พักหลัง ๆ พอชีวิตเริ่มยุ่งขึ้น ผมก็มีเวลาตามดูซีรีส์น้อยลง เลยเปลี่ยนกลยุทธ์การดูอย่างอัตโนมัติเป็นรอให้ใกล้จบหรือจบก่อน แล้วค่อย ‘ดูรวดเดียว’ แต่ไม่ใช่กับ Love & Death หรือซีรีส์ HBO แนว True Crime ที่ถึงกับรอดูทุกวีกที่ออนแอร์ ไม่ต้องบอกว่าเกี่ยวกับอะไร แค่โปสเตอร์มีใบหน้าของ Elizabeth Olsen พร้อมกับชื่อเรื่องที่สั้นแต่ดูได้ใจความ ก็หยิบปากกามากาปฏิทินตั้งแต่ได้เห็นแล้ว เหตุผลก็เพราะนี่เป็นการแสดงบทอื่นครั้งแรกของเธอในรอบ 5 – 6 ปีที่ไม่ใช่หนังมาร์เวลหรือบท Wanda Maximoff ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งคือนี่เป็นซีรีส์อาชญากรรม-ดราม่าของ HBO ที่สร้างมาจากเรื่องจริง

Love & Death เป็นมินิซีรีส์ที่มี 7 อีพีจบ เล่าเรื่องราวในเมืองเล็ก ๆ อันสงบสุขชื่อ Wylie ในรัฐ Texas ยุคปลาย 70 ต้น 80 ของ Candy Montgomery ภรรยาและแม่ลูกสองที่คบชู้กับ Allan Gore ผู้เป็นสามี Betty Gore เพื่อนสนิทของเธอ ก่อนที่เรื่องราวจะจบลงอย่างแตกสลายด้วยการที่เธอจามขวาน 41 ครั้งใส่ Betty และขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นยังไงนั้น ขอละเว้นไว้เพื่อให้ไปดูกันเอง แต่สิ่งที่ผมค้นพบหลังได้ดูอีพีแรกจนถึงอีพีสุดท้าย คือไม่ว่าจะรู้เรื่องจริงอย่างคร่าว ๆ หรือละเอียดแค่ไหน หรือแม้กระทั่งรู้ปลายทางแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้เก่งกาจในการฮุกคนดูให้เกิดอาการอยากติดตามรายสัปดาห์ด้วย ‘รายละเอียดระหว่างทาง’ ในหลาย ๆ ดีเทล ผ่านโทนการนำเสนอที่เริ่มจากโรแมนติกท้าทายศีลธรรม จนไปสู่ดราม่าแนว Courtroom ที่เข้มข้นในช่วงท้ายอย่างพร้อมเพรียง ราวกับเรา (คนดู) เป็นคณะลูกขุนในชั้นศาลที่มีอภิสิทธิ์ได้รับรู้เรื่องราวในเวอร์ชันภาพและเสียง

Love & Death จากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่สั่นคลอนแนวคิด American Dreams

เบื้องหลังความน่าดูของซีรีส์เรื่องนี้ เชื่อว่าถ้าทุกคนได้ยินชื่อของผู้สร้างก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักครับ เพราะคนคนนั้นคือ David E. Kelley ผู้เป็นเจ้าของผลงาน Crime-drama แนวสืบสวนสอบสวนที่เปี่ยมคุณภาพอย่าง Big Little Lies และ The Undoing ของ HBO กับ Nine Perfect Strangers ของ Hulu ที่ครั้งนี้มาหยิบจับเรื่องจริงและนำเสนอในยุคพีเรียดบ้าง

และอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ (จะ Mention ชื่อบ่อยในในบทความนี้) คือ Lesli Linka Glatter ที่เป็นผู้กำกับหลักของมินิซีรีส์เรื่องนี้ เธอกำกับไป 5 ใน 7 อีพี และหากสงสัยว่าเป็นใคร ทำไมการร่วมงานครั้งนี้กับ David ถึงน่าตื่นเต้น ก็เพราะว่าเธอคนนี้เป็นผู้กำกับซีรีส์ระดับเซียนที่มีผลงานตั้งแต่ Homeland, The Newsroom, The Walking Dead, Mad Men และอีกมากมายที่เมื่อรวมกันแล้วการันตีว่า เรื่องการแสดงออกของตัวละคร จังหวะและสไตล์การนำเสนอ บทสนทนา กับองค์ประกอบของความพีเรียด หายห่วงได้เลย ซึ่งเธอตื่นเต้นมากที่จะได้มาร่วมงานกับผู้สร้างคนนี้ เนื่องจากตัวเองเป็น ‘โชว์รันเนอร์ประเภทกำกับ’ ในขณะที่ David E. Kelley เป็น ‘โชว์รันเนอร์ประเภทเขียนบท’ การมาเจอกันของทั้งสองบนโรงละคร HBO จึงเป็นการส่งสัญญาณเบื้องต้นว่า จับตาดูซีรีส์เรื่องนี้ให้ดี ๆ นะ

