ถนนเฟื่องนครสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2406 ถนนสายนี้เริ่มต้นจากแยกสี่กั๊กพระยาศรีเชื่อมต่อกับถนนเจริญกรุง และสิ้นสุดที่แยกสี่กั๊กเสาชิงช้าเชื่อมกับถนนบำรุงเมือง สองฟากของถนนรายล้อมไปด้วยตึก บางตึกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ส่วนบางตึกคงรูปแบบเดิมให้มองย้อนแล้วนึกถึงวันวานก่อนเข้าสู่ยุคดิจิทัล สื่อสิ่งพิมพ์ยังคงรุ่งเรือง สองฟากของถนนเคยเป็นที่ตั้งของสำนักพิมพ์และโรงพิมพ์หลายแห่งรวมไปถึง ‘โรงพิมพ์ลมูลจิตต์’ ในตึกเก่าอายุกว่า 150 ปี ปัจจุบันแปรเปลี่ยนเป็น ‘อิ่มในเมือง (ÌM En Ville)’ ร้านอาหารและคาเฟ่ที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม เบเกอรี่ อาหารจานด่วน รวมถึงอาหารตะวันตก

ดีน-ดิตพันธ์ จิราธิวัฒน์ คือผู้ก่อตั้งโปรเจกต์นี้ เขาตัดสินใจลาพักงานยาวจากธุรกิจครอบครัวที่ทำมากว่า 7 ปี เพื่อลงมือสร้างอิ่มในเมืองขึ้นมาด้วยความหลงใหลในสถาปัตยกรรมเก่าและอาหารการกิน

เขามองว่า อิ่ม เป็นคำที่น่ารัก อีกทั้งยังสื่อได้หลายความหมาย เช่น อิ่มสุข อิ่มใจ อิ่มอร่อย เขานำคำนี้มาใส่ลงในชื่อร้าน เพื่อบอกกับลูกค้าที่นี่ว่า คุณจะได้ทั้งอิ่มท้องและอิ่มใจ ส่วนคำว่า En Ville เป็นภาษาฝรั่งเศส เมื่อรวมกันเป็น ÌM En Ville ให้ความหมายว่า ‘ฉันอยู่ในเมือง’ สื่อถึงที่ตั้งของร้าน และคำว่า ÌM ยังพ้องเสียงกับคำว่า อิ่ม ด้วย ที่นี่จึงเป็นมากกว่าแค่ตึก แต่คือรสชาติ บรรยากาศ ประวัติศาสตร์ และศิลปะ ผสมผสานกันอยู่

อาคารหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยปลายรัชกาลที่ 4 ถึงช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ผู้เช่าตึกรายแรกคือครอบครัวอับดุลราฮิม พ่อค้าชาวอินเดียที่เข้ามาค้าขายในไทย จากนั้นตึกก็เปลี่ยนเจ้าของไปมา จนกระทั่ง พ.ศ. 2460 ได้มาอยู่ในมือของครอบครัวบุรณเวช ผู้ก่อตั้ง บริษัท บริบูรณ์โอสถ จำกัด ก่อนปล่อยเช่าให้กับโรงพิมพ์ลมูลจิตต์ ดำเนินกิจการงานพิมพ์มาอีกระยะหนึ่ง แต่เมื่อสื่อสิ่งพิมพ์เริ่มถูกแทนที่ด้วยโลกดิจิทัล โรงพิมพ์จึงหยุดดำเนินงานและทิ้งร้างมากว่า 20 ปี จนครอบครัวของดีนไปซื้ออาคารหลังนี้เอาไว้ 

ดีนและครอบครัวหลงใหลตึกและสถาปัตยกรรมเก่าเป็นทุนเดิม สมัยเด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่ของเขามักพาเดินดูเมืองเก่าทั้งในและต่างประเทศ เขาจึงค่อย ๆ มีใจให้กับตึกรุ่นคุณทวด

อิ่มสุขกับตึก 150 ปี

ความดีใจเมื่อรู้ว่าที่บ้านได้ครอบครองตึกอายุกว่า 150 ปี กลับกลายเป็นความใจหายเมื่อดีนลองสำรวจสภาพตึกแล้วพบว่าทรุดโทรมมาก เขาจึงอยากบูรณะที่นี่ใหม่ และเริ่มคิดเรื่องการซ่อมตึกโรงพิมพ์เก่าไปพร้อม ๆ กับช่วยที่บ้านทำธุรกิจของ Central Group อยู่ที่ The 1 ดีนใช้เวลาวางแผนนานกว่า 2 ปี และมีความตั้งใจเริ่มแรกคืออยากพัฒนาตึกนี้ให้เป็นโรงแรม แต่เมื่อดูข้อกฎหมายแล้ว ที่นี่ทำห้องพักได้แค่ 2 ห้องเท่านั้น เขาจึงต้องกลับมาตั้งต้นใหม่ด้วยโจทย์ธุรกิจด้านอาหาร เมื่อวางแผนทุกอย่างเสร็จ เขาจึงขอลาพักงานมาทำร้านอิ่มในเมืองอย่างจริงจัง ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พอดี 

