“ร้านหนังสืออิสระเหรอ เราว่ามันเป็นร้านหนังสือที่สะท้อนอุปนิสัยของเจ้าของร้านนะ”
หมอมิ้น-นายสัตวแพทย์พงษ์ประสิทธิ์ พงษ์พิจิตร ไขใจความของธุรกิจร้านหนังสือที่มี ‘อิสระ’ ต่อท้าย ประกอบคำอธิบายเพิ่มเติมว่า ร้านหนังสืออิสระแนวนี้บางแห่งมีบาร์เครื่องดื่มให้จิบแกล้มอักษร บางร้านมีบริการที่พักพร้อมอาหารเช้า หรือบ้างหากไม่อยากไปเสียเที่ยวต้องโทรนัดก่อนล่วงหน้า เรียกได้ว่าจะอิสระหรือมีกติกาแค่ไหน อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของตัวเจ้าของเองล้วนๆ
ไม่ต่างจาก Little lovely bookshop ร้านหนังสืออิสระแห่งเดียวในจังหวัดลำปาง ที่ไม่เพียงจัดสรรเวลาให้บริการเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ยังแอบซ่อนตัวอยู่ในคลินิกรักษาสัตว์ ซึ่งหมอมิ้นตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความรัก สำหรับเป็นพื้นที่พักพิงของหนังสือที่รอนักอ่านมาค้นพบ และเซฟโซนของนักอ่านที่อยากปลีกมาใช้เวลาไปกับการอ่านที่รัก
บทที่ 1
หมอนักอ่าน
เกิดและเติบโตท่ามกลางชั้นหนังสือและแผงขายนิตยสาร ธุรกิจร้านหนังสือเช่าเล็กๆ ของแม่ ในย่านตลาดอัศวิน จังหวัดลำปาง เปรียบได้กับโอเอซิสแห่งการอ่านที่บ่มเพาะความเป็นหนอนหนังสือของหมอมิ้นมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งย่างสู่วัยมัธยม หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเล่มโปรด อย่าง ยุ่งชะมัด…เป็นสัตวแพทย์ ของ โนริโกะ ซาซากิ (Noriko Sasaki) รวมถึงสารพันเรื่องราวชีวิตแสนเพลิดเพลินของสัตวแพทย์ประจำชนบทแถบมณฑลยอร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ ที่บอกเล่าผ่านปลายปากกาของ เจมส์ เฮอร์เรียต (James Herriot) ได้กลายเป็นเสมือนเพื่อนสนิทและครูแนะแนวส่วนตัวที่ชี้ให้เห็นความน่าสนใจของหลักสูตรการพยาบาลสัตว์ พร้อมจุดประกายให้เขามุ่งมั่นขัดเกลาความรู้ จนสอบติดคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ช่วงชีวิตนักศึกษาได้ขยายโลกการอ่านออกสู่สายธารวรรณกรรมเพื่อชีวิตตามยุคสมัย อีกทั้งการได้พบปะสังคมการอ่านใหม่ๆ ยังมีส่วนให้เขาตัดสินใจโยกย้ายตัวเองหลังเรียนจบ มาปักหลักเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นสัตวแพทย์อาชีพในคลินิกของรุ่นพี่ที่เชียงใหม่ เมืองสงบซึ่งอบอวลไปด้วยนิเวศสร้างสรรค์สำหรับนักอ่าน เขาขลุกอยู่กับหนังสือทุกเย็นหลังเวลาเลิกงาน และสนุกสนานยามได้แลกเปลี่ยนสมาคมกับคนทำหนังสือมากมาย