นอกจากนี้ เรื่องแคสต์ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ซีรีส์มี Elizabeth Olsen แสดงนำ โดยเธอเป็นชอยส์แรกที่ Lesli และ David นึกถึงให้มารับบท Candy Montgomery สมทบด้วย Jesse Plemons และ Krysten Ritter (Todd กับ Jane จากซีรีส์ Breaking Bad) ในบท Allan Gore และเพื่อนสนิท Candy กับ Lily Rabe จาก American Horror Story ในบท Betty Gore ผู้เป็นผู้เคราะห์ร้ายของเรื่อง

Love & Death จากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่สั่นคลอนแนวคิด American Dreams

ซีรีส์ Love & Death บอกเล่าเรื่องราวของ Candy Montgomery เป็นครั้งที่ 3 โดย 2 ครั้งแรกคือ A Killing in a Small Town ของ CBS กับ Candy ที่ Jessica Biel รับบทนำ ของ Hulu ซึ่งเป็นความประหลาดใจไม่น้อยของทีมสร้างที่รู้ว่า Hulu เองก็กำลังทำซีรีส์เกี่ยวกับ Candy เหมือนกัน และถึงแม้ Love & Death จะคิดก่อน ถ่ายทำก่อน แต่กลายเป็นว่า Candy ถ่ายทำเสร็จก่อน และออนแอร์ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว นั่นเท่ากับว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่เพียงมีคู่แข่ง แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับฉบับก่อนหน้าหรืออีกเวอร์ชันที่คนที่ดูแล้วต่างเอ่ยปากชม

ไอเดียการสร้างซีรีส์ Love & Death ของ HBO มีต้นตอมาจาก 2 แหล่งด้วยกันครับ ทั้งหมดเริ่มมาจากตอนช่วงโควิดผู้สร้าง David E. Kelley และ Lesli ได้อ่านบทความ 2 พาร์ตที่ชื่อ Love and Death in Silicon Prairie ในหนังสือพิมพ์ Texas Monthly หลังจากอ่านจบ ทั้งคู่พบว่าน่าสนใจมากว่าจากการคบชู้มาลงเอยด้วยการนองเลือดได้อย่างไร หรือคดีฆาตกรรมนี้สั่นคลอน Wylie เมืองเล็ก ๆ อันสงบสุขที่ไม่เคยเกิดคดีฆาตกรรมร้ายแรงเช่นนี้อย่างไรบ้าง

พออ่านไปก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องจริงเรื่องนี้ยิ่งกว่านิยาย จึงตัดสินใจทีมอัปกันเพื่อสร้างซีรีส์เรื่องนี้ ใขขณะที่ HBO ซื้อลิขสิทธิ์เพื่อดัดแปลงจากบทความนี้โดยนำชื่อ Love & Death มาใช้เป็นชื่อซีรีส์ แต่ทีนี้พอเนื่องจาก Candy Montgomery ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ที่ไหนเลย ทั้งสองจึงต้องรีเสิร์ชจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ นั่นคือ Evidence of Love: A True Story of Passion and Death in the Suburbs เขียนโดย John Bloom และ Jim Atkinson นี่เป็นหนังสือเล่มเดียวที่ครอบครัว Montgomery และ Gore มาให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งค่อนข้างละเอียดเป็นอย่างมาก ครอบคลุมไปถึงเนื้อหาในอดีตอย่างแฟนตอนเด็ก หนังสือโปรด และอีกหลายประเด็นที่แม้จะไม่ได้นำมาใช้ในเรื่อง แต่ก็ช่วยเสริมสร้างคาแรกเตอร์ได้ลึกมากขึ้น รวมถึงเข้าใจตัวละคร Candy กับเรื่องที่เกิดขึ้น (ในมุมมองของเธอ) ได้มากขึ้นเช่นกันครับ

