เดินเล่นไปมาไม่ห่าง ‘ป๊ะป๋า’ ของเธอเลย

น้องมารีน ลูก น้ำ รพีภัทร
น้องมารีน ลูก น้ำ รพีภัทร

“ผมเป็นคนนครนายก แต่ตอนเด็กๆ อยู่บ้านในตลาดของตัวอำเภอบ้านนา” น้ำเริ่มเล่าถึงชีวิตของเขา “แต่ว่าปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องมีอาชีพทำนากันอยู่ในละแวกนี้ ช่วงวันหยุดหรือเทศกาลผมก็มาอยู่บ้านย่าทวดที่เป็นจุดศูนย์รวมของญาติๆ ได้มาเล่นสนุก ขี่จักรยาน ยิงนก ตกปลา ชนไก่ จึงคุ้นเคยกับพื้นที่ตรงนี้ดี”

ตั้งแต่เด็กจนโต เด็กชายน้ำไม่เคยคิดฝันถึงวงการบันเทิงแม้แต่น้อย แต่ด้วยหน้าตาคมเข้มและรูปร่างสูงใหญ่ บรรดาแมวมองในสมัยนั้นจึงพยายามติดต่อเขาให้เข้าสู่วงการเสมอ จนวันหนึ่งมีโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งได้ส่งประวัติและรูปถ่ายของเขาเข้าประกวดดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปี 2001 

“สมัยยี่สิบปีที่แล้วโมเดลลิ่งยังให้นามบัตรและขอเบอร์โทรศัพท์บ้านกันอยู่เลย” เขาเล่าขำๆ และยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบนใบหน้า “โมเดลลิ่งส่งรูปและประวัติของผมไปประกวดดัชชี่บอยฯ เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาความสามารถอะไรไปโชว์ แล้วก็เป็นเด็กขี้อายด้วย แต่ถามแม่กับเพื่อนๆ ก็บอกว่าให้ไปลองดู แล้วก็ผ่านเข้ารอบมาเรื่อยจนชนะการประกวด”

หนุ่มดัชชี่บอยอายุ 17 ปีต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่เพื่อเตรียมตัวพร้อมเข้าวงการบันเทิง เขาต้องนั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ในวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อเริ่มเรียนพื้นฐานการเป็นนักแสดง ตั้งแต่การปรับบุคลิกภาพ การแสดง และการร้องเพลง สุดท้ายน้ำต้องเลือกทิ้งชีวิตนักเรียนมัธยม 6 ที่จังหวัดนครนายก และเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นนักแสดงสังกัดช่อง 7 อย่างเต็มตัว

ละครที่ทำให้ชื่อของ น้ำ รพีภัทร ดังเปรี้ยงปร้างคือ เบญจา คีตา ความรัก ที่เขารับบทเป็น สามภพ หนุ่มมาดเนี้ยบลูกคุณหนู หนึ่งในตัวเด่นของเรื่อง จากนั้นกราฟความนิยมของเขาก็พุ่งสูง กลายเป็นดาราดาวรุ่งมาแรงและขึ้นแท่นพระเอกเบอร์หนึ่งของช่องในที่สุด ช่วงเวลานั้นเขาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ถึงกับมีฉายาว่าเป็น ‘เด็กแสบของช่อง’

“เมื่อก่อนผมเป็นคนสุขนิยมมากนะ เอาสุขไว้ก่อน แล้วช่วงนั้นยังเด็ก ร่างกายแข็งแรง เที่ยวแล้วไปทำงานเช้าได้ อาจไปแบบหน่วงๆ แต่ฟื้นตัวไว ผมใช้ชีวิตเต็มที่นะ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ถือว่ามันมาก และใช้ชีวิตอย่างนั้นมานานพอสมควรเลย” 

น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ

เล้าไก่ บ้านไร่ ชายทุ่ง

จุดเปลี่ยนของหนุ่มสุขนิยม เกิดขึ้นจากคำถามของคนรอบข้างและความรู้สึกเคว้งคว้างในชีวิตที่ต้องหาหลักยึดให้ได้

“มีนักข่าวและคนรอบข้างถามตลอดว่า นอกจากงานแสดงแล้วผมมีธุรกิจอะไร หรืออยากทำอะไรบ้างไหม คำตอบของผมคือ ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้อยากทำอะไรหรือสนใจอะไรเลย แต่พอช่วงสักอายุยี่สิบห้าปีที่ต้องเจอกับมรสุมเรื่องความรัก ในใจรู้สึกเคว้งๆ ต้องหาหลักอะไรมายึดไว้ ผมเลยย้อนนึกถึงตัวเองว่าตอนเด็กเราชอบอะไรที่เราอยู่กับมันได้นานทั้งวัน ไม่ฟุ้งซ่าน ก็ได้คำตอบว่า เลี้ยงไก่”