บทที่ 2
ไอเดียบรร (ณ) เจิด
การทำงานอันเข้มข้นตลอดระยะ 2 ปี เติมเต็มความมั่นใจให้หมอมิ้นกล้ากลับบ้านเกิดมาเปิด ‘คลินิกบ้านรักษาสัตว์’ สัตวแพทย์หนุ่มเทหมดหน้าตักให้กับความใฝ่ฝัน ก่อนผุดไอเดียทำร้านหนังสืออิสระ จากการเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่จำหน่ายหนังสือในลำปางที่ทั้งขาดบรรยากาศและความหลากหลาย
“พอร้านหนังสือรายย่อยต่างๆ ทยอยปิดกิจการ เราก็สังเกตเห็นว่า ทิศทางของหนังสือที่วางขายตามร้านใหญ่ๆ ในลำปางส่วนมากเป็นพวกหนังสือแฟชั่น หรือประเภทเน้นขายเร็วเพื่อทำยอด ไม่ค่อยมีหมวดวรรณกรรมหรือผลงานของนักเขียนหน้าใหม่สักเท่าไร แต่ด้วยความที่ชื่นชอบเลยอาศัยเดินทางไปอุดหนุน ‘ร้านเล่า’ เชียงใหม่แทบทุกสัปดาห์ จนกระทั่งมีลูกก็หาเวลาปลีกตัวค่อนข้างยาก ตอนนั้นเองจึงเริ่มมีความคิดว่าอยากทำร้านที่มีพื้นที่สำหรับหนังสือกลุ่มนี้ขึ้นมา”
หลังออกสำรวจทำเลสวยๆ ทั่วเมือง คุยเรื่องสัญญาและค่าเช่าแสนยุ่งยาก หมอมิ้นก็พบคำตอบว่า ไม่มีตรงไหนจะเหมาะไปกว่าพื้นที่ที่ดูแลจัดการได้ด้วยตนเอง ประกอบกับหลายปีก่อนหน้านี้ เขามีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นแล้วเห็นไอเดียการทำร้านหนังสือในห้องใต้หลังคาโรงนา รวมถึงเจอะแรงบันดาลใจจาก ร้านหนังสือเล็กๆ จังหวัดสงขลา จึงสรุปได้ว่า ไม่ใช่ทำเลทอง แต่ร้านหนังสือเป็นเรื่องของความพึงใจระหว่างนักอ่านกับคนขาย
สุดท้ายร้านหนังสือ Little lovely bookshop จึงก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบนชั้นลอยในคลินิกบ้านรักษาสัตว์ ด้วยความรักและความตั้งใจอยากให้ที่นี่เป็นเสมือนแหล่งพิงพักของบรรดาหนังสือจากสำนักพิมพ์น้อยใหญ่ที่รอคอยนักอ่านมาพบ และรังเล็กๆ อันผ่อนคลายให้หนอนหนังสือได้ใช้เวลาอย่างเบิกบาน
บทที่ 3
ร้านหนังสือเพื่อชีวิตชีวา
ถัดจากเคาน์เตอร์ต้อนรับและผนังประดับโปสเตอร์กายวิภาคและสายพันธุ์ต่างๆ ของสัตว์เลี้ยงแสนรัก เป็นทางบันไดแคบทอดตัวสู่ร้านหนังสือบรรยากาศอบอุ่น ราวกับหลุดเข้าไปในดาวเคราะห์ดวงน้อยสีฟ้าสดใส ท่ามกลางพลเมืองหนังสือหน้าตาเป็นมิตรกำลังส่งรอยยิ้มเชื้อเชิญ
สำหรับบรรดาหนังสือที่รายล้อมรอบร้าน หมอมิ้นมีเกณฑ์การคัดเลือกง่ายๆ คือ
หนึ่ง เป็นหนังสือแนวที่ตนเองชื่นชอบ
