เราตกหลุมรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ
ที่แห่งนี้ จะทำให้เราได้พบใครโดยบังเอิญ
ที่แห่งนี้ อาจทำให้เราตกหลุมรักแบบไม่ทันตั้งตัว
ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่เดต…
และอาจทำให้เราจูงมือรักของเราออกไปด้วยกันได้
BUNKITSU (บุง-คิต-สึ) เป็นร้านหนังสือสร้างความรักและความสัมพันธ์เช่นนี้
ความรักสำเร็จรูปกับความทรงจำที่จางหายไป
เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2018 ร้านหนังสืออาโอยาม่าบุ๊คเซ็นเตอร์ สาขา Roppongi ปิดตัวลง
ปิดประวัติศาสตร์ 38 ปีของสาขา
ในวันที่ร้านเปิดวันสุดท้าย มีผู้สื่อข่าวจำนวนมากมาทำข่าว
มีลูกค้าเก่าแก่มาเข้าแถวซื้อหนังสือเป็นที่ระลึกครั้งสุดท้าย
หนังสือ อาจจะยังเป็นที่รัก
แต่ร้านหนังสือหลายแห่ง รวมถึงร้านอาโอยาม่าอยู่ไม่ได้ในโลกยุคนี้
ปัจจุบัน คนญี่ปุ่นเลือกซื้อหนังสือทางออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ค้นหาชื่อหนังสือ กดสั่งซื้อ หนังสือก็จะมาส่งถึงหน้าบ้านภายในเวลาไม่เกิน 2 วัน
ความฉลาดของร้านหนังสือทางออนไลน์ปัจจุบันคือเว็บวิเคราะห์ได้ว่าคนที่ชอบหนังสือประเภทนี้
น่าจะสนใจว่าหนังสือเล่มใดที่เป็นแนวเดียวกันบ้าง นั่นทำให้ลูกค้าออนไลน์มีความสุขในการได้เจอหนังสือในแนวที่ตัวเองชอบ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยลองอ่านหนังสือเล่มนั้นๆ
จะว่าไปก็คล้ายกับความรักสำเร็จรูป เราเจอหน้าหนังสือเพียงแวบเดียว
อ่านรีวิวที่คนอื่นเขียนถึงหนังสือเล่มนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตัดสินใจเลือกซื้อหนังสือแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ก็อาจ (อ่าน) จบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
รักแรกพบและรักที่ตามหา
6 เดือนหลังจากร้านหนังสืออาโอยาม่าปิดตัวลง ณ สถานที่เดิม เกิดร้านหนังสือแห่งใหม่ ชื่อ BUNKITSU (文喫)
BUN แปลว่า วัฒนธรรม KITSU แปลว่า ดื่ม
BUNKITSU จึงแปลว่า ที่ที่ดื่ม (ด่ำ) วัฒนธรรม
แนวคิดของร้านคือ “ร้านหนังสือที่จะได้พบรักกับหนังสือ”
อาจเป็นการบังเอิญตกหลุมรัก หรือความรักที่เราค่อยๆ ค้นหา พลิกหนังสือทีละเล่มๆ
จนกว่าจะเจอหนังสือที่ใช่

ภาพ : www.fashion-headline.com
ธีมสีของร้านคือ ‘สีรักแรกพบ’ เป็นสีชมพูอ่อนๆ
ในร้านมีหนังสือกว่า 30,000 เล่ม แต่ไม่มีเล่มไหนซ้ำกันเลย หนังสือหนึ่งปก หนึ่งชื่อ หนึ่งเล่มนี้ จะมีเจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง
หนังสือแบ่งตามหมวดต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม สังคมวิทยา ท่องเที่ยว แต่เพื่อให้ลูกค้าสนุกกับการตามหารักแท้ ร้านจะวางหนังสือเป็นกองๆ ทำให้ลูกค้าต้องค้นคุ้ยพลิกปกหนังสือตามกองนั้นๆ