Love & Death จากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่สั่นคลอนแนวคิด American Dreams

ทั้งสองคนตั้งใจและมองว่าเป็นความรับผิดชอบที่จะเล่าเรื่องราวให้เป็นกลางที่สุด เพื่อให้เกียรติผู้เสียชีวิตและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งคู่พัฒนาบทร่วมกัน และใช้ประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนี้รวมกันกว่า 50 ปีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยโฟกัสไปที่การเขียนบทประเภท Character-driven หรือขับเคลื่อนด้วยตัวละคร มากกว่าโฟกัสไปที่ความ Crime-driven หรือแค่โฟกัสไปที่ตัวคดีกับขายความเป็นเรื่องจริง เนื่องจากต้องการให้ใจความของซีรีส์ตั้งคำถามไปยังภาพใหญ่ของสังคมอเมริกัน

เมื่อเป็นเช่นนั้น เทคนิคที่ผู้สร้างและผู้กำกับใช้คือถ่ายฉากร้องเพลงในโบสถ์ร่วมกันก่อน เพื่อให้นักแสดงทำความรู้จัก คุ้นเคย และคุ้นชินกันในเบื้องต้น หรือเริ่มสร้างโลกที่ให้ความรู้สึกเพอร์เฟกต์จากตรงนี้ ก่อนจะกระจายไปเล่าว่าชาวเมือง Wylie คนหนึ่งที่ดูสุดแสนจะเพอร์เฟกต์ ใช้ชีวิตตามระเบียบหรือค่านิยมสมัยนั้นทุกอย่าง แต่งงานในวัย 20 มีลูก มีบ้าน มีครอบครัวที่ดูอบอุ่น ทำอาหารแสนอร่อยน่ากิน ชีวิตดูเติมเต็มแล้ว แต่ทำไมถึงยังมีรูใหญ่ ๆ ในหัวใจที่ยังเติมเต็มไม่ได้อีก และสิ่งที่เธอเลือกทำทั้งหมดก็เพื่อเติมเต็มรูที่ว่านี้

และสิ่งที่ทำให้ Love & Death น่าสนใจ ก็คือการเลือกฉีกไปจากต้นฉบับในเชิงโปรดักชัน หรือเลือกที่จะไม่เดินตามซีรีส์ Candy ที่ออนแอร์ไปก่อน กับเมินลุคจริงของ Candy Montgomery แต่เน้นไปที่การตีความในแบบของตัวเอง แน่นอนครับว่าทั้งสองคนเลือกที่จะไม่ดูซีรีส์ Candy แต่ก็กล้าพอสมควรที่ตัดสินใจเปลี่ยนลุคของ Candy ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมไม่ให้เหมือนตัวจริง และทั้งหมดก็เพื่อการตีความให้เหมาะกับเนื้อเรื่องที่สุดตามความเห็นของทั้งสองคนที่มีต่อบุคคลและเหตุการณ์นี้ 

แต่ถึงอย่างนั้น หลาย ๆ อย่างก็มีการเนรมิตจนแทบจะเป๊ะกับภาพในข่าว อย่างเช่นพร็อปในฉากห้องซักรีดที่ Betty Gore ถูกสังหาร ซีรีส์ก๊อบปี้อย่างลงรายละเอียดจากคำให้การของ Candy เพื่อให้ตรงนี้สมจริงที่สุด ไหนจะลิสต์ทำ / ไม่ทำที่ Candy กับ Allan ทำขึ้นมาจริง ๆ เพื่อขีดเส้นความสัมพันธ์ของทั้งสองให้เป็น FWB อย่างมืออาชีพที่สุด ส่วนโลเคชันก็เลือกถ่ายที่เมืองเล็ก ๆ อย่าง Austin ในรัฐเดียวกัน เพราะที่นั่นค่อนข้างให้ไวบ์ยุค 70 ของเมือง Wylie ในขณะที่เมืองจริง ๆ ขยายขนาดจนแทบจำไม่ได้แล้ว และยังใช้คนในท้องที่มาแสดงเป็นเอ็กซ์ตร้าด้วย หรือแม้กระทั่งความแม่งยำในการว่าความและชั้นศาล ซีรีส์ก็มีเพื่อนทนายตัวจริงของ Don Crowder ตัวละครสำคัญในเรื่อง ผู้เป็นทนายความผู้ว่าความคดีนี้ให้กับ Candy มาเป็นที่ปรึกษาเพื่อความสมจริงด้วยครับ (เขาถึงกับชมใหญ่ว่า Tom Pelphrey คนที่รับบทนี้เล่นดีมาก และว่าความปกป้อง Candy เก่งกว่า Don ในเหตุการณ์จริงซะอีก)