สอง ต้องสร้างสรรค์และให้พลังบวกต่อสังคม เพราะเมื่อเป็นเรื่องที่ตนเองถนัด ก็จะช่วยให้สื่อสารกับนักอ่านได้ดีกว่า ดังนั้นหนังสือส่วนใหญ่จึงจัดอยู่ในหมวดวรรณกรรมแปล วรรณกรรมไทย ปรัชญา ศาสนา และที่สะดุดตามากสุดเห็นจะเป็นหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็กและวรรณกรรมเยาวชน ซึ่งนอกจากมีความหลากหลายแล้ว ยังถูกจัดวางไว้บริเวณต้นร้าน เป็นหมวดแรกๆ ที่นักอ่านจะได้เจอเมื่อก้าวเท้าขึ้นมา
“จริงๆ เพื่อนที่ทำร้านหนังสือเคยแนะนำว่า หนังสือพวกนี้ต้องเอาไปไว้มุมด้านในสุด เพราะถ้ามีคุณพ่อคุณแม่พาลูกๆ มา จะได้เดินผ่านชั้นอื่นๆ ก่อน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย แต่เรากลับมองว่า อยากให้เด็กเจอสิ่งที่ชอบเลย ขึ้นมาถึงปุ๊บก็สนุกปั๊บ พอมันหยิบจับง่าย คุณพ่อคุณแม่ก็อาจได้ลองอ่านเล่นกับลูก เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ซึ่งเราตั้งใจสนับสนุนตรงนี้อยู่แล้ว”
หมอมิ้นอมยิ้ม ก่อนเสริมต่อว่า “อย่างเวลามีบางบ้านแวะเอาลูกมาฝากไว้เพราะเขาติดธุระประเดี๋ยวประด๋าว เราก็ยินดีและปล่อยเด็กตามสบายไม่ยุ่ง อาจมีขึ้นไปแอบส่องดูบ้าง ก็จะเห็นภาพพี่น้องหยิบนิทานมาอ่านให้กันฟัง น่ารักดี แล้วเราก็รู้สึกแฮปปี้นะที่ทุกคนเห็นที่นี่เป็นพื้นที่ปลอดภัย”
แม้พื้นที่ร้านค่อนข้างกะทัดรัด ทว่าฟากหนึ่งนั้นถูกแบ่งไว้สำหรับชุดโต๊ะเก้าอี้ เพื่อให้นักอ่านได้มีสิทธิ์ใช้เวลาทำความรู้จักกับหนังสือ
“เรามักบอกลูกค้าทุกคนเสมอว่า ทุกเล่มหยิบอ่านได้ตามสบายเลยนะ เพราะบางคนไม่ใช่นักอ่านตัวยงหรือบังเอิญแวะผ่านมา หากได้ลองพลิก ลองใช้เวลากับมันสักพัก ก็อาจจะเจอเล่มที่ใช่ ไม่แน่ว่าต่อไปเขาอาจกลายเป็นคนรักการอ่าน ซึ่งมันดีสำหรับเขา และเราเองก็หวังให้เกิดตรงนั้น” เหนืออื่นใดหมอมิ้นเน้นย้ำ “สิ่งนี้หมายถึงการให้เกียรตินักอ่านด้วย”
บทที่ 4
หนังโรงเล็กในร้านหนังสือ
ปัจจุบัน Little lovely bookshop อายุครบ 7 ขวบแล้ว และมีลูกค้าขาประจำรวมถึงลูกหน้าใหม่ที่ติดตามมาจากช่องทางออนไลน์ และการเข้าร่วมกิจกรรม Book Passport (หนังสือเดินทางร้านหนังสือ) แวะเวียนมาอุดหนุนสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นแฟนคลับหนังสือสันม่วงของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ ซึ่งเรียงรายแน่นชั้นหนังสือใหญ่สุดและอยู่คู่ร้านมาตั้งแต่ยุคตั้งไข่ ตลอดจนหนังสือเกี่ยวกับการบำบัดหรือปรับตัวเข้ากับสังคมที่มีความตึงเครียด และประเภทจิตวิทยาการเลี้ยงลูกเชิงบวก ซึ่งพักหลังได้รับความสนใจมากขึ้น