น้ำเริ่มกลับมาคลุกคลีกับการเลี้ยงไก่อีกครั้ง และหลงใหลมันมากเหมือนที่เคยเป็นมาในวัยเยาว์ จนต่อมาเขาก็พัฒนาการเลี้ยงเป็นฟาร์มไก่ชนขนาดย่อมในหมู่บ้านย่านดอนเมือง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย กลายเป็นตัวเร่งเร้าให้เขาต้องหาทางออก

“เรามีปัญหาเรื่องที่อยู่ของไก่ไปรบกวนบ้านรอบข้าง พอปรึกษาแม่กับยาย แม่ก็บอกว่าให้ย้ายมาอยู่ตรงที่ดินตรงนี้ ซึ่งเป็นที่ดินที่ยายยกให้แม่อยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อใหม่ ผมก็มาลงทุนเอง สร้างเล้าไก่ก่อนเลย บ้านตัวเองยังไม่มีเลยตอนนั้น” เขาหัวเราะ

น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ

4 ปีที่แล้ว น้ำไปกลับกรุงเทพฯ-นครนายกบ่อยขึ้น เพราะเริ่มลงหลักปักฐานด้วยการขยายฟาร์ม พร้อมไปกับการสร้างบ้านหลังใหญ่สำหรับครอบครัว และอีก 2 ปีให้หลังเขาก็พาทั้งครอบครัวย้ายมาตั้งรกรากที่นี่ถาวร 

 “เป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้วที่จะย้ายกลับมาอยู่ต่างจังหวัดและทำในสิ่งที่รัก ตอนที่คบกับมินตรา ก่อนจะแต่งงานก็ถามเขาว่า ถ้าวันหนึ่งเราย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดเขาจะโอเคไหม พอเขาบอกว่า พี่อยู่ที่ไหนหนูอยู่ที่นั่น เราก็สบายใจ”

อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาพาครอบครัวหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองหลวง เพราะตั้งใจอยากให้ลูกๆ ทั้งสองเติบโตในแบบ ‘เด็กบ้านทุ่ง’ เหมือนตัวเขาเอง

“โอเชี่ยนเป็นเด็กชอบเล่นโทรศัพท์ ผมอยากให้เขาละจากหน้าจอบ้าง พามาอยู่ที่นี่เขาก็ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ ชวนกันเล่นจนแทบหมดวัน ผมอยากให้เขามีกิจกรรมคล้ายกับที่ผมเคยทำเคยเล่นตอนเด็ก 

“ผมว่าการเป็นเด็กต่างจังหวัดมีข้อได้เปรียบตรงที่เวลาเขาอยากทดสอบหรือทำกิจกรรมอะไร เขาได้สัมผัสกับมันได้เลย ไม่ต้องรอโรงเรียนจัดมาหรือรอวันหยุดมาเที่ยว เราทำได้ทุกวัน รวมไปถึงเรื่องอากาศที่ดีกว่า รวมไปถึงอารมณ์ของเด็กด้วย อย่างมารีนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด เขาก็จะไม่ค่อยกลัวอะไรสักเท่าไหร่”

น้องมารีน ลูก น้ำ รพีภัทร

ควาย ม้า และทุ่งหญ้า

คุยได้สักพักจนเห็นความเป็นมาเป็นไปของ ‘รพีภัทรฟาร์ม’ น้ำก็พาเราเดินลัดเลาะเยี่ยมชมโซนเล้าไก่ที่วันนี้เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ในพื้นที่ใกล้กันกั้นเป็นคอกไม้ที่ควายตัวเล็กตัวใหญ่นอนอยู่อย่างสบายใจ

น้ำเล่าว่า ความรักของเขาขยายมาถึงควาย เพราะวันหนึ่งเกิดไปถูกชะตาลูกควายไทยสวยงามของรุ่นพี่ที่สนิทกัน 

“รุ่นพี่ของผมเลี้ยงควายสวยงามไว้ พอไปเที่ยวบ้านเขาผมก็ไปนอนเล่น ไปดูควาย รู้สึกว่าเพลินดี ดูมันนอนในน้ำ ขึ้นจากน้ำมากินหญ้า ดูมันเลี้ยงง่ายดีนะ ผมเลยขอแบ่งลูกควายมาหนึ่งตัวคือ ‘หยกมณี’ เพราะถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น” 

หยกมณีคือลูกควายตัวเมียสีเทา หน้าสวยคม (เขาว่าอย่างนั้น) เป็นลูกของ ‘อั่งเปา’ แม่ควายเผือกตัวใหญ่ที่กำลังอยู่ในช่วงให้นม การแยกลูกควายมาเลี้ยงนั้นต้องรอมันหย่านมแม่โดยใช้เวลาประมาณ 10 เดือนถึง 1 ปี