ชายหนุ่มจากธุรกิจอันมั่นคงของที่บ้านมาซ่อมตึกเก่าสุดโงนเงน เขาอาศัยแรงใจและแรงกายในอัตราส่วนที่แทบจะเท่ากัน เพราะของเก่าซ่อมยากกว่าซื้อใหม่ ตึกเก่าก็เช่นกัน การคำนึงถึงความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารไปพร้อม ๆ กับการอนุรักษ์รายละเอียดต่าง ๆ นั้นทำเอาดีนปวดหัว แต่พอถามว่าทำไมไม่สร้างใหม่ให้สิ้นเรื่อง เขาก็ตอบเราว่า “ผมไม่อยากทำลายเรื่องราวที่ตึกนี้มี ถ้าทำใหม่หมด เรื่องราวเดิมก็จะหายไป แต่นี่คือความเก๋าและความภาคภูมิใจของคนรุ่นเก่าที่ผมต้องส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป”

การซ่อมตึกว่ายากแล้ว การทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มนั้นก็โหดหินพอกัน

แม้ดีนรักทั้งการทำอาหารและการทานอาหาร แต่เขาบอกว่าเพียงฝีมือและหัวใจนั้นไม่เพียงพอ ชายคนนี้ต้องใช้ประสบการณ์การทำธุรกิจเข้ามาจัดการดูแลร้านให้ผลิตผลกำไรได้ด้วย แต่กำไรของเขาไม่ใช่เพียงแค่เม็ดเงิน 

“ถ้าผมสนใจเพียงแค่เงิน ผมไปทำอย่างอื่นดีกว่า ได้ผลตอบแทนดีกว่าเยอะ” เขาบอก

สำหรับดีน นอกจากกำไรที่เป็นเงิน สิ่งที่หล่อเลี้ยง ÌM En Ville ให้ดำเนินไป คือความรู้สึกดี ๆ ของลูกค้าและชุมชน ที่นี่จึงมีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของอาคาร เป็นพื้นที่จัดนิทรรศการต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ เพื่อเชิญชวนคนมาเสพสิ่งที่มากกว่ารสชาติของอาหาร ดีนยกตัวอย่างงานของ อาจารย์ลาวัณย์ อุปอินทร์ วัยย่าง 88 เธอเป็นจิตรกรหญิงคนแรกที่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ เคยจัดแสดงงานที่นี่เมื่อปลายปี 2022 

“ผมอยากให้อิ่มในเมืองเป็นมากกว่าร้านอาหาร เลยสร้างให้สถานที่แห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางของเฟื่องนคร อยากให้คนได้มาดูตึก มาซึมซับบรรยากาศรอบ ๆ ผมมองว่ากำไรของที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่เงิน แต่คือความภาคภูมิใจของผู้คนที่ได้เห็นตึกร้างกลายมาเป็นตึกที่ทำประโยชน์ให้ชุมชนได้” 

อิ่มใจกับบรรยากาศ

อิ่มในเมืองตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนเฟื่องนครตัดกับถนนราชบพิธ เยื้องกับวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ตึกแบ่งออก 2 ส่วน ด้านหน้าคือตึกเก่าอายุกว่า 150 ปี มี 2 ชั้น ด้านหลังคือส่วนต่อเติม อายุประมาณ 50 ปี มี 4 ชั้น โครงสร้างของตึกคงไว้เช่นเดิม แต่มีการเพิ่มรายละเอียดใหม่เข้ามา ผนังทั้งชั้น 1 และ 2 คงอยู่สภาพเดิม ไม่ได้แต่งเติมอะไรเข้ามา รอยหลุดร่อนของผนังปูนช่วยบอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี ส่วนรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามา ชั้น 1 เสริมคานให้ตึกแข็งแรง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของตัวโครงสร้าง ส่วนชั้น 2 ปรับเพดานใหม่ จากเพดานปิดเป็นเพดานเปิดแบบ Double Volume

เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ชั้น 1 พบกับ ‘โซน ÌM Food Corner’ ให้บริการอาหารจานด่วนเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่มยิ่งขึ้น เมนูมีตั้งแต่ผัดกะเพรา แกงเขียวหวาน ข้าวมันไก่ ผัดไทย ฯลฯ

เลี้ยวไปยังหัวมุม พบกับ ‘โซน Cafe ÌM’ ให้บริการเครื่องดื่ม แม้ว่าผนังมีรอยหลุดล่อน แต่แต่งเติมสีสันด้วยดีไซน์ลักษณะเหมือนแป้นพิมพ์สมัยก่อน เพื่อสื่อว่าที่นี่เคยเป็นโรงพิมพ์มาก่อน รวมถึงเฟอร์นิเจอร์หลากสี ความเก่าและความใหม่หลอมรวมกันถ่ายทอดบรรยากาศแสนคลาสสิกให้กับผู้คนที่แวะเวียนมาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จัดนิทรรศการบอกเล่าความเป็นมาของตึกแห่งนี้ด้วย