Love & Death จากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่สั่นคลอนแนวคิด American Dreams

สาเหตุที่ Elizabeth Olsen เป็นชอยส์ที่น่าสนใจ ก่อนเป็นเหตุผลของผู้สร้างกับผู้กำกับ ขอแสดงความเห็นสักนิดก่อนว่า การที่นักแสดงคนนี้แจ้งเกิดใน Martha Marcy May Marlene หนังเรื่องแรกเมื่อปี 2011 น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอครับว่าก่อนมารับบทเป็นแม่มดแดงใน MCU เธอเคยยอดเยี่ยมแค่ไหน Elizabeth ในเรื่องนี้เล่นเป็นคนมีปัญหาทางจิต มีความทรงจำเลวร้าย เจ็บปวดทางใจ และหวาดระแวง หลังจากหนีออกมาจากลัทธิประหลาด การที่เธอตีบทตัวละครที่ซับซ้อนนี้ได้ตั้งแต่เรื่องแรก ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะโผล่มาจ๊ะเอ๋ในใจผู้สร้าง 

ทั้งสองคนให้เหตุผลที่เลือก Elizabeth Olsen ว่า เธอเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในการรับบทตัวละครที่มีเงื่อนไขของความเป็นมนุษย์ละเอียดและซับซ้อน และเป็นนักแสดงที่ดึงคนดูให้มาเห็นภาพที่อยู่ด้านหลังของดวงตาตัวละคร Candy Montgomery ได้ หลังจาก Elizabeth อ่านบท เธอก็สนใจทันที และพบว่าบทนี้คือการสำรวจเลเยอร์ที่ซับซ้อนของตัวละครหญิง เป็นตัวอย่างของคนที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจด้วยแรงกระตุ้นบางอย่าง ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือเธอเป็นคนตัดสินคน ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนคนนั้น นั่นทำให้เธอเปิดใจและทำความเข้าใจตัวละครกับการแสดงได้อย่างลึกซึ้ง จากข้างในสู่ข้างนอก 

เพราะคำถามไม่ใช่ว่า “เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไร” แต่เป็น “ทำไมมันถึงเกิดขึ้น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นในยุคที่ American Dreams ถูกตั้งคำถามและถูกสั่นคลอนโดยการเคลื่อนไหวของกลุ่มสิทธิสตรี ในขณะที่เมือง Wylie กาลเวลาและค่านิยมยังคงถูกแช่แข็ง

Love & Death จากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่สั่นคลอนแนวคิด American Dreams

ซีรีส์ Love & Death ตรงไปตรงมาด้วยฉากปิดอีพีแรกที่ Elizabeth Olsen อาบน้ำ ก่อนคัตไปที่เธออาบน้ำเหมือนกัน แต่หลังจากเพิ่งจามขวานใส่ใครบางคนไป 41 ครั้ง นี่คือการเผยธีมเรื่องอย่างชัดเจน ก่อนจะพาไปรู้จักกับตัวละคร Candy จากข้อมูลทั้งหมดที่ผู้สร้างและผู้กำกับรีเสิร์ชมาว่า ความเพอร์เฟกต์ของคอมมูนิตี้นี้มีการนองเลือดได้อย่างไร

เรื่องนี้จะแตกต่างจาก Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story ของ Netflix ตรงที่แทนที่จะเลือกเล่าตั้งแต่วัยเด็ก ซีรีส์เจาะตรงหรือขยี้เน้น ๆ ไปที่ความสมบูรณ์แบบที่ว่างโหวงของสถานการณ์ปัจจุบันในชีวิต Candy ทั้งในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ภรรยา แม่ของลูก สมาชิกโบสถ์คริสต์ และชาวเมือง Wylie บทบาททั้งหมดนี้ทำให้คนคนหนึ่งอัดอั้น ซึ่งสะท้อนไปยังค่านิยมสมัยนั้นที่ตีกรอบว่า ชีวิตที่ได้แต่งงาน (ทั้งที่คู่รักไม่จำเป็นต้องดี เข้ากัน หรือรักกันขนาดนั้น) = ชีวิตที่สมบูรณ์แล้ว ความขัดแย้งภายในใจนี้นำไปสู่การตัดสินใจตอบสนองอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ที่ไม่อาจหวนกลับอย่างรู้ตัว แต่คาดไม่ถึงว่าอะไรคือผลลัพธ์ที่จะตามมา 

