บิ๊ก-บริรักษ์ อภิขันติกุล เรียกต้นกาแฟว่า ‘คุณแม่’
บิ๊กเรียกเกษตรกรบนดอยว่า ‘กาแฟกร’ เพราะอยากทำงานกับเพื่อนที่บังเอิญเป็นชาวสวนกาแฟ
บิ๊กตั้งชื่อลูกว่า ดิน ชื่อจริงคือ วนรักษ์ เพราะอยากให้ลูกมีคุณค่าเหมือนดินและรู้จักดูแลป่าไม้
น้อยคนจะรู้ว่าในอดีต บิ๊กประกอบอาชีพเป็นวิศวกรการบิน เขาตัดสินใจทิ้งความคาดหวังของสังคม เพื่อออกมาเป็นคนกาแฟที่ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะประสบความสำเร็จ หลังดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวจากผลผลิตของ วัลลภ ปัสนานนท์ อดีตนายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย
กำไรเดือนแรกของการเปิดร้านขนาด 2 x 2 เมตรอยู่ที่ประมาณ 700 บาท บิ๊กตื่นมาทุกเช้าด้วยคำถามว่า เขาเลือกทางผิดหรือไม่
สิ่งที่ยังยืนยันให้เขาเดินบนถนนลูกรังนี้ต่อไป คือถนนเส้นนี้นำพาเขาไปพบกับเกษตรกรสวนกาแฟที่ทำกาแฟด้วยสัญชาตญาณและความรู้ตกทอดบนดอยสูง รอคอยใครสักคนมาคั่วเมล็ดของพวกเขาถึงที่และบอกว่ามันมีดีอย่างไร
เป็นเวลากว่า 10 ปีที่บิ๊กศึกษากาแฟอย่างจริงจังลึกซึ้ง ขยับขยายร้าน School Coffee ให้เติบโต ก่อนจะลงหลักปักฐานที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อใกล้ชิดกาแฟให้มากขึ้น และเปิดร้านกาแฟสุขพอดี Simply Happy เป็นความสุขที่เขาใฝ่หา
นี่คือการถอดบทเรียนชีวิตที่บิ๊กได้จากกาแฟ
เรียบง่าย กลมกล่อม ไม่หวานจนเลี่ยน ไม่เปรี้ยวจนเกินไป
ทิ้งท้าย Aftertaste ได้น่าประทับใจ และดีงามในแบบที่กาแฟ 1 แก้วควรจะเป็น
School Coffee
ถ้าให้แนะนำตัว คุณจะเรียกตัวเองว่าอะไรในวงการกาแฟ
เราเป็นคนกาแฟคนหนึ่งในสังคมไทยที่ยังคงเรียบง่าย สนุก และยังมีความสุขอยู่กับการเรียนรู้เรื่องกาแฟ ได้ตื่นมากินกาแฟดี ๆ ได้ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์กับจุดใดจุดหนึ่งของสายพานการผลิตกาแฟไทยในบ้านเรา แล้วก็ยังรู้สึกภูมิใจที่ได้ขับเคลื่อนให้กาแฟไทยพัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีนิยามอะไรชัดเจนว่าเป็นใคร อะไร อย่างไร
บิ๊ก บริรักษ์ ถูกกาแฟตีหัวเข้าวงการได้ยังไง
เริ่มต้นจากเราดื่มกาแฟเพื่อให้ตื่น ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนั่งสอบ หรือเป็นคนทำงานออฟฟิศ Energy Drink สมัยเรามีตัวเลือกไม่เยอะ เรากินพวกกาแฟปั่น อะไรหวาน ๆ ที่ทำให้มีพลัง แล้วเราก็ค่อย ๆ ถลำลึกไปเรื่อย ๆ นะ
แรก ๆ เรากินมันเพื่อตื่น หลัง ๆ มานี้เราตื่นเพื่อกินมัน
คุณเริ่มกินกาแฟที่มีคุณภาพดีขึ้นตอนไหน
เราจบวิศวกรรมการบิน ทำงานประจำเป็นวิศวกรออกแบบชิ้นส่วนเครื่องบิน ทั้งในเชิงดีไซน์และเชิงการผลิต สมัยนั้นมีการตรวจร่างกายทุกปี คำแนะนำที่เราเจอทุกปีเลยคือ คุณหมอบอกว่าให้ลดกาแฟที่มีคอเลสเตอรอลสูง พอเริ่มลดปุ๊บ มันก็ต้องวิ่งเข้าสู่กาแฟดำ
เราไม่รู้จักหรอกว่าคั่วกลาง คั่วเข้ม คั่วอ่อน คืออะไร กินแล้วขมมาก วันดีคืนดีมีโอกาสได้ไปกินกาแฟของ พี่วัลลภ ปัสนานนท์ แล้วเราก็งงว่า ทำไมกาแฟพี่วัลไม่เหมือนคนอื่น มันมาจากไหนวะเนี่ย เลยไปศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากพี่วัลเอง จากการอ่านหนังสือ เราก็เริ่มเข้าใจว่ากาแฟดี ๆ อาจไม่ใช่เรื่องของการคั่วเข้ม ๆ แต่ว่าด้วยธรรมชาติความอร่อยจริง ๆ ที่เกิดจากสารกาแฟเอง
เราเริ่มตามหากาแฟที่เป็น Single Origin เริ่มไปกินกาแฟเมืองนอกต่าง ๆ เอธิโอเปีย เคนยา โคลอมเบีย แล้วก็ย้อนกลับมากินกาแฟไทยเราอยู่เรื่อย ๆ
กาแฟแก้วนั้นของพี่วัลเปลี่ยนชีวิตยังไง
โอ้โห เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมาก ๆ ของชีวิต
มันคือจุดเริ่มต้นของการศึกษาโลกกาแฟอย่างจริงจัง แล้วสุดท้ายก็ทำให้เราลาออกจากงาน
เพราะอะไร
พอเราขึ้นไปหาพี่วัล เราเห็นว่าการได้มาซึ่งกาแฟที่ดี ๆ มีขั้นตอน ไม่ใช่การปล่อยธรรมชาติปลูก ปล่อยเทวดาปลูก มันเต็มไปด้วยความพยายามของมนุษย์คนหนึ่งที่จะดูแลต้นกาแฟและพื้นที่ในการปลูก
ทริปกาแฟต่อมาที่เราเดินทางไปคือ Coffee Journey ของ ลี (อายุ จือปา) ตอนกินเราก็รู้แหละว่ายังไม่อร่อยเท่าพี่วัลแน่ ๆ แล้วเราก็เห็นว่าเหตุผลของความไม่อร่อยเท่าพี่วัลแน่ ๆ เกิดจากอะไรบ้าง เช่น สภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูกไม่ได้สมบูรณ์อย่างพี่วัล การโพรเซสกาแฟ Facility ทุกอย่าง ไม่ได้ตอบสนองให้เกิดการเกษตรที่มีคุณภาพ ก็เลยคิดกับลีว่า เราเอาชุดความรู้เหล่านี้ รวมไปถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่พี่วัลใช้มาลองใช้ที่บ้านเรากันบ้างไหม