ภาพ : www.haconiwa-mag.com

ภาพ : www.fashion-headline.com
ชั้นวางหนังสือเองก็ไม่ได้เรียงหนังสือตามขนาด แต่คละกันไปหมด หนังสือปกอ่อนปนกับหนังสือปกแข็ง หนังสือภาษาญี่ปุ่นปนกับหนังสือต่างประเทศ หนังสือเล่มเล็กอาจถูกจับไปวางข้างหนังสือเล่มหนาๆ โตๆ ก็ได้

ภาพ : http://himukazu0616.hatenablog.com

มุมตาชั่ง …Left or Right?
ภาพ : http://himukazu0616.hatenablog.com
รักที่ใช่
ท่ามกลางการล้มหายตายจากของร้านหนังสือเล็กๆ ที่นี่จึงตัดสินใจเก็บ ‘ค่าเข้าร้าน’ มูลค่า 1,500 เยน (ประมาณ 500 บาท) ด้วยความเชื่อที่ว่าช่วงเวลาในการบรรจงเลือกหนังสือนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า
ใครจะใช้บริการต้องเสียค่าเข้าร้านนี้เพื่อเข้าไปซื้อหนังสือ อนึ่ง ค่าหนังสือไม่ได้ถูกหักจาก 1,500 เยนนี้แต่อย่างใด
สิ่งที่ลูกค้าจะได้ คือ
หนึ่ง สิทธิ์ในการเข้าไปเลือกหนังสือได้
สอง อยู่ในร้านนานเท่าใดก็ได้
สาม ดื่มชากาแฟกี่แก้วก็ได้
ร้านแบ่งเป็น 5 ส่วน คือ
หนึ่ง ห้องเลือกหนังสือมีหนังสือกว่า 30,000 เล่มให้เลือกสรร

ภาพ : http://bunkitsu.jp

ภาพ : www.cinra.net
สอง ห้องอ่านหนังสือ หลังพบหนังสือที่ ‘น่าจะ’ ใช่แล้ว เราพาหนังสือมาเดตที่มุมสงบๆ บริเวณห้องนี้ได้

ภาพ : http://bunkitsu.jp

ภาพ : www.haconiwa-mag.com
สาม ห้องวิจัยเป็นบริเวณที่ใช้เสียงได้ พูดคุยกับเพื่อนหรือประชุมงานได้ บางคนจึงใช้บริการร้านในฐานะ Co-working Space เช่นกัน

ภาพ : http://bunkitsu.jp
สี่คือ คาเฟ่ซึ่งให้บริการอาหาร เครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ ทำให้ผู้อ่านสามารถอยู่ในร้านทั้งวันได้

ภาพ : http://bunkitsu.jp

ภาพ : http://bunkitsu.jp
โซนสุดท้ายคือ ห้องนิทรรศการ รวมนิตยสารกว่า 90 ปก โซนนี้เป็นเพียงโซนเดียวที่ไม่มีค่าใช้จ่าย อยู่บริเวณทางเข้าร้าน

ภาพ : http://bunkitsu.jp

ภาพ : www.haconiwa-mag.com
เมื่อได้เดตกับหนังสือที่ ‘น่าจะ’ ใช่ และพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นหนังสือ ‘ที่ใช่’ แล้ว เราก็ควงหนังสือที่รักเดินลงบันไดที่เปรียบเสมือน Virgin Road (ทางเดินสำหรับเจ้าสาว) ไปชำระค่าหนังสือได้เลย
ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยข้อมูลบนหน้าจอมือถือ การค่อยๆ หยิบหนังสือไปนั่งอ่าน ค่อยๆ เปิดพลิกหน้ากระดาษทีละหน้า สูดกลิ่นหนังสือแต่ละเล่ม อาจกลายเป็นช่วงเวลาที่พิเศษและล้ำค่าก็ได้
มาตกหลุมรักอีกสักครั้งกันค่ะ
ข้อมูลร้าน
ลงสถานี Roppongi ของรถไฟใต้ดินสาย Hibiya/Ooedo
เดิน 1 นาทีจากประตู 3・1A
แผนที่: http://bunkitsu.jp/#access