ความสัมพันธ์ของ Candy Montgomery และ Allan Gore บอกเล่าโดยไม่ได้นำเสนอว่านี่คือการคบชู้หรือนอกใจ แต่เป็นเรื่องของคนสองคนที่มองเห็นและได้ยินกันและกัน อย่างที่จะเห็นว่า Candy ไม่ได้เลือกหนุ่มหล่อหนุ่มฮอต แต่เลือกสามีเพื่อนที่เธอเห็นแล้วรู้ว่าเป็นคนที่ใช่ และมีมากกว่าเรื่องเซ็กซ์ก็คือความอบอุ่นทางใจ (อย่างที่บางครั้งทั้งสองจะนัดไปคุยกันเฉย ๆ) ซึ่ง Lesli เผยว่าตั้งใจแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ที่เป็นไปในเชิง ‘ไร้เดียงสา’ และดูเป็นความรักของวัยละอ่อนเหมือนเด็กไฮสกูลที่เพิ่งเดตกันครั้งแรก 

Love & Death มินิซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่ตั้งคำถามและสั่นคลอนแนวคิด American Dreams

แต่ถึงจะเล่าผ่าน Candy เป็นหลัก และเย้าแหย่คนดูด้วยเจาะลึก Anatomy ของการนอกใจด้วยการแฝงแบบทดสอบศีลธรรมว่าจะเห็นดีเห็นงามหรือไม่กับการคบชู้ครั้งนี้ แต่มุมมองที่ซีรีส์เล่าก็เป็นความพยายามพูดถึงเหตุการณ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายแง่มุม และซีรีส์ก็ทำได้ดีในการไม่ได้ Romanticize หรือมีน้ำเสียงโน้มน้าวให้คนดูรู้สึกทางบวกหรือลบต่อการกระทำ ความคิด หรือการนอกใจ แต่มองอย่างใจเป็นกลางและมองถึงโอกาสความเป็นไปได้อื่นด้วยเช่นกัน จากการเว้นช่องว่างให้คนดูตั้งคำถามหรือคิดกับมันมากกว่า 1 ครั้ง 

นั่นก็เพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วเล่าจาก Point of View ของ Candy Montgomery ซึ่งเป็นความตั้งใจของผู้สร้างและผู้กำกับแต่แรกอยู่แล้ว เนื่องจากเราไม่เคยได้รู้มุมมองของ Betty เพราะเธอไม่ได้มีชีวิตอยู่ให้เล่า หรือยังไงก็ไม่ได้มีทางรับรู้เรื่องราวแบบหนัง Rashomon ที่มีผีมาเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกฆ่า และนอกจากนี้ Love & Death ยังไม่ได้นำเสนอตัวละคร Betty ผู้เป็นเหยื่อในแง่ว่าเธอสมควรเจอกับอะไรแบบนี้ แต่ยังขยายมิติตัวละครด้วยการใส่ความซับซ้อนเข้าไปหลังจากอ่านเจอว่าเธอใช้ชีวิตสนุกสนานจนกระทั่งแต่งงานตอนอายุประมาณ 19 ซึ่งผู้กำกับ Lesli วิเคราะห์ว่า มีโอกาสที่เธอจะเป็นไบโพลาร์จากเรื่องนี้ครับ

Love & Death มินิซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่ตั้งคำถามและสั่นคลอนแนวคิด American Dreams

อีกเรื่องที่อยากพูดถึง คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Love & Death ออกมาดูพอเหมาะพอดี คือการเป็น Limited Series ที่ไม่ยาวหรือไม่สั้นเกินไป 7 ตอนกำลังดี สำหรับผู้สร้างและผู้กำกับ ทั้งสองมองว่านี่เป็นเหมือนหนังยาว 3 เรื่องที่มีแนวทางแตกต่างกัน ปนตลกอ่อน ๆ บ้าง โรแมนติกบ้าง ดราม่า Courtroom บ้าง ซึ่งการเป็นมินิซีรีส์ทำให้เรื่องราวนี้มีต้น กลาง ปลาย ค่อนข้างชัด โดยมีเรื่องราวซอยยิบย่อยเป็นเหมือนบทหนึ่งในนวนิยายอีกด้วย