น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ
น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ

“ระหว่างนั้นผมสร้างคอกให้มันเรียบร้อยแล้ว ใจอยากเอามันมาแล้วล่ะ เลยตัดสินใจว่าขอมาทั้งแม่ทั้งลูกเลยแล้วกัน ก็เสนอราคาให้พี่เขาเองหนึ่งล้าน ด้วยความรักความชอบกันส่วนตัว พี่เขาก็ให้มาทั้งคู่ ให้แม่ลูกมาอยู่ด้วยกัน”

ต่อมาอั่งเปาคลอดลูกควายสีเทาสวยอีกตัวชื่อว่า ‘แก้วมณี’ และไปๆ มาๆ ตอนนี้น้ำมีควายไทยสวยงามในครอบครองถึง 4 ตัว และมีคนมาฝากเลี้ยงไว้ในคอกอีก 2 ตัว 

“ผมไม่ได้ขายนะ มีแต่จะซื้อเพิ่ม” น้ำบอกเมื่อได้ยินคำถามที่ว่า ถ้ามีคนขอซื้อควายจะขายไหม “เราเลี้ยงเพราะรัก อย่างอั่งเปายิ่งเลี้ยงยิ่งรัก เพราะเขาเชื่อง เลี้ยงง่าย กินเก่ง แล้วก็ส่งอุปนิสัยที่ดีให้กับลูกสองตัวของเขาด้วย”

ขณะที่เดินอยู่แถวคอกควาย น้ำชี้ไปยังลานหญ้ากว้างหลายไร่หน้าบ้าน พลางเล่าว่า เขามีโครงการที่จะปลูกหญ้าเพื่อให้ควายและม้ากิน

“ผมเลี้ยงม้าของน้องชายไว้ตัวหนึ่งชื่อ ‘เศรษฐี’ เห็นเขาเล็มหญ้าจนเตียนแล้วก็คิดว่าดีเหมือนกันนะ ตอนนี้กำลังวางโครงการว่าจะปลูกเป็นแปลงหญ้าให้ทั้งควายและม้ากิน หน้าแล้งเขาจะได้ไม่ต้องไปไหน มีหญ้าให้กินได้ตลอด คนเลี้ยงก็ไม่ต้องเหนื่อย เราเลี้ยงเขาแล้วก็รัก อยากให้มีคุณภาพชีวิตดีๆ คนอื่นเขาปลูกข้าวกัน แต่ผมเลือกปลูกหญ้าก่อน เพราะข้าวผมซื้อกินได้” เขาเล่าพลางหัวเราะ

น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ

เบอร์หนึ่ง ความคิดถึง และการเป็นตัวเอง

เมื่อถามถึงชีวิตตอนนี้ น้ำบอกว่ากำลังอยู่ในจุดสมดุลที่ดี มีเวลาได้หยุดพักอยู่บ้านและไปทำงานชนิดที่แบ่งเวลาต่อสัปดาห์ได้อย่างละครึ่ง เขาเลือกที่จะไม่โหมรับงานหนักเกินไป เพื่อจะได้มีเวลาอยู่บ้านและทำอีกหนึ่งงานที่รัก ซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตไปแล้ว

“งานในวงการผมก็ทำแทบทุกอย่างแล้วนะ ทำเต็มที่และทำครบได้หมด เวลาส่งงานอะไรมา ใครไม่เอาผมเอา ผมทำได้หมด จบงานที่ผมได้ จนถึงตอนนี้ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ผมมีความสุขกับงานที่ได้ทำ คนอื่นอาจรู้สึกว่าไม่เห็นค่า ไม่ได้เห็นความสำคัญ แต่เราโอเค เราเต็มที่และมีความสุขกับทุกงาน”

ถึงตรงนี้ เราถามว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับสัจธรรมในวงการบันเทิง ที่วันหนึ่งกราฟความนิยมที่เคยพุ่งสูงสุดต้องตกลงมาตามกาลเวลา และเขาเคยเจ็บปวดกับชีวิตแบบนั้นบ้างไหม

“ผมผ่านจุดนั้นมาตั้งนานแล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จะบอกว่าไม่เคยคิดเลยก็คงไม่ใช่ แต่ผมกลับไปคิดถึงตอนที่เริ่มเรียนการแสดงว่า เราเรียนมาเพื่อเป็นนักแสดง ไม่ใช่มาเป็นดาวค้างฟ้า ไม่ได้มาเป็นซูเปอร์สตาร์ ผมเรียนทุกอย่างจากครูอาจารย์เพื่อเป็นนักแสดง 

“ดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกเสียดายที่วันหนึ่งไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่ง เพราะผมยังเป็นนักแสดงอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมยังสร้างความบันเทิง ยังเป็นตัวละครได้ ผมให้ความสำคัญว่าเราทำหน้าที่ของนักแสดงได้ดีหรือไม่มากกว่า แค่นั้นจบ เรื่องอื่นไม่ซีเรียส”

