เมื่อครั้ง The Cloud ให้เกียรติชวนมาร่วมสนุกในงานเขียนนั้น ก็ได้ขอคำปรึกษาบรรณาธิการผู้อ่อนโยนและเมตตาว่า จะเขียนถึงอิตาลีอย่างไรดี ท่านก็สรุปสั้นๆ ว่า ให้บีบเรื่องให้แคบที่สุด ไม่ควรพูดไปทั้งเมือง เดี๋ยวจะกลายเป็นหนังสือนำเที่ยวไปเสียฉิบ …แน่นอนประโยคหลังนี่เป็นสำนวนของข้าพเจ้าเอง
วันนี้ บ.ก. จะต้องรักมาก เพราะจะพูดถึงเวนิส แต่ในพื้นที่ที่แคบที่สุด แคบเท่าแมวดิ้นตายจริงๆ นั่นคือจะพูดถึง ‘เรือกอนโดลา’
เวนิสเป็นเมืองน้ำ เหมือนกรุงเทพฯ ดังมีผู้เปรียบเทียบสองเมืองนี้ไว้ว่า “เวนิสตะวันออก บางกอกตะวันตก” ผิดกันตรงที่เวนิสนั้นตั้งอยู่ริมทะเล จึงมีความเป็นหมู่เกาะ
ส่วนเรือกอนโดลาเป็นสัญลักษณ์คู่กับเวนิสอย่างแยกไม่ออก ใครๆ ไปเวนิสก็ใฝ่ฝันที่จะนั่งเรือแจวนี้ มิใยจะมีชาวท่าแซะที่ไม่ได้เป็นคนสงขลามาพูดจาหยามหยาบว่า “มันก็ไอ้เรือแจวแหละว้า” หรือ “มีเงินอย่างเดียวลงไม่ได้นะ ต้องเซ่อยอมให้เขาหลอกด้วย”
ใครเคยเจออย่างนี้ขอให้ยิ้มเย็นแล้วตอบไปว่า “อ้าว เห็นตอนพายตอนแจวก็เสียงดังจ๋อมแจ๋มดี ไม่ยักรู้ว่าไปแจวเรืออยู่บนหัวใครคนอื่นด้วย”
เรือกอนโดลานี้ สะกดว่า gondola ออกเสียงแบบใกล้เคียงเจ้าของภาษาที่สุดก็น่าจะราวๆ “ก้น-โดะ-หละ” แต่ขอเขียนกอนโดลาได้ไหม เอาที่คนส่วนใหญ่คุ้นกันนี่ล่ะ
กอนโดลาเป็นเรือแจว ไม่ใช่เรือพาย หากแยกกันไม่ออก ดูง่ายๆ “นั่ง-พาย, ยืน-แจว” เชื่อฉันเถอะ ฉันอยู่ริมคลองมาตลอดวัยเยาว์
สำหรับผู้ที่ไม่เคยเห็นเรือกอนโดลานั้นก็ขอให้ดูรูปเอา สิ่งที่จะเล่าให้ฟังนั้น คือสิ่งที่มากไปกว่าตาเห็น
เรือกอนโดล่านั้นที่ชินตานั้น ส่วนใหญ่เป็นสีดำ อันเกิดมาจากการกฎหมายของเวนิสใน ค.ศ. 1562 ที่ท่านดยุกของเมืองประกาศฟันธงไปเลยว่าให้เป็นสีดำให้หมด เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ดีมีตระกูลเมืองเวนิสต่างพากันประดับประดาเรือกันอย่างฟุ่มเฟือย วิลิศมาหรา ส่วนที่ว่าเป็นสีดำนั้นก็มีหลายทฤษฎี แต่อันที่ฟังขึ้นที่สุดก็คือ เพราะเรือทุกลำต้องเคลือบน้ำมันดินสีดำ ก็ให้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น ไม่ต้องไปอะไรกับมันอีก จบนะขุนนาง
เรือหัวโด่งก้นโด่งนี้ มีขนาดยาว 11 เมตร กว้าง 1.40 เมตร หนักราว 500 กิโลกรัมนี้ ประกอบด้วยไม้ถึง 8 ชนิด อันได้แก่ เพื่อรองรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปของเรือ
1. ไม้โอ๊คเดอมัสต์ ถ้าจะให้ดี ท่านว่าต้องมาจากฝรั่งเศส
2. ไม้เอ็ลม์ ของอิตาลีเอง
3. ไม้สนเฟอร์ จากออสเตรีย
4. ไม้วอลนัต จากแคว้นเวโนโตอันเป็นแคว้นของเมืองเวนิสเอง
5. ไม้มะฮอกกานี ไม้เมืองนอกจากแอฟริกา
6. ไม้เชอรี่ ใช้เป็นไม้เชื่อมเรือระหว่างด้านขวาด้านซ้าย มีทั้งหมด 8 ชิ้น
7. ไม้ลินเดนหรือไม้ไลม์ 2 ท่อนใหญ่ วางอยู่หน้า-หลังของเรือ
8. ไม้สนลาร์ช ใช้ตรงส่วนที่คนแจวยืนปฏิบัติการ
ที่ต้องใช้ไม้ต่างชนิดกันนั้น เพราะไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติต่างกัน ซึ่งก็ต้องแยกกันไปตามหน้าที่ที่ใช้ในเรือด้วย เช่น ไม้สนเฟอร์เป็นไม้เนื้อเบาและทนน้ำเค็มได้ดี ก็จะนำไปใช้เป็นท้องเรือ ส่วนไม้โอ๊คเดอมัสต์เป็นไม้ที่แข็งแรงมาก จึงนำมาให้เป็นด้านข้างของเรือ เพราะเป็นจุดต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งต่าง ๆ มากมายตลอดเวลา เช่น เรือลำอื่น หรือ ตลิ่ง สิ่งก่อสร้างอื่นๆ เป็นต้น และชิ้นไม้เหล่านี้ รวมกันได้ราว 280 ชิ้น
ลำเรือนั้นเล่า หากเรือจอดอยู่เฉยๆ ไม่มีคนอยู่บนเรือแม้แต่คนเดียว เราจะเห็นได้ชัดว่าเรือเอียง หรือไม่สมมาตร กล่าวคือ เรือจะให้พื้นที่แก่คนยืนแจว เมื่อคนแจวลงไปยืนตรงที่ของตน เรือก็จะกลับมา (เกือบจะ) ตรงนั่นเอง
นอกจากส่วนประกอบต่างๆ ของลำเรือแล้ว ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ อันได้แก่
‘เหล็กหัวเรือ’ ถ้าสังเกตให้ดี ก็จะเห็นว่ามีรูปทรงเป็นตัว S ที่มีส่วนหัวใหญ่หน่อยแล้วค่อยโค้งรับกลืนกับลำเรืออย่างอ่อนช้อย
เหล็กหัวเรือนี้มีซี่อยู่ 6 ซี่ อันหมายถึง 6 เขตของเมืองบนเกาะเวนิส ถ้าเพ่งไปอีก ก็จะเห็นว่า ระหว่างซี่เว้นซี่นั้น จะมีเหล็กบางๆ สลักเสลาอย่างอ่อนช้อยซ่อนอยู่อีก 3 นั่นก็คือ เกาะเล็กเกาะน้อยของเมืองเวนิส ได้แก่ บูราโน มูราโน และตอร์แชลโล (Burano, Murano, Torcello) ส่วนอีกเกาะคือจูเด็กกา (Giudecca) นั้น ปรากฏให้เห็นเป็นซี่ใหญ่อยู่อีกด้านของซี่ทั้ง 6
มีแค่นั้นหรือ ยังไม่หมด หัวเรือยังมีสัญลักษณ์อื่นซ่อนอยู่อีก ปลายหัวที่หนาๆ นั้น ว่ากันว่า เป็นรูปทรงของหมวกท่านดยุกผู้ครองเมืองในอดีต นอกจากนี้ ช่องว่างครึ่งวงกลมเล็กๆ ระหว่าง ‘หมวกท่านดยุค’ กับ ‘เขตทั้ง 6 ของเวนิส’ ยังหมายถึงสะพานรีอัลโตอีกด้วย