นั่นเป็นสาเหตุให้องก์ที่เข้มข้นที่สุดในเรื่องเกิดขึ้นจากการปูมาทั้งหมดสู่เนื้อเรื่ององก์ท้ายของหนังใหญ่ ซึ่งเล่าเกี่ยวกับคดีความ การสู้คดี และการโน้มน้าวลูกขุน (ที่มีสถานะเท่ากับคนดู) ในชั้นศาลอย่างดุเดือด โดยเฉพาะอย่างหลัง เป็นหนึ่งในส่วนที่ผมรู้สึกอินที่สุดจากทั้งหมด ซึ่งเพิ่งมารู้ภายหลังว่าสร้างจากบท 20 หน้า และใช้การถ่ายทำที่แหวกแนว คือถ่ายเพียง 1 – 2 เทก ให้ทุกคนนั่งรวมกันในห้องนั้นแล้วถ่ายทำรวดเดียว ให้รีแอ็กชันของทั้งตัวละครและเอ็กซ์ตร้าดูอิน ตัดสลับกับการ Close-up ใบหน้า Candy เพื่อเป็นรีแอ็กชันสื่ออารมณ์ ทำให้ถึงแม้จะรู้ปลายทางก็ยังอดลุ้นด้วยไม่ได้เลยครับ

Love & Death มินิซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงของการคบชู้ สู่คดีสังหารโหดที่ตั้งคำถามและสั่นคลอนแนวคิด American Dreams

“สำหรับฉัน การกระโดดไปจับงานที่ดัดแปลงจากคดีที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น แต่ฉันสนใจมากกว่าว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น คนพวกนี้เป็นใคร และคดีฆาตกรรมที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ที่สุด ฉันต้องการทำซีรีส์ที่ในแง่หนึ่งสวยงามและเต็มไปด้วยความชนบทในผิวชั้นเปลือกของมัน แต่ข้างใต้นั้นเต็มไปด้วยเทกซ์เจอร์ที่ซับซ้อนมากมาย เหมือนรั้วอันสวยงามที่ผิวลอก และการได้เห็นทั้งสองด้านนั้นคือการสร้างรอยร้าวให้กับแนวคิด American Dreams” Lesli Linka Glatter กล่าวถึงแนวคิดในการปั้นซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งผมขอเสริมด้วยครับว่า แม้เรื่องนี้จะเป็น True Crime แต่ทั้งหมดเป็นการพูดถึง ‘ระบบ’ ตั้งแต่ใหญ่ลงไปย่อยอย่างมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ตั้งแต่แนวคิด ระบบสังคม อุดมคติของการใช้ชีวิตและชีวิตครอบครัว ปัจจัยหล่อหลอมแต่ละบุคคลอย่างน่าตั้งคำถาม ไปจนถึงเรื่องของคำพูดกับความจริงด้วยเช่นเดียวกัน

มินิซีรีส์ Love & Death ทั้ง 7 อีพีดูได้ที่ HBO คาดว่าหลายคนดูจบแล้วจะอยากดูเรื่องอื่นของผู้สร้าง David E. Kelley อีก และน่าจะเห็นตรงกันว่า อยากเห็น Elizabeth Olsen รับบทที่หลากหลายมากขึ้น เพราะจากการแสดงในเรื่องนี้ ถือว่ามีลุ้นรางวัลบนเวทีลูกโลกทองคำกับ Emmy Awards สูงเลยทีเดียวครับ

ข้อมูลอ้างอิง
  • www.hollywoodreporter.com
  • www.elle.com
  • www.youtube.com
  • www.harpersbazaar.com
  • www.vanityfair.com
  • collider.com

Writer

Avatar

โจนี่ วิวัฒนานนท์

แอดมินเพจ Watchman ลูกครึ่งกรุงเทพฯ-นนทบุเรี่ยน และมนุษย์ผู้มีคำว่าหนังและซีรีส์สลักอยู่บนดีเอ็นเอ