“ร้านเราได้ลูกค้าท้องถิ่นเยอะกว่าต่างถิ่นนะครับ แต่ว่าลูกค้าประจำก็ยังมีไม่ถึงหลักร้อย โชคดีและอาจเป็นข้อดีอย่างหนึ่งก็ได้ที่เราเลือกเปิดร้านในพื้นที่ของตัวเอง ทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนเรื่องค่าเช่า ร้านเราจึงอยู่ได้เรื่อยๆ ทุกวันนี้เราไม่เคยนั่งนับเลยนะว่าเดือนหนึ่งได้กำไรเท่าไหร่ เพราะถือว่ามีคลินิกรักษาสัตว์เลี้ยงร้านหนังสืออยู่ จึงไม่ได้คาดหวังเรื่องทำยอดขาย แค่ทำบัญชีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายกับทางสำนักพิมพ์เท่านั้น
“อีกอย่างกลุ่มลูกค้าเราไม่แน่นอนด้วยครับ บางคนซื้อเยอะ บางคนซื้อน้อย แล้วหนังสือเดี๋ยวนี้บางทีมันจัดเป็นของฟุ่มเฟือยเหมือนกันนะ เพราะบางเรื่องหาอ่านได้ในโลกออนไลน์ ฉะนั้น เราถือว่าถ้าเขามาอุดหนุนหรือจะแค่มานั่งอ่าน มันก็ดีมากๆ แล้วล่ะ อย่างน้อยหนังสือก็ถูกเปิดอ่าน ส่วนถ้ามีสำนักพิมพ์ไหนมาฝากวาง เราจะบอกตามตรงว่าการันตีไม่ได้นะว่าจะขายให้ได้มากหรือน้อย แต่สัญญาว่าจะคอยสลับหมุนออกมาให้นักอ่านเห็น และดูแลรักษาสภาพหนังสือให้อย่างดีที่สุด”
หมอมิ้นยืนยันคำเดิมว่า ทำเลลับตาหาใช่อุปสรรคสำหรับคนรักหนังสือ เพราะต่อให้ร้านจะลึกลับซับซ้อนแค่ไหน หากเป็นหนังสือที่ใช่ นักอ่านก็จะดั้นด้นออกตามหา ยิ่งยุคนี้มีสื่อโซเชียลช่วยเพิ่มช่องทางการขายและประชาสัมพันธ์อีกทาง จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล สำคัญคือร้านจะต้องคัดสรรหนังสืออย่างใส่ใจ กำหนดหมวดหมู่และวางตัวตนให้ชัดเจน
นอกจากนี้ หมอมิ้นยังมีไอเดียใหม่ๆ มาแต่งแต้มบรรยากาศครึกครื้นให้กับร้าน ด้วยการแปลงโฉมรังของหนอนนักอ่านให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับคนรักหนังสารคดี
“เมื่อก่อนเราจัดงานเสวนาเยอะนะ แต่มีความรู้สึกว่าคนลำปางไม่ค่อยชอบกิจกรรมเชิงแอคทีฟ อะไรที่เขาต้องแลกเปลี่ยน หรือนำเสนอตัวเองจะมาเข้าร่วมน้อยมาก จึงลองขยับมาทำกิจกรรมฉายหนัง โดยติดต่อไปทาง Documentary Club แล้วจัดระบบจองตั๋วง่ายๆ ผ่านทางเฟซบุ๊ก พร้อมกับเปลี่ยนร้านหนังสือเป็นโรงหนังเฉพาะกิจที่รองรับคนดูได้รอบละประมาณสี่ถึงหกคน ปรากฏว่าผลตอบรับออกมาดีเกินคาด เลยจัดฉายต่อมาเรื่อยๆ
“กระทั่งช่วงก่อน COVID-19 ระบาด เราทำ Little Doc.Film Fest เทศกาลหนังสารคดีเล็กๆ รวมเอาหนังที่เคยจัดฉายทั้งหมดกว่าสิบสามเรื่อง มาฉายให้ชมตลอดสองเดือน นี่ก็เป็นอีกงานที่สนุกสนานมากเหมือนกัน เพราะมีทั้งทีมงานจาก We Market Lampang มาเหมาโรงดูเรื่อง อัศจรรย์ตลาดปลาสึคิจิ (Tsukiji Wonderland) เพื่อเก็บเป็นไอเดียไปต่อยอดเแนวทางจัดการตลาดชุมชน หรืออย่างหนังเรื่อง โรงเรียนริมป่า (Childhood) ที่พูดถึงการศึกษาตามวิถีธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ ก็มีคุณพ่อคุณแม่จูงลูกหลานมาดูกันคึกคัก เรื่องนี้ฉายไปสิบสองรอบและเต็มทุกรอบ เป็นโมเมนต์ที่น่ารักและอบอุ่นสุดๆ ตอนนั้นในใจเรายิ้มไม่หุบเลย”