น้ำยังยืนยันว่าเขายังคงรับงานในวงการบันเทิงไปเรื่อยๆ แม้แฟนละครอาจไม่ได้เห็นผลงานถี่เท่าเมื่อก่อน แต่เขาบอกว่า “ขอให้ความคิดถึงได้ทำงานบ้างก็ดีเหมือนกัน” 

เมื่อบาลานซ์ชีวิตได้ดี น้ำก็มีเวลาทำงานที่เขาอยากทำอีกงานหนึ่ง นั่นคือการเปิดช่องยูทูบแชนแนล ชื่อว่า Nam Rapeepat นำเสนอชีวิตและตัวตนที่สนุกสนานของเขา นับจากเปิดตัวมา 6 เดือน ปัจจุบันมียอดคนติดตาม 232,000 คนแล้ว

“ผมเริ่มทำช่องกับเพื่อนเพื่อสนองความต้องการของตัวเองเหมือนกัน เมื่อก่อนเราอาจต้องสวมบทบาทต่างๆ แต่ตอนนี้เราเป็นตัวเอง อยากทำอะไรที่สบายๆ ถ่ายทอดการใช้ชีวิตจริงๆ ของเรา อะไรที่ไม่ใช่เราจะไม่ทำเลย”

น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ในวัย 35 กับ 'รพีภัทรฟาร์ม' บ้านทุ่งพร้อมชีวิตเนิบช้าในฝันที่ทำสำเร็จก่อนวัยเกษียณ

เนิบช้า สบายใจ สุขได้ทุกวัน

ตะวันคล้อย แสงแดดอ่อนทอประกาย ลมโชยพัดเย็น ภาพตรงหน้าราวกับเป็นฉากละครที่พระเอกของเรื่องกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสวยงามเนิบช้าอย่างสบายใจ ภาพนี้อาจไม่เกิดขึ้นในจริงในชีวิต หากน้ำไม่เลือกเดินตามความต้องการของตัวเอง 

 “เมื่อก่อนผมจะคุยกับเพื่อนตลอดว่า ผมเริ่มทำงานเร็ว ก็อยากทำงานสักสามสิบปี พออายุสักสี่สิบห้าก็อยากกลับมาเริ่มต้นทำอะไรที่บ้านเกิด แต่พอมีปัญหาที่เร่งเร้าทำให้ผมได้กลับมาเริ่มต้นที่นี่เร็วขึ้น อายุ สามสิบกว่าก็ได้กลับมาทำสิ่งที่เรารักแล้ว”

ตลอดการพูดคุยและติดตามดูกิจวัตรประจำวันเพียงช่วงเวลาบ่ายของวัน เรากลับสัมผัสได้ชัดว่า น้ำ รพีภัทร มีความสุข สบายใจกับวิถีชีวิตที่ปรารถนาและเป็นจริงได้ก่อนเวลาที่คาดไว้เป็นสิบปี

“ความสุขวันนี้ของผมคือการได้อยู่กับครอบครัว ได้ทำในสิ่งที่รัก ครบแล้วล่ะ ชีวิตไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันกับใคร รพีภัทรฟาร์ม ก็ทำด้วยความรัก สโลแกนคือทำด้วยใจ ผมคงไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายกว่าเดิมหรอก เอาแค่พออยู่ได้ ไม่เดือดร้อนใคร ลูกเมียผมกินอิ่ม อยากกินอะไรได้กิน ได้ไปเที่ยวไหนมาไหนบ้าง แค่นั้นเอง มีความสุขแล้ว ไม่ต้องใหญ่โตอะไร

“แค่ได้นั่งดูควายกินฟางเคี้ยวเอื้อง ผมสบายใจจนบางทีลืมเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะเลยนะ กลับจากทำงานผมต้องเดินมาที่ฟาร์มทุกวัน พอได้ดูไก่ดูควายแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย” เขาว่าพลางลูบหัวเจ้าอั่งเปา

 “คนเราบางทีกว่าจะได้มาต่างจังหวัดต้องรอวันหยุด ต้องหาโอกาสมาเที่ยว แต่ผมไม่ต้องเป็นแบบนั้นแล้ว ผมได้อยู่ต่างจังหวัดทุกวัน ได้พักผ่อน และมีความสุขทุกวันจริงๆ”

น้องมารีน ลูก น้ำ รพีภัทร

Writer

Avatar

เชิญพร คงมา

อดีตเด็กยอดนักอ่านประจำโรงเรียน ชอบอ่านพอๆ กับชอบเขียน สนุกกับการเล่าเรื่องราวรักการเที่ยวเล่น ติดชิมของอร่อย และสนใจธรรมะ

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล