“อาไม่เคยทำหรอกพวกระเบิดภูเขา เผากระท่อม… โคตรกระจอกฉิบหาย!!!”

อาหลอง-ฉลอง ภักดีวิจิตร ผู้กำกับหนังรุ่นเก๋าระเบิดเสียงหัวเราะ เมื่อพูดถึงฉายาที่สื่อมวลชนต่างขนานนามให้ตลอดหลายสิบปี

เพราะเขาเคยแต่เอาเฮลิคอปเตอร์มาชนกับเครื่องบิน บิดมอเตอร์ไซค์ลงจากเครื่องบินสูง 15,000 ฟุต ขับรถจี๊ปแล้วชนเครื่องบินขาด 2 ท่อน ขี่มอเตอร์ไซค์กางปีกพุ่งทะยานข้ามหน้าผา ฯลฯ

ส่วนเรื่องง่าย ๆ แบบระเบิดภูเขาเผากระท่อมนั้นไม่เคยอยู่ในสคริปต์ของอาหลองเลย

แน่นอน แม้แต่ละฉากล้วนลงทุนมหาศาล แต่เขาก็ไม่เคยหวั่น เพราะอยากให้ภาพสุดตะลึงนี้ฝังแน่นในความทรงจำไปของผู้ชมอีกนานแสนนาน

ไม่แปลกเลยว่า เหตุใดใคร ๆ จึงพากันยกย่องให้อาหลองเป็นตำนานของวงการหนัง-ละคร แถมไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่ยอมซูฮก แม้แต่ฝรั่งตาน้ำข้าวก็ยังยกนิ้วให้

เนื่องในโอกาสที่ชายคนนี้อยู่ในวงการต่อเนื่องมาเกิน 7 ทศวรรษ แถมยังไม่เคยหยุดกำกับ แม้วัยจะล่วงเลยมาถึง 92 ปี กระทั่ง Guinness World Records ต้องบันทึกในฐานะผู้กำกับชายที่อายุมากสุดในโลก

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา จะพาทุกคนไปสัมผัสกับเรื่องราว ชีวิต และความฝันที่ไม่เคยหยุดนิ่งของศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2556 ชายผู้สร้างปรากฏการณ์พาหนังไทยไปท่องโลกคนนี้

ในวัยเด็ก อาหลองไม่ได้มีเป้าหมายจะเป็นคนทำหนัง แต่มีฝันอยากเป็นวิศวกร

แต่คงเพราะโชคชะตาที่เกิดมาบนกองฟิล์ม จากวิศวกรสร้างตึกสร้างถนน จึงต้องกลายเป็นวิศวกรสร้างความบันเทิงแทน

ย้อนไปไกลถึงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อของอาหลอง พุฒ ภักดีวิจิตร คือนักสร้างหนังยุคบุกเบิก ผู้ก่อตั้งศรีบูรพาภาพยนตร์ บริษัทผลิตภาพยนตร์แห่งแรก ๆ ของประเทศไทย

พุฒ ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ได้ร่วมกับน้องชาย สดศรี ภักดีวิจิตร หรือ สด ศรีบูรพารมณ์ ผู้กำกับและช่างภาพระดับปรมาจารย์ ผลิตผลงานที่น่าตื่นตาตื่นใจออกมานับไม่ถ้วน ทั้ง สาวเครือฟ้า แสนแสบ รอยไถ นางไพร ซากผีดิบ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ฯลฯ 

ด้วยเหตุนี้ บรรดาลูกชายจึงมักถูกเกณฑ์เข้ามาช่วยงานตั้งแต่วัยเยาว์

อย่างอาหลอง ซึ่งมีแววดี ถ่ายรูปออกมาแล้วสวย จึงถูกวางตัวให้มารับหน้าที่ช่างภาพ โดยทุกเช้าเขาจะต้องฝึกมือหมุนกล้องถ่าย เพื่อให้ได้ความเร็วของฟิล์มสม่ำเสมอ คือ 24 เฟรมต่อวินาที

“สมัยนั้นกล้องเป็นกล้องสี่เหลี่ยม ต้องไขลาน เคยเห็นหนัง ชาลี แชปลิน ไหม บางทีก็เร็ว บางทีช้า อยู่ที่มือไขลาน แล้วช่างภาพแต่ก่อนไม่ได้เหมือนสมัยนี้ หนัง 16 มม. ไม่ได้ถ่ายเป็นเนกาทีฟ ถ่ายเป็นโพสิทีฟ สีธรรมชาติเลย ทุกอย่างต้องเป๊ะ เพราะเราปรับสีช่วยทีหลังไม่ได้”

เพราะต้องทำทุกอย่างเองตลอด ทั้งฝึกถ่าย ฝึกตัดต่อ ฝึกล้างฟิล์ม จากความเคยชินก็กลายมาเป็นความหลงใหล และอยากพัฒนาตัวเองไม่หยุด

หลังเรียนจบชั้นเตรียมอุดมศึกษา เมื่อ พ.ศ. 2493 อาหลองในวัย 19 ปี เดินหน้าสู่วงการภาพยนตร์เต็มตัวครั้งแรกในฐานะช่างภาพเรื่อง แสนแสบ

เขาสนุกกับการสั่งซื้อตำราของฮอลลีวูด ตระเวนรับชมภาพยนตร์จากตะวันตก ที่สำคัญ เขายังเป็นคนไทยคนแรกที่ถ่ายกรีนสกรีนในภาพยนตร์ไทย 35 มม. เรื่อง เล็บครุฑ ตอน ประกาศิตจางซูเหลียง เป็นฉากดิ่งพสุธา เรียกเสียงฮือฮาของผู้ชมยุคนั้นอย่างมาก

ด้วยสไตล์ที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ และเป็นสากล ส่งผลให้อาหลองกลายเป็นช่างภาพมือทอง คว้ารางวัลช่างภาพตุ๊กตาทองพระราชทาน 2 ปีซ้อน จากภาพยนตร์เรื่อง พิภพมัจจุราช และ ละอองดาว 

หากแต่อาหลองก็ไม่ต่างจากทุกคนที่ฝันถึงความก้าวหน้า ด้วยเขาเป็นคนที่ศึกษาตำรามาก บวกกับได้เห็นแบบอย่างของรุ่นพี่ ๆ ไม่ว่าจะ ส. อาสนจินดา หรือ สุพรรณ พราหมณ์พันธุ์ ซึ่งต่างสร้างผลงานจนโด่งดัง เป็นที่ชื่นชมของประชาชน

เมื่อ พ.ศ. 2510 เขาจึงตัดสินใจชิมลางงานกำกับ พร้อมตั้ง บริษัทบางกอกการภาพยนตร์ ขึ้น

ครั้งนั้น อาหลองหยิบนำผลงานตอนหนึ่งจากชุด อินทรีแดง ของ เศก ดุสิต มาสร้างเป็นหนังเรื่อง จ้าวอินทรี โดยได้พระเอกดังแห่งยุค มิตร ชัยบัญชา มาประกบกับนางเอกสาว พิศมัย วิไลศักดิ์

หากแต่ผลงานชิ้นแรกกลับไม่ดังอย่างที่คิด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ขายไม่ได้เลย แต่โชคดีที่อาหลองมีชื่อเรื่องถ่ายภาพมานาน บรรดาสายหนังต่างจังหวัดจึงช่วยซื้อหนังไปฉาย ทำให้ไม่ขาดทุน

“ตอนนั้นคิดจะกลับไปประกอบอาชีพเดิม รับจ้างถ่ายหนังดีกว่า ก็คงเหมือน สตีเวน สปีลเบิร์ก สมัยยังไม่รุ่ง ทำหนังออกมาเรื่องหนึ่ง ก็ไม่ได้ตังค์เลย เฟลมาก แต่มีเพื่อนสนิทบอกว่า อย่าเลิกทำเลย เอ็งเป็นคนมีฝีมือ ทำต่อไป”

แม้จะผิดหวังไปบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝัน

3 ปีถัดมา เขาได้รับบทหนังที่เปลี่ยนชีวิตจาก ส. อาสนจินดา คือเรื่อง ฝนใต้ หนังบู๊แอ็กชันที่มีฉากเด็ดอย่างการต่อสู้ท่ามกลางสายฝน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการหนังไทยเลยก็ว่าได้

แต่ปัญหาคือ ไม่มีเงิน อาหลองจึงต้องนำนาฬิกายี่ห้อโอเมกาสุดหวงไปจำนำแถวประตูน้ำ เพื่อหาทุนรอนก้อนแรก

ครั้งนั้นเขาได้พระเอกดัง สมบัติ เมทะนี มาประกบกับนางเอกเบอร์ 1 อย่าง เพชรา เชาวราษฎร์ แล้วยังมี สุรสิทธิ์ สัตยวงษ์ พระเอกที่โด่งดังไม่แพ้กัน พลิกบทบาทมาเล่นเป็นโจรฝาแฝด แถมด้วยราชาเพลงพูด เพลิน พรหมแดน ซึ่งมาลงจอเงินเป็นครั้งแรก

การทุ่มสุดตัวรอบนี้ได้ผลเกินคาด หนังได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่อง แถมในปีเดียวกัน เขายังสร้างหนังชื่อ ฝนเหนือ ออกมาโกยเงิน โดยใช้ทีมนักแสดงนำเดิมเกือบยกชุดมาร่วมเล่น 

แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือการที่อาหลองได้พบสไตล์หนังที่เหมาะกับตัวเองคือ หนังบู๊แอ็กชัน

“มันสะใจตอนสู้กัน มันหนำใจดี เราเองก็สนุกกับการคิดฉากแปลก ๆ ให้ผู้ชมประทับใจ ส่วนหนังชีวิตมันเนือย ๆ มีแต่คนพูดกัน อีกอย่างคือเวลาอาทำหนังสไตล์อื่นแล้ว คนก็ไม่ค่อยรับเท่าไหร่”

อาหลองยืนหนึ่งในฐานะผู้กำกับหนังบู๊ได้ไม่นาน เขาก็เริ่มฝันไกลยิ่งกว่าเดิม

ฝันที่เขาอยากเห็น คือการพาหนังไทยออกไปสู่สายตาชาวโลก

“เราเห็นหนังฝรั่งมาโกยเงินคนไทย แต่ก่อนหนังไทยสู้ไม่ได้หรอก เราก็เลยอยากเอาชนะ”

เพราะเชื่อมั่นว่าคนไทยก็มีความสามารถไม่แพ้ใครในโลก แล้วเหตุใดหนังไทยจะโกอินเตอร์ไม่ได้

พ.ศ. 2515 เป็นปีที่อาหลองเริ่มทดลองจับงานระดับอินเตอร์ อย่าง 2 สิงห์ 2 แผ่นดิน โดยมี ชาญ ทองมั่น อดีตมือโฆษณาของ Shaw Brothers Studio จากฮ่องกง ผู้เป็นบิดาของ Peter Chan (ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง เถียน มี มี่ 3650 วัน รักเธอคนเดียว) เป็นหุ้นส่วน

หนังเรื่องนี้ได้ดาราใหญ่ของฝั่งไทย สมบัติ เมทะนี มาประกบ เกาหย่วน พระเอกเงินล้านของเกาะฮ่องกง แถมยังถูกฉายในหลายเมืองของสหรัฐอเมริกา มีฉากบู๊สุดประทับใจ ทั้งขับเรือหางยาวไล่ล่ากันและแก๊งมอเตอร์ไซค์ขับเคี่ยวกับเรือหางยาว

“ผมตั้งชื่อเอง คิดอยู่ในหัวตลอด ต้องหาชื่อแปลก ๆ เป็นเรื่องของฝาแฝด อยู่ฮ่องกงคนหนึ่ง อยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ก็เลยเป็น 2 แผ่นดิน การตั้งชื่อไม่ใช่ของง่าย ต้องตั้งให้ฮือฮา ดูว่าจะโฆษณาแบบไหน”

หากแต่โปรเจกต์เปลี่ยนชีวิตของอาหลองที่แท้จริงคือ เรื่อง ทอง หรือชื่อเดิมคือ ซัมทอง ซึ่งได้รับคำแนะนำจาก บรรเจิด ทวี หรือนามปากกา ไก่อ่อน คอลัมนิสต์จากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ให้นำเรื่องนี้มาทำหนัง โดยได้รุ่นพี่คู่ใจอย่าง ป๋า ส. มาเขียนบทให้เช่นเคย

ทอง ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของนักเขียนตำรวจ ประชา พูนวิวัฒน์ เล่าเหตุการณ์ทองที่ประเทศมหาอำนาจนำไปช่วยเวียดนามใต้ในช่วงสงครามเวียดนามเกิดสูญหายระหว่างทาง จึงมีการส่งสายลับมือดีเข้ามาที่เมืองไทย เพื่อรวบรวมทีมทหารรับจ้างและตามทองกลับมา

เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่อาหลองนึกถึง คือต้องนำนักแสดงจากต่างประเทศมาร่วมแสดงด้วย

“ตอนนั้นถึงเราจะทำหนังประวัติศาสตร์ไทยใหญ่โตมโหฬารเพียงใดก็สู้หนังฝรั่งไม่ได้หรอก เป็นหนังฝรั่งคนเป็นพันเป็นหมื่น สู้เราเอาดาราฝรั่งมาเล่นดีกว่า มาให้เป็นสะพานเชื่อมสู่ตลาดโลก”

ดาราที่อาหลองเล็งไว้คือ Greg Morris ซึ่งกำลังโด่งดังจากทีวีซีรีส์เรื่อง ขบวนการพยัคฆ์ร้าย หรือ Mission Impossible

แต่แน่นอน การที่นักแสดงระดับนี้จะมาเล่นหนังไทยไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างแรกเลย คือฝรั่งส่วนใหญ่ไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่าเมืองไทยอยู่ที่ไหน พอบอกว่ามาจากไทยแลนด์ ก็จะตอบกลับมาว่า อ๋อ ไต้หวัน

อาหลองจึงต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ตั้งแต่ทำบทให้เสร็จ เขียนสคริปต์ให้เรียบร้อย พอเขียนเสร็จก็ต้องจ้างคนมาแปล หาล่ามเป็นชาวอเมริกันพูดไทยได้ 1 คน กับคนไทยที่พูดอเมริกันได้อีกคน

ที่สำคัญคือ ต่อให้ไม่ใช่พระเอก แต่บทก็ต้องเด่นไม่แพ้กันหรือมากกว่าด้วยซ้ำไป แล้วพอมาถึงเมืองไทยก็ต้องต้อนรับอย่างดี ทุกอย่างต้องชั้นหนึ่งหมด

สุดท้าย Greg Morris ก็ตกปากรับคำมาร่วมแสดง ด้วยค่าตัวประมาณ 5 ล้านบาท

“ก่อนสร้าง เราให้คนในประเทศทายว่าจะเอา Greg Morris มาได้ไหม สุดท้ายก็มาได้ ส่วนฝ่ายหญิง เราได้นางเอกเวียดนาม Thuy Hang Tham มาเล่น นุ่งกางเกงขาสั้น มีมังกรสัก คนดูชอบมาก แล้วมีพระเอกไทย 2 คน คือ กรุง ศรีวิไล กับ สมบัติ เมทะนี เล่นคู่กัน ตอนแรกกรุงเขากลัว เพราะเอาไปประกบกับสมบัติ เพราะสมบัติกำลังดัง อาก็บอกว่า ไม่ต้องกลัว กูกำกับจะกลัวอะไร”

ทอง ใช้เวลาสร้างอยู่นาน 1 ปีถึงแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2516 มีฉากเด็ดที่ผู้ชมไม่รู้ลืม อย่างขี่มอเตอร์ไซค์ดิ่งพสุธาท่ามกลางสายฝน ซึ่งอาหลองถ่ายอยู่ 7 วัน 7 คืนเต็ม

ความโด่งดังของ ทอง ยืนยันได้จากการเข้าฉายในโรงหนังใหญ่ถึง 2 โรง คือปารีสและพาราเมาท์ ซึ่งปกติฉายแต่หนังฝรั่ง แต่ละโรงมีคนยืนรอยาวเป็นกิโลเมตร นับเป็นประวัติศาสตร์ของวงการหนังไทย

แต่อาหลองไม่ได้หยุดแค่นั้น เขายังพา ทอง ไปประกวดรางวัลเป๋าติงที่ไต้หวัน และได้รับรางวัล Best Entertaining Film จนบริษัท Golden Harvest ของ Raymond Chow ติดต่อขอซื้อไปฉายทั่วโลก

นั่นเองทำให้ชื่อ Philip Chalong และหนังเรื่อง S.T.A.B. กลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ นับเป็นความภาคภูมิใจของอาหลอง เพราะที่ผ่านมาภาพยนตร์ไทยนั้นถูกมองข้ามมาตลอด

จากความสำเร็จของ ทอง อาหลองยังคงเดินหน้าบุกผลิตหนังแอ็กชันเรื่องเยี่ยมสู่ผู้ชมทั่วโลก ทั้ง ตัดเหลี่ยมเพชร และ ทอง ภาค 2 – 4 ซึ่งแม้เนื้อหาจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ทุกเรื่องก็ล้วนมีหัวใจอยู่ที่ทองคำ

อย่าง ทอง 3 เล่าถึงทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งซึ่งพบวัดร้างที่มีเทวรูปทองคำซุกซ่อนอยู่ แต่ระหว่างที่กำลังแบ่งสมบัติ เกิดมีผู้หักหลังฆ่าเพื่อนร่วมทีมแล้วนำเทวรูปไปซ่อนไว้ ก่อนจะกลับมาเมืองไทยในอีก 8 ปีต่อมา แต่ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะทหารที่เขาคิดว่าสังหารไปแล้วคนหนึ่งยังไม่ตาย 

จุดเด่นอย่างหนึ่งที่อาหลองยังคงรักษาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง คือดาราระดับอินเตอร์ที่พาเหรดมาร่วมแสดง ตั้งแต่ Olivia Hussey นางเอกจากภาพยนตร์ออสการ์ Romeo and Juliet แล้วยังมี Erik Estrada พระเอกเรื่อง Chips หรือ ฉลามบก

แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือไอเดียที่ใส่มาแบบไม่ยั้ง เพื่อดึงดูดผู้ชมให้ได้มากที่สุด

อย่างเรื่องหนึ่งที่อาหลองภูมิใจที่สุด คือฉากมอเตอร์ไซค์บิน ใน ทอง 2 ซึ่งไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดกล้าทำมาก่อน 

“อาบินไปฮอลลีวูด ไปติดต่อพวกวิศวกร ถามว่าทำมอเตอร์ไซค์บินแบบวิ่งแล้วกางปีกได้ไหม บินข้ามหน้าผาไปเลย เขาบอกว่าได้ I am professional เราก็เชื่อ จ่ายไป 2 ล้านกว่าบาท

“พอถึงวันถ่าย เขาก็บอกอาว่าต้องถ่ายตอนเช้ามืด ลมนิ่ง ไม่เกิน 7 โมง ไปขึ้นยอดดอยแถวสระบุรี สูง 100 กว่าเมตร ต้องขับรถขึ้นไป ตั้งมอเตอร์ไซค์ตรงนั้นพร้อมกล้องทั้งหมด 5 ตัว พอถึงเวลา Ready แล้วก็ Action ติดเครื่องเลย ตอนแรกอาคิดว่าคงไม่กล้าบิน ปรากฏว่าบินผ่านหน้าผาไปเลย”

สารตั้งต้นส่วนใหญ่ของอาหลองมาจากความหลงใหลในการชมภาพยนตร์ฝรั่ง

อย่างผู้กำกับคนหนึ่งที่เขาชื่นชมมากคือ เจมส์ คาเมรอน อยากสร้างคนเหล็กแบบ The Terminator บ้าง เพราะถึงไม่หล่อ แต่ก็เปี่ยมด้วยความเท่และทักษะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร

แต่อาหลองก็ไม่คิดที่จะเลียนแบบ หากพยายามหาทางพัฒนาต่อยอด ฉีกแนวให้แตกต่าง เน้นความอลังการ ขอเพียงโดนใจผู้ชมเป็นพอ ต่อให้ลงทุนมหาศาล ทุ่มไม่อั้น เจ๊งเป็นเจ๊งก็ไม่เป็นไร 

เพราะฉะนั้น เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รวมถึงฉากผาดโผนต่าง ๆ ถ้าถ่ายทำได้ ก็จะใช้ของจริง

แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะหาเทคนิคมาช่วย เช่น หากถ่ายเครื่องบินเสร็จ พอถึงฉากชน ฉากระเบิด ก็เปลี่ยนมาใช้โมเดลเหมือนของจริง แล้วถ่ายแบบ Slow Motion ซึ่งให้อารมณ์เหมือนจริงทุกประการ

แต่ทว่ายุคทองของวงการหนังไทยก็ต้องมีวันสิ้นสุด หนังบู๊ทุนต่ำ คุณภาพแย่ออกมาเกลื่อนไปหมด แถมโอกาสที่จะหานายทุนมาลงทุนให้หลายล้านบาทเพื่อผลิตหนังฟอร์มยักษ์ก็ยากมากขึ้น

แน่นอน หากให้อาหลองที่ผลิตหนังบู๊เกรดเอบวกมาตลอด 2 ทศวรรษ หันมาสร้างหนังประเภทระเบิดภูเขาเผากระท่อม แบบนั้นสู้ไม่ทำเสียดีกว่า พ.ศ. 2539 หลังกำกับภาพยนตร์เรื่อง สุดขีด มังกรเจ้าพระยา 2 เป็นที่เรียบร้อย อาหลองจึงตัดสินใจหยุดพักชีวิตในโลกเซลลูลอยด์ และเดินหน้าสู่โลกใบใหม่ที่ท้าทายไม่แพ้กัน

ในวัย 65 ปี ชีวิตของอาหลองก็มาถึงจุดพลิกผัน เมื่อเขาได้รับการทาบทามจากผู้บริหารของช่อง 7 สีในยุคนั้นให้มาร่วมงานด้วย

เมื่อ พ.ศ. 2541 ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่านละครของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ จากเดิมที่เคยมีผู้ผลิตเจ้าประจำเพียง 2 รายใหญ่ คือ ดาราวิดีโอ กับ กันตนา ก็เริ่มมีผู้จัดรายใหม่ ๆ เข้ามาทำละครให้ ทั้ง อัครมีเดีย ของ กิตติ อัครเศรณี ไพโอเนียร์ ของ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล รวมถึง เป่า จิน จง ของ นพพล โกมารชุน 

การเข้ามาของอาหลองและบริษัท บางกอก ออดิโอวิชั่น จำกัด ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ให้ละครแนวบู๊ของช่อง 7 เลยก็ว่าได้ เพราะเขานำประสบการณ์สมัยทำภาพยนตร์ ทั้งมุมภาพและการเล่าเรื่องที่เน้นความฉับไวมาประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่ 

ประเดิมผลงานชิ้นแรกคือ ระย้า จากบทประพันธ์สุดคลาสสิกของ สด กูรมะโรหิต 

ระย้า เล่าเรื่องยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการต่อสู้ โดย ระย้า เป็นเด็กที่เกิดในยุคนั้น ทำงานต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ลับ ๆ พร้อมกับหาทางแก้แค้นคนที่ฆ่าพ่อของเขาไปด้วย

“ระย้า เป็นหนังสือเล่มเดียวของสดที่เขียนเป็นเรื่องตลาด ส่วนเล่มอื่นเป็นเรื่องคลาสสิก อาเลือกเรื่องนี้มาทำเพราะเรื่องมันใหญ่มาก เราคิดถึงตอนที่ญี่ปุ่นมาบุกอ่าวมะนาว สู้กันฉิบหายวายป่วงเลย แล้วมันยังมีเรื่องความผูกพัน ถือเป็นเรื่องที่เขียนดีมาก”

ระย้า ใช้เวลาถ่ายทำนานร่วมปี โดยฉากสำคัญตอนญี่ปุ่นบุกนั้นได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพเรือ นำเรือเปิดหัว 5 ลำ พร้อมตัวประกอบกว่า 7,000 ชีวิตมาร่วมแสดง อาหลองใช้เวลาถ่ายฉากนี้ฉากเดียวนานถึง 12 วัน ก่อนจะตัดต่อเหลือเพียง 12 นาทีเท่านั้น

แม้จะเกินงบที่ได้รับอนุมัติไปพอสมควรจนต้องควักเนื้อเอง แต่สำหรับอาหลองแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าคุ้มค่า และยังช่วยการันตีถึงความทุ่มเทของชายที่ชื่อ ฉลอง ภักดีวิจิตร ได้เป็นอย่างดี

ระย้า ออกอากาศครั้งแรก ในวันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2541 หากแต่ศุกร์อาถรรพ์ก็ไม่สามารถฉุดรั้งความแรงของละครได้ ยืนยันได้จากเรตติ้ง 26 แถมยังจุดกระแสอยากเป็น พีท ทองเจือ พระเอกของเรื่อง ให้เด็กผู้ชายไทยหลายคนในสมัยนั้นอีกด้วย

อาหลองยังคงเดินหน้าผลิตละครอย่างต่อเนื่อง เช่น ดาวคนละดวง อังกอร์ ทอง 5 ล่าสุดขอบฟ้า ฝนใต้ เหล็กไหล ชุมแพ เสาร์ 5 นักฆ่าขนตางอน และอื่น ๆ อีกมากมาย

หากแต่ผลงานที่ขึ้นหิ้งและเป็นตำนานมากที่สุด คงหนีไม่พ้น อังกอร์ ซึ่งทำเรตติ้งสูงถึง 31 

อังกอร์ นำเรื่องราวของหญิงสาวที่มีวิญญาณเสือสมิงอยู่ในตัว และเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็จะกลายร่างเป็นเสือ ทำร้ายทุกคนแม้แต่คนที่รัก วิธีหยุดยั้งคือต้องนำกริชวิเศษมาแทงที่หัวใจ

“อังกอร์ เป็นไอเดียของเรา พระเอกเป็นทหารหนีทัพ มีฉากฆ่ากันตาย ต้องหนี มีรถถัง มีระเบิดเต็มไปหมด ตอนสร้างใช้เงินเยอะมาก 

“จำได้เลยว่าตอนจบที่พระเอกเอากริชแทงแล้ววิญญาณเสือออกมา อาทำเป็นสีเขียวออกมาจากร่าง แล้วนางเอกก็ฟื้น ตอนนั้นก็เถียงกับคนเขียน (นอร์แมน วีรธรรม) เพราะเขาจะให้วิญญาณเสือไปเข้าคนนู้นคนนี้ต่อ อาก็บอกว่ามึงจะบ้าเหรอ ต้องคนเดียว” อาหลองเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

หากวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของอาหลอง ส่วนหนึ่งมาจากความพิถีพิถัน เน้นความประณีต อลังการ สมจริง ต่อให้บุกป่าฝ่าดงก็ต้องไป ที่สำคัญ ไม่มีการถ่ายทำไปแล้วออกอากาศพร้อมกันเด็ดขาด และหากฉากใดที่นักแสดงเล่นไม่ดีก็ต้องถ่ายซ่อม จนกว่าจะได้ภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือความสนุก เหมาะกับผู้ชมทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งตรงนี้ก็เป็นตั้งแต่การเลือกเรื่องแล้ว โดยเน้นเรื่องที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องตีความหรือปีนบันไดดู

แน่นอน แม้บ่อยครั้งหลายคนจะบอกว่าละครของค่ายอาหลองเชย เปิดมาเมื่อไหร่ก็มักมีแต่ฉากน้ำตก เข้าถ้ำ และปิ้งไก่ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง นี่คือเอกลักษณ์ที่ช่วยให้ทุกคนจดจำได้

“ความจริงเรามีทุกรส ทั้งฉากบู๊ แอ็กชันใหญ่ ๆ ความรัก ผจญภัย แล้วยังมีกราฟิกมาช่วย แต่บางทีคนก็สนใจจุดเล็ก ๆ ว่าทำไมต้องย่างไก่ ทำไมไม่กินกระต่ายบ้าง คือมันหายากไง”

อาหลองมักเปรียบเปรยว่า การทำละครก็เหมือนทำสงคราม แต่เป็นสงครามกดปุ่ม โดยมีเป้าหมายคือทำให้ผู้ชมไม่เปลี่ยนช่องต่อให้เข้าช่วงพักโฆษณาก็ตาม ด้วยไม่อยากพลาดแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งที่ผ่านมาอาหลองก็มักเป็นฝ่ายกุมชัยชนะตลอด ยืนยันได้จากเรตติ้งและกระแสของผู้ชมที่มีให้ละครของเขาเสมอมา

แม้อายุจะล่วงเลยถึง 92 ปี แต่ชายคนนี้ไม่เคยมีความคิดที่จะเกษียณ

เขายังสนุกที่ได้สร้างสรรค์ผลงานร่วมกับช่อง 7 สี แม้จะเปลี่ยนผ่านเป็นยุคช่อง 7HD แล้วก็ตาม

เพราะนอกจากความผูกพันด้วยถือว่าตัวเองกำเนิดมาจากวิกหมอชิตแล้ว ที่นี่ยังเปิดโอกาสและให้อิสระฝีมืออย่างเต็มที่

อย่างละครเรื่องล่าสุด แคน 2 แผ่นดิน ก็เป็นเรื่องที่อาหลองตั้งต้นขึ้นเองผ่านนามปากกา ‘ดรรชนี’ โดยถ่ายทอดเรื่องราวของสายเลือดที่พลัดพรากและต้องกลายเป็นศัตรูกันโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในเรื่องเต็มไปด้วยฉากบู๊ที่ดุเดือด ทั้งการใช้เรือบรรทุกสินค้า Ever Grade หนีตำรวจ หรือยิงจรวด RPG ถล่มคนร้าย

เพราะถึงอายุจะมากแล้ว แต่อาหลองก็ยังเปี่ยมด้วยไอเดีย ขยันเติมความรู้ให้ตัวเองไม่เคยหยุด ทั้งสั่งซื้อนิตยสาร American Cinematographer มาอ่านเป็นประจำทุกเดือน ตลอดจนเข้าโรงภาพยนตร์ หาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เพื่อให้ละครของค่ายโกลด์ ซี.พี.จี.เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 

“อาดูหนังฝรั่งอย่างเดียวเลย ล่าสุดก็เพิ่งดู Avatar 2 ยิ่งภาคแรกดีทุกฉากเลย ทั้งที่เรื่องมีนิดเดียว โดยฉากหนึ่งที่ติดใจมากที่สุดคือ ฉากที่ปีนภูเขาไต่ขึ้นไปจับนก เจมส์ คาเมรอน นี่สุดยอด เยี่ยมมาก”

จากความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันหมด ทำให้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 อาหลองได้รับการบันทึกสถิติใน Guinness World Records ในฐานะผู้กำกับการแสดงที่อายุมากที่สุด (ฝ่ายชาย) โดยบุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้ได้รับรางวัล คือ อาร์ต-ศุภวัฒน์ อ่ำประสิทธิ์ ซึ่งร่วมงานกันมาตั้งแต่ละครเรื่อง ทอง 10 

“อาร์ตนี่รอจะเล่นละครกับอามา 15 ปี ตั้งแต่ยังอยู่กันตนา แล้วมันว่ายน้ำไม่เป็น ก็ไปหัดดำน้ำจนเป็น จากนั้นก็เล่นด้วยกันเรื่อยมาตลอด พอตอนหลัง อาร์ตไปรีเสิร์ชพบข้อมูลว่า ในโลกนี้มีผู้กำกับคนเดียวที่อายุ 92 ปีแล้วยังทำงานอยู่ การเคลื่อนไหวยังแข็งแรง สมองใช้การได้ดี แล้วเขาก็ไปคุยกับ Guinness World Records ว่าสนใจไหม ทางนั้นบอกว่าสนใจมาก แล้วเขาก็ขอใบรับรองมาทางช่อง 7

 “ทางผู้ใหญ่ของช่อง 7 ก็ยินดีให้การสนับสนุน ทำใบรับรองว่า นายฉลอง ภักดีวิจิตร สร้างละครโทรทัศน์ให้ช่อง 7 มา 25 ปีแล้ว แต่ละเรื่องมีเรตติ้งสูงมาก และตอนนี้กำลังสร้างละคร แคน 2 แผ่นดิน ยังไม่เคยหยุดถ่ายและยังจะทำต่อไปด้วย แล้วเราก็ส่งพาสปอร์ต บัตรประชาชนไปให้เพื่อเป็นการยืนยัน จากนั้นเขาก็มอบ Certificate มาให้ อย่างที่ทุกคนเห็น”

รางวัลนี้ถือเป็นขวัญและกำลังใจ และยังช่วยยืนยันว่ามีผู้คนอีกมากมายที่มองเห็นคุณค่าของผลงานและความตั้งใจที่อาหลองทุ่มเทมาทั้งชีวิต ผ่านหนังและละครกว่า 60 เรื่อง

และในวันนี้เขายังมีอีกฝันที่อยากทำให้สำเร็จ คือการหวนกลับไปทำภาพยนตร์อีกครั้ง

“อากำลังหาทุนสัก 200 ล้านบาท เพื่อทำหนังเรื่อง อังกอร์ เดอะ มูฟวี ออกสู่ตลาดโลก ตอนนี้มีพล็อตอยู่แล้ว แต่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง คือ อังกอร์ เรื่องมันดี คนทั่วประเทศรู้จัก เคยมีคนเล่าให้ฟังว่าตอนที่ฉายมีคนนิมนต์พระไปสวด พระบอกไม่ไปหรอก รอดู อังกอร์ ก่อน” อาหลองเล่าพร้อมหัวเราะไปด้วย

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของผู้กำกับที่ไม่ยอมให้กาลเวลามาหยุดยั้งความฝันและจินตนาการในการสร้างผลงานคุณภาพ เพื่อขอบคุณผู้ชมทั่วประเทศที่ยังเชื่อมั่นในตัวเขาไม่เปลี่ยนแปลงตลอด 70 กว่าปี

ขอบคุณภาพประกอบเพิ่มเติมจาก ช่อง 7HD, บริษัท โกลด์ ซี.พี.จี.เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และหนังสือ ศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2556