ขึ้นบันไดไปชั้น 2 มองเห็นบาร์เบเกอรี่ในทันที นี่คือ ‘โซน Maison ÌM Dessert Bar’ ให้บริการเบเกอรี่ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพและอบสดใหม่จากเตาทุกวัน ถัดมาคือ ‘โซน 59 ÌM Modern Bistro’ ให้บริการอาหารตะวันตกฟิวชัน โซนนี้มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ตกแต่งสไตล์ยุโรป ขณะเดียวกันก็สร้างความกลมกลืนกับบรรยากาศโดยรอบ อย่างการใช้โคมไฟลักษณะคล้ายกับบาตรคว่ำบวกกับสีทองให้กลมกลืนกับวัด และยังมองเห็นทิวทัศน์ชุมชนโดยรอบได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์แล่นผ่าน ผู้คนเดินไปมา รวมถึงความงดงามของวัดราชบพิธฯ ผ่านหน้าต่างบานใหญ่

ดีนวางแผนว่าชั้น 4 จะทำเป็น Modern Thai Tapas ผสมผสานกับ Wine bar และ Cocktail ซึ่งเสิร์ฟอาหารจานเล็กที่มีรสชาติไทยแบบดั้งเดิม หาทานได้ที่ อิ่มในเมือง เท่านั้น โดยจะเปิดตัวประมาณต้นปีหน้า ลูกค้าและแฟน ๆ เตรียมมาลองลิ้มชิมรสกันได้ ส่วน 59 ÌM Modern Bistro จะขยายเมนูทำ Chef Casual Table โดยเสิร์ฟอาหารเป็นเซต

อิ่มอร่อยกับอาหาร

หลังจากเดินซึมซับบรรยากาศในตึกและสถานที่โดยรอบจนอิ่มใจ ลำดับถัดไปคงต้องไปอิ่มท้องด้วยอาหารอร่อย ๆ ที่ 59 ÌM Modern ซึ่งเสิร์ฟอาหารตะวันตกกว่า 70 เมนู รสชาติถูกปากคนไทยแน่นอน ดีนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า เขาปรับรสชาติอาหารให้เข้ากับคนไทย เพิ่มความจัดจ้านมากกว่าอาหารตะวันตกทั่วไป เพื่อให้ถูกปากคนไทยและยกระดับรสชาติให้แตกต่างที่อื่นด้วย

ดีนแนะนำ 4 จานที่ควรลองเมื่อมาเยือนอิ่มในเมือง เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย ‘Lobster Toast’ เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างขนมปังบริยอชโฮมเมดที่ร้านทำเอง กับเนื้อล็อบสเตอร์มิกซ์ที่ทำสดใหม่ทุกวัน ต่อกันด้วย ‘Tomato Salad’ ประกอบด้วยมะเขือเทศหลากหลายชนิด ได้แก่ มะเขือเทศแฮร์ลูมจากฟาร์มจังหวัดเชียงใหม่ มะเขือเทศแฟนซีรสชาติคล้ายคลึงกับมะเขือเทศแฮร์ลูมแต่ขนาดเล็กกว่า มีมะเขือเทศอบแห้ง ทานคู่กับน้ำสลัดอร่อยลงตัว ถัดมาเป็นเมนูเส้น ‘Prawns Linguine’ เส้นลิงกวินีผัดกับน้ำพริกเผาเพิ่มความจัดจ้าน ส่วนจานสุดท้ายเป็นเมนูจากท้องทะเล นั่นคือ ‘Grilled Halibut’ โดยทางร้านเลือกใช้ปลาตาเดียวของไทย ข้างล่างเนื้อปลาเป็นผักหลายอย่าง เช่น มันฝรั่ง ซูกินี ซึ่งนำไปผัดกับซอสมะเขือเทศ พร้อมทั้งใส่พริกนิด ๆ เพื่อตัดเลี่ยน ส่วนด้านบนเนื้อปลาราดด้วยซอสถั่ว

ตบท้ายด้วยเมนูของหวาน ขอเบิกตัว ‘Deconstructed Banoffee Pie’ ขนมจานนี้แตกต่างจากบานอฟฟีทั่วไปที่เสิร์ฟเป็นชั้น โดยมีจุดเด่นคือคาราเมลพานาคอตตากับครัมเบิลช็อกโกแลต 

เราเคี้ยวของหวานกันตุ้ย ๆ ตาก็มองลอดหน้าต่างไปยังทิวทัศน์ข้างนอก อิ่มจริง ๆ เลยวันนี้

อิ่มที่ว่า หมายถึง อิ่มท้อง อิ่มใจ และอิ่มสุข