ประกอบกับทำงานการบินมาเป็นปีที่ 7 เราไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ต้องประชุมทั้งวัน อยากไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ไป แล้วเราก็ตั้งคำถามว่า ในฐานะคนไทย เราทำอะไรให้ประเทศชาติได้บ้าง พอมาเจอพี่วัล เจอลี เลยรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นหน้าที่ของเรา แล้วเราก็เริ่มทำร้านกาแฟเล็ก ๆ
คุณให้เหตุผลกับบริษัทว่าอะไรในการลาออกครั้งนั้น
เรามีหัวหน้าที่เป็นหัวหน้าในอุดมคติเลย ทุกวันนี้ผมก็ยังใช้แกเป็นต้นแบบในการดูแลร้าน
แน่นอน ในฐานะหัวหน้าเขาก็จะตะล่อมทุกอย่างเพื่อให้เราทำงานต่อถูกไหม แต่สุดท้ายเราก็คุยกัน ตรง ๆ ว่า ออกไปเนี่ย ผมน่าจะได้เงินหลักร้อย คำนวณจริง ๆ ตกเดือนหนึ่งประมาณ 700 – 800 เองพี่ แต่ก็ออกไปด้วยความตั้งใจจริง ๆ ไม่มีเหตุผลอื่นหรือว่าความอยากมีอยากได้แต่อย่างใดเลย แกก็โอเค ไม่ถามอะไรต่อ แล้วก็ไปเซ็นใบลาออกให้
ร้านแรกของ School Coffee เคยเห็นซุ้มโค้กไหม ขนาดแค่ 2 x 2 เมตร เรากับหุ้นส่วนเริ่มต้นธุรกิจกาแฟกัน 4 คน พยายามสร้างธุรกิจเชิงบวก อยากสร้างความสุขให้กับทุก ๆ คนที่อยู่ในสายพานการผลิต ทั้งเกษตรกร ธรรมชาติ คนแปรรูป คนคั่ว คนชง และลูกค้า
ไปเปิดกันอยู่ใต้หอนวชน เป็นหอของเด็ก ม.เกษตรศาสตร์ อยู่ในซอยลึก ๆ พูดง่าย ๆ คือเราตั้งใจจะไปเก็บตัว เหมือนนักฟุตบอลเก็บตัวก่อนไปเตะชิงแชมป์ ไปเรียนรู้ว่าทำกาแฟยังไงให้ดีก่อน ส่วนเป้าหมายปลายทางคือการพัฒนาสวนให้ดี แล้วก็ตั้งคอนเซปต์ง่าย ๆ ว่า รายได้ทุกแก้วคือการจ้างเราเรียน ไม่เสียเวลาหรอก
รายได้ปีแรกก็อย่างที่คาดการณ์เอาไว้ คือเดือนหนึ่ง หักค่าหอพัก ค่ากิน ค่าอยู่ เหลือประมาณ 700 – 800 แต่ก็เป็นชีวิตที่สนุกดี จากเคยมีอาชีพการงานมั่นคง ก็หล่นลงมาถึงจุดที่การเงินต่ำสุดเท่าที่เราจะเคยต่ำแล้ว แต่สิ่งที่เลี้ยงเราอยู่ได้คือความสุขที่ได้ทำ
จากเคยได้เงินเดือนเยอะมาก กลายเป็น 700 บาท มีสักแวบหนึ่งไหมที่คิดว่าตัดสินใจถูกรึเปล่า
มีหลายแวบเลยน้องเอ้ย
เรามีความสุขกับการตื่นเช้ามาเปิดร้านกาแฟมาก แต่ไม่มีคนหรอกตอนเช้า ๆ น้อง ๆ นักศึกษาก็รีบออกไปเรียน แทบจะทุกเช้าที่เราถามตัวเองเสมอเลยว่า เราทำอะไรอยู่ตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่ที่ลงทุนให้เราไปเรียนแพง ๆ เขาจะว่าอะไรเปล่าวะ ถึงเขาจะให้เราทำ แต่เขาจะคิดอะไรไหม มันมีคนเตะตัดขาเราตลอด แม้กระทั่งตัวเราเอง มีอุปสรรคในการหยุดยั้งความคิดเยอะมาก
ต้องมีกำลังใจจากคนที่เราให้ความสำคัญ อย่างไอ้เพื่อน ๆ ที่หุ้นกัน คุณพ่อ คุณแม่ หรือแฟน ณ เวลานั้น นั่นคือความสุขในจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรายังวางตัวเองอยู่ในเส้นทางนี้อยู่
เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มตั้งตัวได้แล้ว
ปีที่ 5 ในการทำ School Coffee ครับ เป็นตึกแถว 2 ห้อง ไม่ใช่ตู้โค้กแล้ว
ปีที่ 1 – 4 ว่ากันด้วยการเติบโตในเชิงความคิด การเรียนรู้ทั้งหมดต้องมีการลงทุน ซื้อเครื่องคั่วมาลองคั่วให้อร่อย ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพื่อน ๆ ไม่เคยถามเลยว่าซื้อมาทำไม ซื้อแล้วได้อะไร เกิดประโยชน์ยังไง ตราบใดก็ตามที่เพื่อนมึงยังมีความสุขกับการทำ มันก็พร้อมสนับสนุน
ตอนที่เริ่มขยับขยายจากตู้โค้กเป็นตึกแถวให้ความรู้สึกแบบไหน
สนุกมากเลยครับ เริ่มต้นจากปั่นจักรยานคุยกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนชื่อ ไอ้แก็ป บอกแก็ปว่า กูว่าเราพร้อมแล้วที่จะนำเสนอตัวเองให้คนอื่นรู้จักบ้าง เริ่มมั่นใจแล้วว่าทำกาแฟยังไงให้อร่อย บริหารจัดการสต็อกหลังบ้านได้เนี้ยบแล้ว พอคุยกันแล้วก็เริ่มออกมาหาสถานที่ เพราะเราต้องการฐานทัพในการสร้างสังคมที่เราอยากมี
พอปั่นจักรยานไปเจอตึกหนึ่งเขาติดป้ายให้เช่า เราก็ต้อง Pitching ขอเช่าตึก เพราะว่าตึกนี้ฮอตมาก เราทำเป็น Proposal เล็ก ๆ ไปให้เขาดู นำเสนอว่าจะทำอะไรกับตึกนี้บ้าง เล่าให้เขาฟังว่าไอ้สิ่งที่เราทำมีคุณประโยชน์กับคนบนดอยยังไง สุดท้ายเขาก็เลือกเรา
ตอนนั้น School Coffee ขายกาแฟพิเศษหรือยัง
เริ่มมีครับ กาแฟพิเศษสำหรับเราอาจไม่ใช่เรื่องกระบวนการการชงหรืออุปกรณ์ราคาแพง ๆ มันคือคะแนนของสารกาแฟที่ตัวเราเองในฐานะกรรมการของการตัดสิน บอกได้ว่ามากกว่า 80 คะแนน ตอนนั้นก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าเรามีกาแฟทั้งที่เป็น Commercial Grade และ Specialty Grade ซึ่งคอนเซปต์ที่เราไม่เคยทิ้งเลย คืออยากให้กาแฟเป็น Daily Coffee ทุก ๆ คนควรมีสิทธิ์ที่จะได้ดื่ม เราอยากให้คนได้ดื่มกาแฟคุณภาพดีในราคาที่เอื้อมถึงได้ทุกวัน
มีพี่ท่านหนึ่งเคยบอกว่า ร้านมึงเนี่ยดีว่ะ คนแม่งไม่ต้องปีนกระไดกิน เราดีใจกับคำพูดนี้มากและยึดถือมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
เรื่องกาแฟพิเศษค่อนข้างเฉพาะกลุ่มมากเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน คุณคุยกับใครบ้าง
สังคมกาแฟมีหลายทิศทาง แต่ทิศทางที่เราบ้าก็รวมตัวกันเรียกว่า ‘สหายกาแฟ’ ครับ คนที่เราคุยด้วยหลัก ๆ หรือคนที่เราเรียกว่าเป็นอาจารย์ ก็ไม่พ้นพี่วัล ไอ้ลี พี่ปิ (ปิยชาติ ไตรถาวร) พี่เอ (ณัฎฐ์ฐิติ อำไพวรรณ) เรามีโปรเจกต์เยอะมากที่ขึ้นไปทำที่แม่จันใต้
โปรเจกต์ที่เราจำไม่เคยลืมชื่อโปรเจกต์ ‘ลอง’ ลอง ที่แปลว่า ยาว กับ ลอง ที่แปลว่า ทดลอง เนี่ยแหละครับ เราไปอยู่บนไร่บนดอยกันเป็นอาทิตย์ ไปเป็นเกษตรกรคนหนึ่งให้เข้าใจก่อนว่าเกษตรกรรมของกาแฟต้องทำอะไรบ้าง มีปัจจัยอะไรอีกที่เราพัฒนา แก้ไข หรือปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อสร้างรสชาติที่ดีให้กับกาแฟ
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลคือการลองผิดลองถูก ไม่มีหรอกตั้งสมมติฐานไปแล้วแม่งต้องถูกต้องเสมอ แต่สำคัญมาก ๆ คือมันสอนเรา
กาแฟกร
จำความรู้สึกของวันแรกที่ขึ้นดอยไปเจอเกษตรกรไร่กาแฟได้ไหม
โห โคตรมีความสุข เราในเวลานั้นวุ่นวายกับชีวิตวิศวกรมาก ๆ เราพยายามแยกตัวเองจากงานให้ได้มากที่สุด การไปอยู่บนดอยทำให้เกิดความสงบ เรานั่งโง่ ๆ ใต้ต้นกาแฟ อยู่บนยอดภูเขาได้เป็นชั่วโมง นั่งฟังเสียงใบไม้ชนกัน เสียงลมปลิวไปปลิวมา ก้อนเมฆเคลื่อนที่ไปเคลื่อนที่มาโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย พอเรามีสติ มีสมาธิ ก็มักจะสร้างปัญญาให้เราเสมอ ไม่ว่าจะปัญญาต่อสายอาชีพหรือปัญญาต่อตัวเอง เราก็รู้สึกว่าโอเค นี่อาจจะเป็นโลกที่เราตามหาอยู่ อาจจะเป็นปลายทางของความสุขที่แท้จริงของตัวเรา
เกษตรกรหลาย ๆ คนที่แม่จันใต้เขาปลูกกันตามมีตามเกิด รัฐบาลก็หาทางเลือกให้กับชาวบ้านที่จะสร้างรายได้โดยที่ไม่ปลูกฝิ่น ปลูกกัญชา ผลก็คือกาแฟหรือผลไม้เมืองหนาวทั้งหมดเลย
แต่การปลูกไม่ได้มีใครเข้าไปช่วย เขาจะมาโยนไว้ให้แล้วไปทำกันเอง เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เราเห็นเทียบกับของพี่วัลมีเยอะมาก แต่จากวันนั้นจนวันนี้ ผ่านมา 5 – 6 ปี ชาวบ้านบนแม่จันใต้คั่วกาแฟกินเองแล้วนะ ไปรวมกันที่บ้านหลังหนึ่งแล้วก็เอากาแฟของแต่ละคนมานั่งคุยกัน
ผมเรียกว่าจุดไฟติด เครื่องสตาร์ตติด ผมไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอดูว่ารถคันนี้จะวิ่งไปทางไหน เรามีหน้าที่แค่ไปช่วยเขาเช็กเครื่อง เช็กน้ำ ดูซิว่ามันจะร้อนเกินไปไหม ที่ปัดน้ำฝนเปลี่ยนหรือยัง
คนเมืองอย่างคุณเข้าไปผูกมิตร ก่อฟืน ก่อไฟ ก่อนจะจุดไฟติดได้ยังไง
ที่แม่จันใต้ง่ายเพราะเรามีลีเป็นตัวกลาง แต่ถ้าเป็นสวนที่อยู่ดี ๆ เราขับรถเข้าไปหา แล้วคุยกับชาวบ้านว่า ผมเป็นคนทำกาแฟนะ ผมมีโรงคั่วเล็ก ๆ ผมอยากได้กาแฟพวกพี่มากเลย ส่งให้ผมหน่อยได้ไหม แล้วเดี๋ยวเราช่วยกันทำให้มันดีขึ้น จะมีสักกี่คนเชื่อคำพูดผม เพราะว่าเขาเองก็โดนหลอกมาเยอะ มันเป็นเรื่องของคู่บุญวาสนาแล้ว
เราเชื่อว่าคนที่มีศีลเสมอกัน เราเข้าไปคุยและพิสูจน์อะไรบางอย่างให้เขาเห็น เขายอมเปิดใจรับความช่วยเหลือ มันก็ปล่อยไปตามครรลอง ปล่อยตามธรรมชาติไป ถ้าสุดท้ายแล้วเขาไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบสิ่งที่เราทำ ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวไว้เจอกันใหม่ ซึ่ง ณ เวลานั้นมันก็ยาก เราไปหาสัก 10 แหล่ง จะได้มาคุยสักครึ่งแหล่ง ยังไม่ถึง 1 เลยนะ เราหาสัก 20 แหล่ง จะได้สัก 1 แหล่ง
สื่อสารกับเกษตรกรบนดอยยังไงให้เข้าใจ
เขามีหลายชนเผ่ามากครับ แต่ละชนเผ่ามีคาแรกเตอร์วัฒนธรรมในการครองชีพของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาไทย ถ้าพูดก็จะค่อยไม่ชัด แต่เราก็ต้องยอมรับ จะไปสอนเขาพูด บังคับให้เขาเรียนภาษาไทยก็คงเป็นไปไม่ได้
แสดงว่านอกจากคุยเรื่องกาแฟ ยังต้องสอนองค์ความรู้อื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย
แน่นอน เราเรียกทุก ๆ คนว่า บัดดี้
โจทย์แรกคือการที่คุณต้องเปิดใจกับการพัฒนา คือเราไม่ได้คาดหวังหรอกว่าแหล่งที่คุณมีคะแนนเต็ม 10 คุณจะได้ 9 ครึ่ง สิ่งที่เราคาดหวัง คือคุณพร้อมที่จะพัฒนาจาก 4 ไป 5 ไป 6 ไป 7 พร้อม ๆ กันกับเราไหม
ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ แสนชัย เขาเป็นเจ้าของสวนกาแฟคนหนึ่งที่เติบโตมาจากแทบจะไม่มีอะไรเลย คุณภาพสวนกาแฟค่อนข้างย่ำแย่ เราเข้าไปช่วยกันจัดการเรื่องดิน เลือกเพื่อนบ้านหรือต้นไม้ข้าง ๆ ที่เป็นสายพันธุ์อื่น ๆ ตอนนี้ปีล่าสุดเขาประกวดเมล็ดกาแฟได้ที่ 4 ด้วยสายพันธุ์บ้าน ๆ ที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ พิสูจน์ให้เห็นว่ากาแฟดีขึ้นได้นะถ้าเราเข้าใจว่ามันต้องการอะไร
ในเมื่ออุปสรรคคือเกษตรกรไม่ใช้ภาษาไทย แล้วโน้มน้าวยังไงให้เขาเห็นภาพความหวังเดียวกันกับคุณ
อันดับแรกคือให้กินกาแฟพี่วัลก่อนครับ (หัวเราะ)
เรามักจะพกกาแฟพี่วัลไปด้วย บอกเขาว่า พี่ มาลองกินกัน กาแฟดี ๆ รสชาติแบบนี้นะ ส่วนใหญ่เขาก็จะว้าว แล้วเราค่อยอธิบายว่าจริง ๆ แล้วการได้มาซึ่งรสชาติประมาณนี้ควรทำอะไรบ้าง มันเข้าถึงง่ายเพราะเขาได้สัมผัสด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่คำพูดที่เราสร้างภาพสวยงามให้เขาฟัง
ที่สำคัญมากคือการสร้างสัมพันธ์ส่วนบุคคลในฐานะมนุษย์กับมนุษย์ แสดงความจริงใจที่มีให้กับแหล่งปลูกนั้น ๆ เหมือนกันกับการสร้างเพื่อน เพราะเราไม่อยากทำงานกับชาวสวน เราอยากทำงานกับเพื่อนที่บังเอิญเป็นชาวสวน
เรามีโปรเจกต์เล็ก ๆ ชื่อว่า ‘School Bus’ พาคนที่สนใจกาแฟขึ้นไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ 3 วัน 2 คืน สิ่งหนึ่งที่เราก็เพิ่งมาเข้าใจว่าเราสร้างคุณประโยชน์มาก ๆ จากกิจกรรมนี้ คือกำลังใจที่ชาวบ้านในแต่ละท้องที่ที่ได้รับ โดยเฉพาะชนเผ่าปกาเกอะญอ เขาเป็นคนสุภาพจนขี้เกรงใจ กลัวแม้กระทั่งจะมาพูดคุยกับเรา แต่หลัง ๆ เราจับได้ว่าทุกครั้งที่มีลูกทริปขึ้นมาบนหมู่บ้าน เราจะเห็นความภาคภูมิใจของเขาที่อยากทำกาแฟให้ดีต่อไป เพราะมีคนรอกินกาแฟเขาอยู่
ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า เวลาขึ้นไปบนดอย ชาวบ้านจะรีบเอากาแฟมาให้คุณชิม
ใช่ เขาคงคิดว่าเราชอบกินกาแฟมาก
ชาวบ้านมี 2 ลักษณะ กลุ่มแรกคือมีการคั่วกาแฟอย่างบ้านแม่จันใต้ ถ้าไปทีคุณต้องเตรียมท้องไปดี ๆ เพราะจะมีเด็กรุ่นใหม่อายุ 20 ต้น ๆ ที่กลับมาหมู่บ้านแล้วอยากทำกาแฟให้พวกเราชิม 20 – 30 ตัวอย่าง หนักพอ ๆ กับการประกวดเลย
อีกกลุ่มคือไม่ได้มีเครื่องคั่ว ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับกาแฟมาก แต่เขาแค่อยากถือถุงพลาสติกธรรมดาใส่สารกาแฟมาให้เรา ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเราต้องการเท่าไหร่ เวลาขึ้นดอยเราก็จะเอาเครื่องคั่วเป็นตะแกรงกับเตาแก๊สเล็ก ๆ ไปด้วย เพื่อที่จะคั่วกินกับเขา อธิบายว่ากาแฟของเขาดีไหม ต้องทำยังไงให้ดีขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้นะว่าตอนนี้กาแฟกลายเป็นพืชที่เลี้ยงชีพพวกเขาได้โดยไม่ต้องลงแรงอะไรมาก เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวโพด สตรอว์เบอร์รี หรือผักต่าง ๆ
ที่สำคัญคือกาแฟเป็นพืชไม่กี่ชนิดหรอกที่อยู่กับป่าได้อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้น กลุ่มปกาเกอะญอที่เขานับถือผี นับถือวัฒนธรรมเก่า ๆ อย่างการบวชลูกไว้กับต้นไม้ 1 ต้น เป็นกุศโลบายให้เด็กคนหนึ่งดูแลต้นไม้ เขาก็จะทำทุกทางเพื่อรักษาป่าต้นน้ำเอาไว้และเลือกปลูกกาแฟมากขึ้นเรื่อย ๆ
รู้สึกยังไงที่คุณเหมือนกลายเป็นหมุดหมายของชาวบ้าน ตั้งใจทำสวนตัวเองให้ดีเพื่อนำมาให้คุณชิม
ภูมิใจมาก เรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่จะได้ชิมกาแฟของทุกท่าน
แต่ขออย่างเดียวนะครับ เราขอน้ำพริกอร่อย ๆ ซึ่งชาวบ้านเขาจะรู้กัน เมื่อไหร่ที่ขึ้นไปเขาก็จะเตรียมชุดใหญ่ไว้ให้ (หัวเราะ)
ต้องเผยแพร่ความรู้ไปจนถึงระดับไหนถึงรู้สึกว่าพอได้แล้ว
อันดับแรก เราเชื่อว่ากาแฟไม่เคยหยุดนิ่ง การที่สักคนหนึ่งจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟ พูดแค่นี้มันก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแล้วไหม เราต้องศึกษาไปตลอดไม่ว่าจะมากจะน้อย การอยู่จุดที่ทุกคนรออะไรบางอย่างจากเรา ถ้าหยุดอยู่กับที่ก็เท่ากับเราเดินถอยหลัง เราต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เป็นเหตุผลมาก ๆ ที่เราตั้งชื่อร้านว่า School Coffee เราเชื่อว่ามนุษย์ต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ ตรงที่เราส่งต่อความดีงาม ทั้งวัฒนธรรม ความรู้ มารยาท และอีกมากมายที่จรรโลงโลกใบนี้ให้สวยงาม ซึ่งเวลานี้มันคือองค์ความรู้การทำกาแฟให้ดี ไม่ว่าคุณจะอยู่บทบาทไหนของสายพานการผลิตก็ตาม
มันเป็นเป้าหมายในชีวิตเราที่จะต้องส่งต่อความรู้เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะทำไม่ไหวแล้ว จนกว่าเราจะไม่มีแรงปีนดอยไปบู๊ ๆ กับน้อง ๆ จนกว่าเราจะไม่มีแรงยกถ้วยกาแฟ ยกช้อนชิมกาแฟ แล้วอธิบายใครว่ากาแฟตัวนี้เป็นยังไง จนกว่าวันหนึ่งเราจะมีน้อง ๆ ที่รู้สึกว่าเขาบ้าไปกับเราได้ขนาดที่เราเคยเป็น ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้น เราจะไปต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่ไหว
มองไม่เห็นภาพตัวเองหยุดทำกาแฟเลยเหรอ
เออ ไม่เลยนะ
แต่มีภาพหนึ่งที่เคยคุยกับภรรยาไว้ว่า ถ้าลูกโตแล้ว ถ้าเราวางใจเรื่องกาแฟให้กับน้อง ๆ ได้ เราอยากไปอยู่สงบ ๆ บนป่า บนเขา ไม่มีปัจจัยทางโลกมาเกี่ยวข้องอะไรมาก แต่ถ้าถามว่ามีอาชีพอื่นไหม ผมนึกไม่ออกเลยจริง ๆ
ทำไมถึงตั้งชื่อลูกชายว่า น้องดิน
มันประกอบกันหลายอย่าง แต่ปัจจัยสำคัญคือเรื่องกาแฟกับหนังสือเล่มหนึ่ง
ภรรยาผมชอบอ่านหนังสือมากครับ ตอนตั้งท้องก็ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุก ๆ วัน ผมอ่านหนังสือแล้วหลับ เลยต้องนอนฟังภรรยาอ่าน มันชื่อว่า ดิน-วิญญาณ-สังคม : Soil-Soul-Society
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเข้าใจว่า ดินเป็นจุดเริ่มต้นของแทบทุกอย่างบนโลกใบนี้ และเป็นจุดย่อยสลายของแทบทุกอย่างบนโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน เราอยากให้ลูกเกิดมามีคุณค่าแบบนั้น
ส่วนชื่อจริงชื่อ วนรักษ์ วน ที่แปลว่า ป่า รักษ์ ที่แปลว่า รักษา เราอยากให้ดินดูแลป่าเขาต่อไป ด้วยการเลี้ยงดูของเราก็พยายามพาเข้าสวน เข้าป่าอยู่ตลอด ดินมีความสุขกับการอยู่กับธรรมชาติ นั่นคือสิ่งที่เรารู้ ส่วนตอนนี้ไปช่วยแม่ปลูกผักอยู่หน้าบ้าน (หัวเราะ)
Good Coffee for Everyone
ในฐานะที่อยู่ในวงการกาแฟไทยมานับสิบปี มองเห็นพัฒนาการอะไรบ้าง
จริง ๆ มีทั้งสิ่งที่พัฒนาและหยุดนิ่ง
สิ่งที่พัฒนาเป็นภาพใหญ่ที่เติบโตมาก ตั้งแต่เรื่องเกษตรกรรม เทคนิคการแปรรูป การคั่วกาแฟด้วยรูปแบบใหม่ ๆ ที่สำคัญคือลูกค้าผู้ดื่ม คือทั้งหมดจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ถ้าลูกค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการยอมจ่ายเงินแพง ๆ ซึ่งการที่ลูกค้ามีมากขึ้นและเก่งขึ้น ทำให้ทั้งสายพานการผลิตมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน
แต่ก่อนเราจะได้ยินคำว่า ‘ปล่อยเทวดาปลูก’ เยอะมาก นาทีนี้ต้องไม่ใช่แค่นั้นแล้ว มันคือการใช้ความพยายามของมนุษย์ทั้งแรงกาย แรงเงิน และแรงใจ เข้าไปทำให้สภาวะธรรมชาติกลับมาพร้อม เพื่อให้ต้นกาแฟเติบโตและสร้างผลผลิตที่ดี ๆ ในจำนวนมาก ๆ
ส่วนสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่ 10 ปีที่ผมทำกาแฟมา ผมเรียกกาแฟว่า ‘Social Lubricant’ หรือ ตัวกลางที่ทำให้สังคมยังขับเคลื่อนไปต่อ กาแฟทำให้คนมาเจอกัน สร้างงาน สร้างธุรกิจ สร้างความสัมพันธ์ สร้างความรัก และมันก็ยังทำหน้าที่ของมันอยู่จนทุกวันนี้นะครับ
แต่สถานการณ์ปัจจุบันของวงการกาแฟกำลังเข้าขั้นวิกฤต
เป็นวิกฤตในฝั่งของการเกษตรกรรมครับ คือจำนวนกาแฟลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสาเหตุมีอยู่ 3 อย่าง
อย่างแรก คือเรื่องของธรรมชาติ ประกอบไปด้วย ดิน อากาศ น้ำ ฯลฯ Climate Change เปลี่ยนแปลงทั้งฤดูกาล อุณหภูมิความร้อน ความหนาว ทำให้ต้นกาแฟที่เคยแข็งแรงในสภาวะที่มันเคยอยู่ ป่วยได้
เราเก็บเกี่ยวกาแฟ 1 ครั้งต่อปี แต่ขุนช่างเคี่ยนปีนี้เก็บครั้งที่ 2
โดยธรรมชาติ พอกาแฟได้น้ำก็จะผลิตยอดผลิตใบขึ้นมา เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวก็็จะเริ่มแห้งแล้ง เริ่มสร้างดอก สร้างผล แล้วกลายเป็นลูกเชอร์รี แต่คราวนี้ฤดูกาลมันสั้นลง ไม่ได้ทิ้งช่วงเหมือนทุก ๆ ปี เกิดฝน เกิดแล้ง เกิดหนาว 2 ครั้งแล้วใน 1 ปี ซึ่งจะส่งผลยังไงก็ยังไม่รู้ ต้องลองไปชิมกัน
เรื่องน้ำ เราเจอฝนตกระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นบ่อย แทนที่เชอร์รีจะต้องสุกสมบูรณ์ กลายเป็นสุกแค่ 80% คุณภาพก็ลดลงแล้ว การลำเลียงน้ำของต้นแม่ก็ทำให้เชอร์รีบางส่วนแตก คือลูก ๆ ได้กินแต่น้ำ บวมน้ำ จนมันเต่งแล้วก็แตก ลดจำนวนของเมล็ดกาแฟที่เกษตรกรจะเก็บเกี่ยวได้
อย่างที่ 2 คือสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่าศัตรูพืช มันเติบโตแข็งแรงมากขึ้นเหมือนไวรัสที่แปลงตัวเองเป็นโควิด-19 เชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรีย ตัวแมลงก็มีผลโดยตรงกับลูกเชอร์รี มอดเจาะผลกาแฟ สร้างลูกสร้างไข่กันในนั้น ทำให้กาแฟแต่ละสวนสูญเสียไป 10% จนถึง 70% ผลิตกาแฟมาตันหนึ่ง ขายได้แค่ 300 โล บวกกับฝนตกยาวนานมากขึ้น ความชื้นเป็นปัจจัยให้แบคทีเรียและเชื้อราเติบโตได้ดี ทำให้ต้นไม้ตาย
อย่างที่ 3 คือมนุษย์ด้วยกันเอง พอกาแฟเชอร์รีติดน้อย ต้นกาแฟตายไปเยอะ ก็จะมีการขโมยเชอร์รีกัน ไม่ได้เป็นการเด็ดแล้วเอาขึ้นกระสอบนะ แต่เป็นการตัดทั้งต้นเพื่อโยนขึ้นรถกระบะแล้วก็ขับรถไปที่ลานโพรเซสตัวเองเพื่อไม่ให้รู้ว่าเป็นกาแฟใครเลย ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ตอนแรกก็ได้ยินบาง ๆ แต่ปีที่ผ่านมานี้ได้ยินหนาหูขึ้น ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างมหาศาลครับ
หนึ่ง เกษตรกรผู้เป็นเจ้าของสวนกาแฟจะต้องเก็บเชอร์รีทันทีถึงแม้จะสุกไม่สุก เพราะกลัวโดนขโมย สอง กลุ่มคนที่อยากทำกาแฟดี ๆ ที่ปล่อยให้เชอร์รีสุกสมบูรณ์ก็ค่อย ๆ ลดหายตายจากกันไป สาม คุณภาพกาแฟที่ได้จากการเก็บเชอร์รีประเภทนี้จะด้อยลง แต่ราคาดันสูงขึ้น เพราะผลผลิตมีน้อย คนดื่มก็จะเริ่มรู้สึกห่อเหี่ยวว่านี่หรือกาแฟไทยที่แพง ๆ
อีกอย่างคือกลุ่มคนที่หาผลประโยชน์จากผลผลิตของกาแฟได้ สมมติว่ามีนายทุนกลุ่มหนึ่งกว้านซื้อกาแฟลาว เมียนมา ในราคากิโลละ 100 บาท จำนวน 1,000 ตัน แล้วกลับมาบ้านเราเพื่อปั่นราคากาแฟไทยให้แพง ส่งลิ่วล้อเข้าไปซื้อกาแฟเชอร์รีในพื้นที่ต่าง ๆ ในราคาสูงโดยไม่มีใครแข่งด้วยนะ อาทิตย์นี้เปิดราคาให้ 35 บาทต่อกิโลกรัม อาทิตย์หน้าให้ 40 ชาวบ้านก็ต้องขาย พอราคาเชอร์รีมันสูง ก็ต้องทำกาแฟราคาแพงไว้เช่นเดียวกัน พอกาแฟไทยราคาสูงมาก ๆ ไปแตะถึงหลัก 300 เทียบกับกาแฟที่เขาเคยซื้อมาเก็บไว้แค่กิโลละร้อยเดียว เขาก็เอากาแฟเหล่านี้มาขึ้นราคาเป็น 200 แล้วเอามาปล่อยในพื้นที่บ้านเรา
เป็นเพราะว่าช่วงปีหลัง ๆ นี้วงการกาแฟไทยเริ่มพัฒนาและได้รับความน่าสนใจขึ้นมากด้วยไหม
ใช่ครับ ถ้ามองในมุมนักธุรกิจ เขาจะรู้ดีว่าสินค้าประเภทหนึ่งที่ไม่เคยราคาตกและมีคนต้องการซื้อเสมอก็คือกาแฟ เลยเป็นการลงทุนที่แทบจะปลอดภัยแน่นอน
ทางออกของปัญหาเหล่านี้คืออะไร
การลดลงของผลผลิตก็พอมีแสงปลายทางบ้างครับ คือในขณะที่กาแฟไทยมีจำนวนลดลงมาก แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงปริมาณการผลิตและคุณภาพทั้ง 2 อย่างได้ปกติ ยังปลูกกาแฟอยู่เป็นที่เดิม ๆ หรือบางท่านจะเรียกว่า Microclimate
การสร้างสภาวะ Microclimate จะทำให้ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอก อากาศ น้ำ หรืออุณหภูมิภายนอกมากระทบอะไรเขามากไม่ได้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่เราในการไปศึกษาว่าสวนเหล่านี้ทำยังไง ทำไมเขาถึงยังคงคุณภาพและปริมาณการผลิตได้
ส่วนเรื่องศัตรูพืช ไม่ยากเกินทำครับ มีนักวิจัยบ้านเราเก่ง ๆ ที่ผลิตการกำจัดศัตรูพืชด้วยการใช้เชื้อราอีกชนิดหนึ่งไปต่อสู้กับเชื้อราที่เป็นศัตรูพืชกาแฟ โดยไม่ส่งผลใด ๆ กับรสชาติของกาแฟ รวมไปถึงคุณภาพของต้นไม้ด้วย แล้วที่สำคัญ มันเลี้ยงเองง่ายมากจนแทบจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย หน้าที่พวกเราคือการเผยแพร่ ช่วยกันเอาขึ้นดอยไปให้ชาวบ้าน
อันสุดท้ายที่ยากสุดก็คือมนุษย์ อื้อหือ ไม่รู้จะทำยังไงกันเลย เราคนเดียวหรือแม้กระทั่งพี่หลาย ๆ คน รวม ๆ กันก็ยังจัดการเรื่องนี้ไม่ได้
พอจะมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เหมือนวิกฤตอื่น ๆ บ้างไหม
โห เรื่องนั้นต้องขอพลังรัฐบาลใหม่ช่วยแก้ไขเรื่องการศึกษาก่อนครับ แล้วก็เรื่องมุมมองต่อโลกใบนี้ที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เรามีอินเทอร์เน็ตเข้ามาเยอะ ในขณะที่คุณค่าทางจิตใจของมนุษย์กลับค่อย ๆ จางลง สวนทางกับความเร็วที่เกิดขึ้น เอื้อให้เกิดสังคมที่ว่ากันด้วยผลประโยชน์มากกว่าความสุขแท้จริงที่มนุษย์พึงมี
รู้สึกยังไงที่คนนอกวงการหรือผู้บริโภคไม่ได้รับรู้ว่ากาแฟที่หากินได้ทุกวัน ๆ มีวิกฤตขนาดนี้ซ่อนอยู่
ระดับโลกเขาคุยกันมานานแล้วนะว่าวันหนึ่งจะไม่มีกาแฟกิน ปีล่าสุดบนโต๊ะของการประชุมใหญ่องค์กรกาแฟระดับโลกก็เสิร์ฟกาแฟปกติ พอจบงานเขาเฉลยว่ากาแฟที่ทุกคนกินเรียกว่า ‘Beanless Coffee’ คือไม่มีเมล็ดกาแฟอยู่เลย พูดง่าย ๆ คือเป็นการสังเคราะห์เคมีล้วน ๆ
มันเป็นตลกร้ายในความคิดเรานะ อยากให้คนเหล่านั้นเห็นค่าของการดูแลต้นกาแฟก่อน ก่อนจะมานั่งประชุมกันว่าเทคโนโลยีอะไรที่ทำให้กาแฟดีขึ้น
เราในฐานะปลายน้ำเหมือนกับผู้ดื่มทุก ๆ คน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีโอกาสในการซื้อกาแฟทุก ๆ วันการที่ทุกท่านตัดสินใจซื้อกาแฟในแต่ละแก้ว เชื่อไหมว่ามีผลกระทบไปถึงกลุ่มเกษตรกร
เราจ่ายเงิน 50 – 60 บาทให้ร้านหรือโรงคัั่วที่เขาให้ความสำคัญกับการย้อนกลับไปดูแลป่า เงิน 50 – 60 บาทเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ ถูกแบ่งสรรปันส่วน ทยอยกลับไปสู่ต้นน้ำซึ่งก็คือเกษตรกร แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นว่าคนเมืองหรือลูกค้าให้คุณค่าและให้มูลค่ากับการดูแลป่าที่เขาทำอยู่ เขาก็จะมีกำลังใจมาก ๆ ในการดูแลป่าต่อ แล้วเราก็จะได้กินกาแฟที่มีคุณภาพดีไปเรื่อย ๆ
ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่มีเม็ดเงินมาช่วยเหลือกลุ่มร้านค้าหรือโรงคั่วเหล่านี้ เกษตรกรก็อาจจะไม่มีทางเลือก อาจต้องตัดป่าตัดต้นไม้เพื่อปลูกพืชชนิดอื่น เมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงจุดนั้น เราอาจจะกลับตัวไม่ทัน และพูดว่า ต่อไปจะไม่มีกาแฟกิน ได้อย่างเต็มปากมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าโลกนี้ไม่มีกาแฟอีกแล้วจะเป็นยังไง
ขอนึกภาพว่าเกิดขึ้น ณ เวลานี้เลยได้ไหม เรานิยามว่ากาแฟให้ชีวิตเรามาก ๆ
อันดับแรก คือต้องเกิดความโกลาหลในสายงานที่เกี่ยวข้องกับกาแฟทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้แปรรูป โรงคั่ว หรือธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ เครื่องทำกาแฟ แพ็กเกจจิ้ง ธุรกิจผลิตแก้วกาแฟ ฯลฯ กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไม่ได้รายได้ใด ๆ
แม้กระทั่งตัวเราเองก็จบเลย เพราะอย่างที่เล่าให้ฟังว่าเราไม่คิดจะทำอย่างอื่นแล้วนะครับ ไม่รู้จะเอาอะไรไปเลี้ยงลูกแล้ว
อย่างต่อมา ถ้าคนไม่มีกาแฟกินกัน Social Lubricant ที่ว่าก็จะหายไป ผมจะต้องไปหาตัวอื่นมาทดแทน ถ้ามองในแบบแย่ ๆ เลยคืออาจไม่มีการขับเคลื่อนทางสังคมมากเหมือนที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
และที่สำคัญมาก คือป่าไม้จะค่อย ๆ หายไป มีแค่ไม่กี่พืชผลที่สร้างอาชีพโดยปลูกกับป่าได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่แล้วพืชเศรษฐกิจทั้งหลาย ข้าวโพด ถั่ว มักต้องการแสงแดดโดยตรง เกษตรกรก็ไม่มีทางเลือก สุดท้ายต้องไปตัดต้นไม้ใหญ่กัน ซึ่งพอต้นไม้ใหญ่หาย ระบบนิเวศพัง สิ่งมีชีวิต จุลินทรีย์ต่าง ๆ ล้มหายตายจากกันไป ก็จะวิ่งสู่ความแห้งแล้งและทะเลทรายในที่สุด
การมีอยู่ของกาแฟอาจจะเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ที่มีความจำเป็นต่อโลกใบนี้พอสมควร
จะชักชวนคนที่มีกำแพงกับกาแฟหรือไม่เคยดื่มให้เข้าวงการได้ยังไง
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความสวยงามของธรรมชาติ ตั้งแต่ต้นทาง การเพาะปลูก การแปรรูป การคั่ว การชง จนมาถึงการดื่ม ถ้าคุณชอบเสน่ห์ของสิ่งเหล่านี้ กาแฟน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีขั้นตอนกว่าจะมาถึงแก้วที่คุณกำลังยกกินอยู่ตอนนี้มากที่สุดในโลกแล้ว และการรักษาซึ่งความดีงามของมันจนมาถึงมือนี่แม่งโคตรยาก
เขยิบมาแคบลง ถ้าปราศจากกาแฟแก้วนั้นของพี่วัล ชีวิตคุณตอนนี้จะเป็นยังไง
เราก็คงวิ่งวนอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องบิน อาจจะเป็นหัวหน้าโรงผลิตหรือเป็นผู้บริหาร วิ่งวนอยู่ในครรลองของสังคมที่คนส่วนใหญ่สร้างไว้ให้ ยังคงทำงานอยู่ในสายงานที่ไม่รู้ว่าเรามีความสุขกับการทำงานไหม สำหรับเรามันคือความผิดมหันต์ต่อตัวเอง แม้กระทั่งตัวเรายังตอบไม่ได้ว่าที่เราทำอยู่มีความสุขหรือเปล่า ซึ่งไม่ใช่วิถีชีวิตที่เราอยากเป็นแน่ ๆ
โลกของกาแฟที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้เราสงบขึ้น เงียบลง ไม่อยากมีชื่อเสียง ไม่อยากเด่นดัง มีสปอตไลต์มาส่อง ซึ่งถ้าไม่มีกาแฟ เราก็คงไม่ได้สัมผัสความรู้สึกพวกนี้
ถ้าเปรียบชีวิตของ บิ๊ก บริรักษ์ เป็นกาแฟ 1 แก้ว คิดว่าจะมีรสชาติแบบไหน
เอาจริง ๆ แอบคิดว่ามันเรียบง่ายนะ
ตอนที่เราตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อนเคยบอกเราว่า การที่มึงจะประสบความสำเร็จได้ มึงต้องลงไปจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิตก่อนแล้วถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่ดีขึ้นคืออะไร
เราก็มานั่งหาว่า แล้วจุดต่ำสุดในชีวิตกูคืออะไรวะ
คำตอบคืออาจจะเป็นจังหวะชีวิตที่มีเงิน 700 – 800 ต่อเดือนเข้ามาแหละ แต่เชื่อไหมว่าตลอดเวลาที่เราทำงานกาแฟมา เรายังมีสิ่งที่เรียกว่าแพสชัน ไม่ใช่แค่ชอบที่จะทำมัน แต่เราภูมิใจที่จะตื่นมาทำในทุก ๆ วัน เราภูมิใจในการทำกาแฟ มีความสุขกับมัน ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะได้กลับมาแค่ไหน ขนาดว่านั่นคือจุดต่ำที่สุดของเราแล้ว เรายังไม่คิดว่ามันสร้างความโกลาหลหรือความลำบากให้กับชีวิตเราเลย
กาแฟแก้วนี้คงเรียบง่ายแต่ว่าทรงคุณค่า คือมีความดีงามในแบบที่กาแฟควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด รสชาติที่อยู่ด้วยกันกำลังดี ไม่เปรี้ยวมากไป ไม่หวานจนเลี่ยนคอ และทิ้งท้าย Aftertaste ที่น่าประทับใจไว้ เป็นกาแฟที่จะชวนคุณกลับมาดื่มเสมอ
ในหลาย ๆ ครั้ง เรามักเห็นคุณเรียกต้นกาแฟว่า ‘คุณแม่’ จากการเรียนรู้เรื่องกาแฟมาค่อนชีวิต ขอ 1 บทเรียนจากกาแฟที่คุณจะเอาไปใช้สอนลูก
You get what you give. คือ 1 บทเรียนที่ดีเสมอครับ
เราเชื่อว่าการกลับไปดูแลธรรมชาติ เดี๋ยวสักวันธรรมชาติก็จะให้อะไรเรากลับมา ระยะเวลา 10 ปีที่เราทำอยู่ มันตอบประโยคนี้ได้อย่างไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย
กาแฟสร้างครอบครัวที่เรามีความสุขมาก เรามีดิน มี จอม (ภรรยา) เราเจอจอมบนสวนกาแฟ
กาแฟสร้างธุรกิจที่เราตื่นเช้ามาแล้วอยากไปร้านทุก ๆ วัน อยากเข้าไปดู เข้าไปชิม เข้าไปทดสอบ แล้วก็สนุกกับน้อง ๆ ในร้าน
กาแฟสร้างเป้าหมายปลายทาง รวมถึงความคิดในวันที่เราเริ่มแก่ขึ้นเรื่อย ๆ เห็นชัดมากขึ้นว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องการในชีวิตคือคำว่าความสุขและความสงบ มากกว่าฐานะเงินทอง มากกว่าเกียรติยศที่เราเคยหลงใหลมาในสมัยวัยรุ่น
นั่นคือสิ่งที่กาแฟให้มาทั้งหมดจากการที่เราแค่เข้าไปดูแลเขาให้ดี
สุดท้ายนี้มีอะไรจะฝากไหม
อยากฝากให้ติดตามการประกวดสารกาแฟไทย ‘Thai Specialty Coffee Awards’ และไปหาชิมกาแฟคุณภาพระดับประเทศเหล่านี้ได้ตามงานต่าง ๆ ถ้าชิมแล้วท่านไหนสนใจ ยังเข้าร่วมประมูลสารกาแฟที่ได้รับรางวัลทั้งหมดได้ด้วย เพื่อให้มูลค่าการประมูลเป็นรางวัลและกำลังใจให้กับความทุ่มเทตลอด 1 ปีของกาแฟกรกันครับ รายละเอียดต่าง ๆ ติดตามได้จากเพจ สมาคมกาแฟพิเศษไทย ได้เลยครับฝากอีกงานสำคัญประจำปีคือ Thailand Coffee Fest 2023 : Good Coffee for Everyone เทศกาลเพื่อคนรักกาแฟที่ปีนี้จะชวนไปย้อนดูเส้นทางการสร้างสรรค์กาแฟดีจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ และสร้างการตระหนักรู้ต่อผลกระทบที่โลกกาแฟกำลังเผชิญอยู่ แล้วเจอกันนะครับ