สำหรับใครที่พลาดเข้าร่วมกิจกรรมในวันนั้น หมอมิ้นบอกว่า สามารถแวะมาเลือกอุดหนุนแผ่นดีวีดีของ Documentary Club กลับไปดูกันได้ มีวางจำหน่ายที่ร้านพอประมาณ ส่วนนักอ่านท่านใดอยากหาเพื่อนคอเดียวกัน ตอนนี้ทางร้านก็กำลังจัดกิจกรรมบุ๊กคลับออนไลน์ 99Book Club (#B99K) ชวนนักอ่านเฟ้นหนังสือเล่มโปรดของตัวเอง ตั้งแต่ 9 – 99 เล่ม มาแบ่งปันกันอ่าน โดยมีค่ายืมครั้งละ 99 บาท เพื่อสร้างสังคมการอ่านที่หลากหลาย เอื้อเฟื้อต่อกัน และได้สนุกกับโลกของหนังสือมากยิ่งขึ้น
ส่งท้าย
ย้อนกลับไปวัยเด็กชาย ความหลงใหลในหนังสือของหมอมิ้นมีจุดเริ่มต้นเล็กๆ มาจากการพลิกดูรูปภาพในนิตยสารที่ส่งมาวางบนแผงหน้าร้านหนังสือเช่าของแม่ทุกเช้า ก่อนมวลความสุขจะค่อยๆ พองโต เมื่อพ่อแม่เปิดโอกาสให้เขาช่วยคัดหนังสือเข้าร้าน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามีสิทธิ์เลือกอ่านและได้พบเจอสิ่งที่ตนเองรัก
“ตอนนี้ผมก็ยังเป็นแบบนั้นนะ” เขาหัวเราะ เมื่อถูกถามถึงความสุขในการทำร้านหนังสืออิสระวันนี้
“มันมีความสุขตั้งแต่ตอนได้เห็นหนังสือก่อน ได้เลือกหนังสือเข้าร้าน ได้อ่านเนื้อหาย่อที่เซลล์ขายหนังสือส่งมาแล้วพบว่าบางเล่มมันว้าว ได้มีโอกาสพบเจอและพูดคุยกับคนที่ชอบสิ่งในเดียวกัน หรือแม้แต่เห็นเด็กๆ นั่งอ่านนิทาน หัวเราะคิกคักในร้าน เพราะเราอยากเป็นเพียง ‘ร้านหนังสือเล็กๆ ที่รัก’ ของนักอ่าน แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วครับ”
5 เล่มบันดาลใจของหมอมิ้น
- โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง, Kuroyanagi Tetsuko
- คืนวันอันแสนงาม ย่า อิลิโก อิลลาเรียน และผม, Nodar Dumbadze
- สิ่งประดิษฐ์สุดเพี้ยนของตาตุและปาตุ, Aino Havukainen and Sami Toivonen
- หนังสือ/เมืองเล็ก/ความรัก นักอ่านชาวโบรกเคนวีลแนะนำ, Katarina Bivald
- ผมเรียกเขาว่าเน็กไท, Milena Michiko Flašar
Little lovely bookshop
ที่ตั้ง : เลขที่ 43/20 ถนนท่าคราวน้อย ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำปาง 52100 (แผนที่)
วัน-เวลาทำการ : ทุกวันพฤหัสบดี-เสาร์ เวลา 9.00 – 18.30 น.