แต่ถ้าถามทางเชิงช่างแล้ว นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แล้ว เหล็กหัวเรือนี้ยังมีหน้าที่สำคัญคือเป็นตัวกันชน และเป็นตัวถ่วงน้ำหนักของเรือ ค่าที่มันมีน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัมทีเดียว
ส่วนประกอบอีกส่วนที่สำคัญมาก และเป็นเหมือนหัวใจของคนแจวเรือเลยก็คือ ‘หลักแจว’ หลักแจวคืออะไร คุณนึกออกไหม ถ้าคุณพายเรือ จุดพักพายหรือจุดที่เป็นคานงัดพายของคุณคือขอบเรือ แต่เวลาแจวนั้น เราก็ต้องใช้จุดวางแจวอันยาว และใช้เป็นจุดคานงัดเช่นกัน โดยหลักแจวนี้จะสูงขึ้นมาพ้นขอบเรือ
หลักแจวของเรือกอนโดลานี้มีรูปทรงสวยงาม รูปทรงเป็นส่วนโค้งเว้าราวกับศิลปะนามธรรม ซึ่งรูปทรงดังกล่าวล้วนมีผลในการบังคับเรือทั้งสิ้น และความสูงก็ไม่เท่ากันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนสูงของผู้แจว หลักแจวจึงเป็นของส่วนตัวมากๆ ถ้าคนแจวเปลี่ยนเรือ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขาจะถอดหลักแจวนี้ไปเสียบในเรือลำใหม่ ตามตัวไปด้วยเสมอ
ในสมัยฮิตสุดตัว ในเวนิสมีกอนโดลาอยู่ถึงเรือนหมื่น ได้มีผู้บันทึกไว้ว่า “คนเวนิสผูกเรือกอนโดลาไว้ที่คลองหน้าบ้านเหมือนคนบนบกผูกม้า” แต่ปัจจุบัน มีเรือกอนโดลาอยู่ 400 ลำเท่านั้น และอู่ต่อเรือก็เหลือมีอยู่ 5 แห่งเท่านั้น เจ้าดังที่สุดคือ Tramontin เพราะเรือสวยที่สุดและใช้งานได้นานที่สุด
ทำไมไม่นั่งพาย
หาข้อมูลเรื่องนี้อยู่นาน หายังไงก็ไม่เจอ ก็เลยใช้สัญชาติญาณของคนริมคลองนี่ล่ะ
คนไทยมีเรือไว้พายไปไหนมาไหน บ้านสมัยก่อนอยู่ในเรือกในสวน แล้วก็ห่างกันค่อนข้างมากหากต้องเดิน เรือจึงเป็นการสัญจรที่สะดวก หากจะเปรียบก็คือจักรยานนี่ละ
แต่เรือแจวนั้น มีจุดประสงค์เพื่อการส่งของเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะข้าวของที่บรรจุในเรือนั้นมักจะหนักกว่าที่บรรจุในเรือพาย เรือก็จะใหญ่ แล้วพอจะพาย ก็ต้องใช้พายอันใหญ่มากเพื่อดันน้ำให้เรือเดินไปข้างหน้า
สรุปคือ เรือแจวมีไว้ขนของ เรือพายมีไว้สัญจรส่วนตัว
คราวนี้ลองมาดูบ้านเรือนในเวนิสกันบ้าง
บ้านเรือนในเวนิสนั้น เป็นตึก สร้างติดๆ กันไปหมด และเต็มไปด้วยสะพาน จะไปไหนมาไหน คงใช้การเดินเป็นหลัก
จะมีก็แต่ขนของขนคนเท่านั้นที่ต้องใช้เรือ เรือแจวจึงมีบทบาทมาก
การแจว ต่างจากการพายอย่างไร
นอกเหนือจากการยืนกับการนั่งแล้ว การยืนแจวเรือนั้นช่วยได้มากในการขนของหนัก เพราะได้ใช้กำลังทั้งตัว โยกหน้า โยกหลัง เพื่อดันให้ใบพายอันใหญ่นั้นพุ้ยน้ำให้เรือขับเคลื่อนเดินไปข้างหน้า ในขณะที่การพายเรือนั้นเมื่อยกล้ามมากๆ
การแจวเรือ
จุดที่สังเกตเห็นได้จากการแจวของคนแจวอิตาเลียนกับไทยนั้น คือคนแจวที่เวนิสนั้น หากคุณหันไปดูเขาสักนิด คุณจะเห็นว่าเขาไม่ได้แจวอย่างเดียว แต่มีทั้งถีบทั้งดัน ที่ว่านี้ไม่ใช้กับผู้โดยสาร ไม่ต้องกลัวไป เขาทำกับตึกอาคารต่าง ๆ เพื่อให้เรือได้เร็วขึ้น
อีกอย่างที่คนแจวทำเวลาแจวมาตรงหัวมุมตึก ตรงคลองแยก คนแจวจะตะโกนว่า “โอ้-เอ่” ฟัง ๆ ดูก็เหมือน “โอ้ย” นี่ล่ะ ไม่ได้เจ็บไม่ปวดอะไร แต่เป็นการส่งเสียงให้ไม่ให้เรืออีกลำออกมาประสานงากับเรือของตัว
อ้อ ภาษาอิตาเลียนเรียกคนแจวว่า กน-โด-ยิ-แย-เร (gondoliere) นะ
ค่าเรือ
กลางวัน 80 ยูโร กลางคืน 100 ยูโร ราคานี้ต่อลำนะ ลำละไม่เกิน 6 คน แต่แว่ว ๆ มาว่า ชาวเรือกำลังจะขอปรับเป็น 5 คนต่อลำ เธอบอกว่า เพราะโควิด ต้องนั่งห่างกัน แต่ข้าพเจ้าว่าไม่น่าจะใช่ ก็คนเขาเดินทางมาด้วยกัน ลงก็ลงด้วยกัน จะเจ็บจะป่วยก็คงเป็นมาก่อนแล้วมั้ง ไม่ใช่เป็นรถตู้นี่ ที่เต็มแล้วออก ตามมาด้วยการส่งกระจาดพลาสติกเรียกเก็บเงินด้วยระบบ Honour System แบบไทยๆ
อยากนั่งถูกๆ เหรอ ก็ได้ เราก็มีบริการเรือข้ามฟากให้ใช้ ราคาคนเวนิส 70 เซ็น คนนอก 2 ยูโร ถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าคนในคนนอก เขาจำคนของเขาได้แหละ
พร้อมไปนั่งเรือกอนโดลากันไหม ถามอย่างนี้อาจถูกตอกกลับมาว่า อำนาจตัดสินใจตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เราแล้ว เอาน่า เมื่อไหร่พร้อมก็ค่อยไปกันนะ อ้อ แต่พ่อหนุ่มแจวเรือกอนโดลาคนหนึ่งฝากมาบอกว่า อย่ามาหน้าหนาวนะ
เพราะหน้าหนาวพวกเราจะอยู่ที่ภูเก็ต
ขอบคุณข้อมูลจาก
- www.antiqua.mi.it/gondola.htm
- www.compagniadeiviaggiatori.com/gondola-origini-storia-curiosita/#Caratteristiche%20della%20gondola
- www.veniceingondola.com/