ยากันยุง รองเท้าเดินป่า กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว หมวก เป้ใส่น้ำ กระติก ทิชชูเปียก (ห่อใหญ่) ขนม (มหาศาล) อุปกรณ์กันทากอย่างดี ยาทาแผล ยาทาแมลงกัดต่อย ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ พลาสเตอร์ น้ำเกลือ
ลองถามพ่อแม่สักคู่ ว่าถ้าต้องพาลูกไป Fjällräven Classic Sweden กิจกรรมเดินป่า 6 วัน 110 กิโลเมตร ต้องพกอะไรไปบ้าง คำตอบคงไม่หนีจากนี้
ครอบครัวบุตรสีทาก็คล้ายกัน แต่พวกเขาคิดว่าสิ่งที่ควรพกเพิ่มไปด้วย คือใจที่อยากเดินทาง
และความเชื่อที่ว่าเรื่องนี้สำคัญกับชีวิต
1
Fjällräven Classic Sweden เป็นกิจกรรมเดินป่าบนเส้นทางสุดคลาสสิกที่ประเทศสวีเดน ทุกคนต้องวางแผนและเดินทางแบบพึ่งพาตัวเอง
ในกิจกรรมเมื่อปีที่แล้ว นันทนา อังคสิทธิ์ และ บุญส่ง บุตรสีทา พาลูก 3 คน อายุ 14, 12 และ 9 ขวบไปเดินบนเส้นทางนี้ด้วย
คนไทยที่ไปทริปนี้คงจำครอบครัวนี้ได้ และคงรู้ด้วยว่านันทนาป่วยจนเดินต่อไม่ไหว ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปรอล่วงหน้าที่ปลายทาง (เธอกำชับเด็ก ๆ เดินต่อให้จบ) บุญส่งและลูก 3 คนตัดสินใจเดินทางต่อ ทุลักทุเลแค่ไหน บ้านนี้ก็ไม่ยอมแพ้
ใจที่ไม่ยอมแพ้ต่อธรรมชาติกระตุ้นให้คนอื่นในทริปฮึดสู้ วันสุดท้าย อาการป่วยดีขึ้น นันทนาเดินย้อนกลับมาเจอครอบครัวระหว่างทาง และเดินด้วยกันจนถึงจุดหมายด้วยดี
หลายเดือนต่อมา เราขอคุยกับบ้านนี้อีกครั้งผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงรู้ว่า Fjällräven Classic Sweden ไม่ใช่ทริปแรก แต่พวกเขาเดินทางไกลทุกปี ไปทีหนึ่งยาว 2 – 3 เดือน
“ตั้งแต่คนเล็ก 1 ขวบ เราก็เริ่มเดินทางแบบนี้” นันทนาเล่า
ไม่ได้ใจกล้ากว่าใคร ทั้งนันทนาและบุญส่งแค่เชื่อว่าการพาลูกเดินทางที่ไม่ใช่เพียงการท่องเที่ยว แต่คือการรู้จักโลกกว้างในอีกมุมของโลก เป็นเรื่องจำเป็นกับชีวิต
นันทนาและบุญส่งพื้นฐานทำงานเป็นวิศวกร เคยทำงานประจำ ก่อนจะมาเปิดธุรกิจตัวเองเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ด้วยความชอบเดินทางแต่แรก เห็นคุณค่า ทั้งคู่จึงวางระบบบริษัทแต่แรกให้ทำงานทางไกลเป็นหลัก อยู่ในเซ็กเมนต์ตลาดที่ไม่แข่งขันมาก เน้นทำรายได้ระยะยาว จะได้มีเวลาพาลูกเดินทางไกล
นันทนาบอกว่าเธอมักเลือกการเดินทางแบบ Home Swap หรือการเดินทางแบบแลกบ้านกับคนต่างชาติ วิธีนี้แตกต่างกับ Airbnb ไม่ได้เป็นกระแสเท่า ข้อดีคือเราจะได้พักในบ้านที่มีความเป็นบ้านจริง ๆ ไม่ปรุงแต่ง และเหมาะกับการเดินทางเป็นครอบครัว เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงว่าแต่ละแห่งที่ไปอยู่เขามีวิถีชีวิตอย่างไร
บุญส่งบอกว่าบ้านนี้มีลูก 4 คน คนโตทำงานเป็นวิศวกรที่สหรัฐอเมริกา ส่วนอีก 3 คนเรียนแบบ Homeschool การเรียนแบบนี้พ่อแม่จะไม่ได้ให้เรียนแต่ในบ้านอย่างเดียว มีช่วงเวลาปิดเทอมเหมือนโรงเรียนปกติ ช่วงเวลานี้เองที่บุญส่งจะพาทุกคนเดินทางไกล
“เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้” นันทนาหัวเราะเมื่อเราถามถึงทริปเดินป่าแห่งปี
บ้านนี้พิเศษอยู่เรื่องหนึ่ง คือการปลูกฝังไม่ให้ลูกบ่นต่อความทุกข์หรือความลำบาก เพราะเชื่อว่าหากยิ่งบ่นในทางลบ ใจจะยิ่งทำให้รู้สึกทุกข์มากกว่าเดิม
“ไม่เคยใช้คำนี้ในครอบครัวค่ะ ความทุกข์หรือความลำบากในบางสถานการณ์เป็นสิ่งที่เรากำหนดมันขึ้นมาเอง ถ้ามันดูโหด ดูยากในช่วงแรก ๆ เราเผชิญมันด้วยกัน คนอื่นรอดได้ เราก็ต้องรอดนะลูก (หัวเราะ)” นันทนาเล่า
“เขา (ลูกสาวคนเล็ก) เป็นคนที่ลำบากที่สุด ก้าวของเขาเล็กกว่าของเราครึ่งหนึ่ง เขาต้องเดินมากกว่าเรา สมมติเราเดินแสนก้าว เขาเดิน 2 แสน เขาต้องแบกน้ำหนักและความหิวมากกว่าผู้ใหญ่ตลอด เขาต้องห่างจากแม่ซึ่งเขาไม่เคยห่างจากเราเลย”
“แต่สุดท้าย ลูกสาวคนเล็กบอกว่า ปีหน้าหนูอยากกลับไปอีก เราได้อะไรเยอะมากจากสิ่งเหล่านั้น เด็ก ๆ จะได้โดยไม่รู้ตัว” บุญส่งเล่า
2
Trail หรือทางเดินป่า ไม่ว่าจะที่ไหน ล้วนเป็นทางเล็ก ๆ
แต่กลับสอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ให้ผู้คนมากมาย
“การได้ใช้ชีวิตในเทรล เป็นมาตรฐานในการใช้ชีวิตนอกเทรลด้วย” บุญส่งพูดพลางมองไปข้างหน้า “เราไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมาย เราเห็นความเอื้ออาทรในเทรล ซึ่งไม่ได้มีภาษา ไม่ได้มีเพศ ไม่ได้มีวัย ได้เห็นความเป็นห่วงกันและกันจริง ๆ มันสอนให้เราได้ละอะไรที่เราแบกไว้โดยที่ไม่จำเป็นต้องแบก
“ปรัชญาที่เราเคยคุยกันในครอบครัวมันไม่ตกผลึก จนเราได้ผ่านเทรลมาแล้ว แทบไม่ต้องพูดอะไรกัน เรารู้ว่าจะต้องไปยังไงต่อ” นันทนาเสริม
ความจริงครอบครัวไม่ได้ตั้งใจจำกัดรูปแบบการเดินทาง ไม่ว่าจะป่าหรือเมือง ล้วนมอบอะไรให้ลูกได้หมด
“เราจะเห็นความไม่มีเส้นแบ่งของอาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัย รวมถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เราจะอธิบายอะไรให้เขาง่ายขึ้น ไม่ต้องอธิบายเยอะในเรื่องของความเข้าใจ ความแตกต่าง มันก็จะเปิดโลกของเขาให้กว้างขึ้น แล้วเรามีโอกาสได้อยู่กับเขา ใช้เวลาด้วยกันเต็มที่ ได้สอนหรือชี้แนะเขาในวันที่เขาพึงจะได้รับการดูแลใกล้ชิด ก็เป็นเรื่องที่เราพยายามจะไปทุกปี” บุญส่งเล่าว่าการเดินทางสอนอะไรลูก ๆ บ้าง
“เด็กจะได้รับมุมมองที่แตกต่าง เช่น เวลาไปเมืองใหญ่ เสร็จแล้วออกไปชนบท เขาจะเห็นว่าประเทศเดียวกันก็มีมุมที่แตกต่างในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตอนไปฝรั่งเศสเขาเห็นทุนนิยมสุดขั้วในปารีส และเห็นความสงบในชนบทของฝรั่งเศส จึงเป็นโอกาสที่จะได้เห็นมุมมอง ได้เห็นทางเลือกในชีวิตหลาย ๆ ทางว่าไม่ได้มีทางเดียว”
3
ปีนี้ เด็ก ๆ เลือกแล้วว่าจะไปเดินป่าที่สวีเดนอีกครั้ง และบอกว่าอยากทำให้ดีกว่าปีที่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ทั้งพ่อและแม่สังเกตว่าลูกของเขาเปลี่ยนไปแค่ไหนเมื่อได้ออกเดินทาง
“คนเราประกอบด้วยกายและใจ ซึ่งควรโตไปพร้อมกัน กายเราก็ให้ปัจจัย 4 ใจเราก็อยากให้เขาโตไปพร้อมกับกาย อยากให้เขาเห็นโลกกว้าง เห็นความแตกต่างของโลกอย่างที่เป็นจริง ๆ
“แทนที่เขาจะรับรู้จากการอ่าน ให้เขาได้ไปเจอประสบการณ์จริง แล้วเราก็ได้อยู่ตรงนั้นกับเขา ได้มีประสบการณ์ร่วมกับเขาด้วย
“เขายอมรับความจริงได้ง่ายขึ้น การจะมีหรือไม่มีอะไรก็ยอมรับได้ ไม่ดีใจหรือเสียใจสุดขั้ว เขาอาจจะมีผิดหวังเสียใจก็เรื่องปกติ เพราะว่าการเดินทางเหมือนชีวิตจริง ๆ” คุณพ่อนักเดินทางเล่า
“การเดินทางก็คล้ายกับการดำเนินชีวิต เราวางแผนได้ เราคาดหวังได้ แต่เมื่อมีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแผน ทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่เราไปเจอระหว่างหลุดออกจากเส้นทาง บางครั้งสวยงามมากกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้เสียอีก ผมว่าชีวิตคนก็เหมือนกัน”