‘Fjällräven Classic Sweden’ เป็นกิจกรรมเดินป่าบนเส้นทางที่เก่าแก่ คลาสสิก และยาวที่สุดเส้นหนึ่งของโลก ระยะทาง 110 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 6 วัน วางแผนการเดิน การหยุด เลือกจุดกางเต็นท์ได้ตามชอบ โดยที่ต้องแบกอุปกรณ์ดำรงชีพทุกอย่างเข้าไปเอง และเก็บขยะทุกชิ้นติดตัวออกมาด้วย อาบน้ำตามแม่น้ำข้างทางหรือตามกระท่อมซาวน่าที่มีให้บริการตามทาง และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
Thailand Outdoor ชวนผมไปร่วมกิจกรรมสุดพิเศษที่ประเทศสวีเดนด้วยข้อมูลชุดนี้
ใครจะปฏิเสธลง
เมืองหลวงแห่งโลกของการเดินป่า
ผมนั่งอยู่ในรถไฟตู้นอนจากสต็อกโฮล์ม มุ่งหน้าสู่สถานีสุดสายปลายทาง Kiruna ระยะทางราว 1,200 กิโลเมตร ทริป Fjällräven Classic Sweden จัดในป่าอันห่างไกลผู้คนทางตอนเหนือของสวีเดน อยู่เกือบจะสูงสุดของสแกนดิเนเวีย
เพื่อนร่วมเดินทางที่อยู่รอบตัวผมคือสื่อมวลชนทั้งสื่อเก่าสื่อใหม่ชาวไทย 6 คน พวกเราถือเป็นแขกของ Fjällräven Asia Pasific จำนวน 30 คน เป็นตัวแทนจำหน่ายและสื่อมวลชนจากประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก ส่วนเพื่อนร่วมขบวนที่เหลือคือผู้เข้าร่วมงานนี้จากทั่วโลก มีคนไทยประมาณ 130 คน
เรามีเวลามากมายในการทำความรู้จักความคลั่งไคล้การเดินป่าของชาวสวีเดน
“สวีเดนถือเป็นเมืองหลวงแห่งโลกของการเดินป่า” ผู้จัดงานอธิบายได้เห็นภาพ “ภาษาสวีเดนมีคำว่า Allemansrjätten แปลว่า สิทธิ์ในการเข้าถึงโดยสาธารณะ หมายถึง กฎหมายอนุญาตให้ทุกคนมีอิสระในการเข้าไปใช้พื้นที่ส่วนบุคคลหรือพื้นที่รัฐซึ่งไม่มีรั้ว หรือไม่มีข้อห้ามพิเศษ ตั้งแคมป์ 1 – 2 คืนได้”
ถ้าคนดัตช์ปั่นจักรยานไปได้ทุกที่ทั่วประเทศ คนสวีเดนก็แบกเป้เดินไปกางเต็นท์ได้ทั่วประเทศ
นักเดินป่าเจ้าถิ่นบอกว่าคนสวีเดนส่วนใหญ่ชอบอยู่กับธรรมชาติ แต่อาจไม่ได้ชอบเดินป่าทุกคน บางคนก็แค่ชอบเดินเล่นไม่กี่ชั่วโมงแบบไม่ต้องแบกเป้ บางคนก็ชอบขับรถไปพักในกระท่อมกลางป่า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ถือว่าชาวสวีเดนคลั่งไคล้การเดินป่ามากกว่าประเทศไหน ๆ โดยเฉพาะเมื่อโควิด-19 พ้นผ่าน การเดินป่าก็ได้รับความนิยมอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ก่อนเดินทาง ผมไปเดินเล่นในสต็อกโฮล์มแล้วก็ประหลาดใจที่เจอร้านขายอุปกรณ์กิจกรรมกลางแจ้งเยอะมาก สินค้าที่ขายก็ทั้งสวยและฟังก์ชัน ออกแบบด้วยสีสันสดใส เรียบง่าย เหมาะใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เหมือนสินค้าสวีดิชดีไซน์ทั้งหลาย สินค้าในร้าน Fjällräven (อ่านว่า เฟียว-เรียว-เว่น) ดูเป็นมิตรเหมือนเอาไว้ใช้เดินเล่นชายป่าชานเมืองช่วงสุดสัปดาห์มากกว่าใช้พิชิตยอดเขาต่างทวีปในวาระพิเศษของชีวิต แล้วร้านนี้ก็ยังมีพื้นที่ให้ลูกค้าวางเป้สำหรับคนที่แบกเป้เข้ามาในร้าน ทำเป็นเล่นไป ผมเห็นร้านอาหารและร้านค้าหลายแห่งก็มีบริการนี้
Fjällräven ก่อตั้งในปี 1960 โดยชายหนุ่มผู้รักธรรมชาตินามว่า Åke Nordin เขาอุทิศชีวิตเพื่อหาทางทำให้พวกเราใช้ชีวิตกลางแจ้งได้ง่ายขึ้น ผ่านการพัฒนาเสื้อผ้าและอุปกรณ์ที่ทั้งฟังก์ชันดี ทนทาน และเรียบง่ายไร้กาลเวลา เขาอยากให้คนใช้ชีวิตกลางธรรมชาติแล้วรู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้าน
ตอนนี้ผมยังไม่รู้สึกแบบนั้น อาจเป็นเพราะได้ฟังคำประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ารถไฟล่าช้าแล้วล่าช้าอีก เพราะทางรถไฟมีปัญหา สุดท้ายก็ใช้เวลาบนรถไฟไปทั้งหมด 25 ชั่วโมง
เวลาเดิน แต่เรายังไม่ได้เดิน
Fjällräven Classic เริ่มต้นเมื่อปี 2005 โดยมีผู้เข้าร่วม 152 คน ด้วยแนวคิดว่าอยากผจญภัยไปในดินแดนที่ไม่ถูกบันทึกในแผนที่ ผ่านวิวยอดเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งและเรียงรายไปด้วยทะเลสาบระยิบระยับ ได้ใช้ชีวิตแบบอิสระ และเมื่อต้องดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งอาหาร การเดินทาง และความปลอดภัย ก็ยิ่งให้ประสบการณ์เต็ม ๆ ของการเดินป่า กิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จมาก จนนำไปจัดในหลายประเทศ จึงต้องห้อยชื่อประเทศต่อท้ายชื่องาน
Fjällräven Classic Sweden จัดบนเส้นทางที่เรียกว่า Kungsleden ผมอยากจะแปลว่า ราชดำเนิน แต่ให้ถูกต้องคงต้องเรียกว่า ราชันแห่งเส้นทางเดินป่า เพราะมันคือทางเดินป่าที่วิวยิ่งใหญ่ที่สุด สวยที่สุด เก่าแก่ที่สุด ยาวที่สุด และเป็นอิสระที่สุดในสวีเดน ทางสายนี้ยาวหลายร้อยกิโลเมตร เดินไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแรง จะเริ่มตรงไหน จบตรงไหน เข้าตรงไหน ออกตรงไหนก็ได้
ทริปนี้กำหนดให้ผู้เข้าร่วมมาเริ่มต้นที่เมือง Kiruna ซึ่งตอนนี้ใกล้จะเป็นเมืองร้างเต็มที เพราะมีการทำเหมืองแล้วสารเคมีรั่ว ผู้คนเลยย้ายไปตั้งเมืองใหม่ห่างไปประมาณ 3 กิโลเมตร อีกไม่นานก็จะย้ายออกหมดทั้งเมือง
เรามาที่นี่เพื่อรับ ‘หนังสือเดินทาง’ สำหรับประทับตราตามเช็กพอยต์ต่าง ๆ และรับอาหารซองฟรีซดราย 10 กว่ารส หยิบได้มากเท่าที่ต้องการ (และแบกไหว) เช่นเดียวกับขนมปัง บิสกิต ชีสหลอด แก๊สกระป๋อง และอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ คือถุงขยะสำหรับใช้ตลอดทริป
โซนของฟรีน่าตื่นตาแล้ว โซนเสียเงินน่าตื่นใจกว่า มีการยกร้านอุปกรณ์กลางแจ้งขนาดใหญ่มาตั้ง ใครลืมอุปกรณ์อะไร ร้านนี้มีขายหมด แต่ที่พิเศษคือ Fjällräven ทำสินค้ารุ่นลิมิเต็ดแปะโลโก้งาน Fjällräven Classic Sweden มาให้เก็บเป็นที่ระลึกเยอะมาก
เวลาผ่านไปแล้วเกือบครึ่งวัน ของพร้อม ชุดพร้อม ความฮึกเหิมพร้อม แต่เราก็ยังไม่ได้เริ่มเดิน เพราะต้องนั่งรถบัสอีกเกือบชั่วโมงไปยังจุดปล่อยตัวที่เมือง Nikkaluokta (แปลว่า อ่าวของนิกก้า ซึ่งนิกก้าเป็นชื่อของชาวเผ่าซามี่)
กฎน้ำ
Fjällräven จัดกิจกรรมนี้บนเส้นทางที่มีคนเดินเป็นปกติอยู่แล้ว เหมือนการจัดงานวิ่งในสวนลุมพินี คนที่ไม่ได้สมัครก็วิ่งในสวนได้ตามปกติ แต่คนที่สมัครจะได้รับป้ายและของว่าง
ป้ายของพวกเราคือธงโลโก้งานสีส้มสำหรับผูกหลังกระเป๋า เพื่อให้คนที่เดินตามรู้ว่าเป็นคณะเดียวกัน เดินตามกันได้ กลุ่มของผมโชคดีที่ Fjällräven ให้ยืมเป้รุ่น Kajka 75 สีฟ้า (เหมือนกันทุกคน) และเต็นท์ จะได้ไม่ต้องแบกมาจากประเทศตัวเอง แล้วก็ยังมอบชุด Fjällräven ให้ด้วย กลุ่มของเราก็เลยสังเกตง่ายมาก เพราะสะพายเป้แบบเดียวกัน และแต่งตัวคล้ายกันมาก
คนอื่นออกเดินกันตั้งแต่เช้า แต่กลุ่มเราโดนพิษรถไฟดีเลย์ กว่าจะได้เริ่มเดินก็ปาเข้าไปบ่าย
คณะเราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 15 คน มีไกด์นักเดินป่าอาชีพ 2 คนปิดหัวท้าย ข้อเสีย คือเราหมดสิทธิ์กำหนดแผนและจังหวะการเดินของตัวเอง ต้องตามกลุ่มเท่านั้น แต่ก็มีข้อดี คือมีผู้เชี่ยวชาญวางแผนการเดินทางที่ดีที่สุดให้ แล้วก็ยังมีเรื่องเล่าให้ฟังตลอดทาง
เราต้องเดินกันอย่างมีวินัยเหมือนนักกีฬาเก็บตัว แต่เพื่อนชาวไทยนอกกลุ่มแซวว่าพวกเราดูคล้ายเชลยที่ถูกกวาดต้อนมามากกว่า พอเริ่มออกเดินได้ 5 นาที จะหยุดสั้น ๆ ให้ปรับเป้และปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าเผื่อว่ามันร้อนหรือหนาวไป พอลงตัวก็เดินกันยาว ๆ ทุกครึ่งชั่วโมงได้หยุดยืนจิบน้ำโดยมีเป้บนหลัง 5 นาที ทุก 1 หรือ 2 ชั่วโมงได้พักยาว 15 นาที ทุกการพักจับเวลาจริงจังเหมือนระฆังมวยเสมอ
เสน่ห์ของทางสายนี้คือเดินผ่านแหล่งน้ำตลอดเวลา เป็นลำธารที่ไหลมาจากหิมะบนยอดเขา เลยใสเย็นชื่นใจ เราจะเลือกตักน้ำเฉพาะน้ำที่ไหลและมองเห็นต้นทางของน้ำ (ว่าสะอาด) เท่านั้น ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำและการแบกน้ำเลย
จุดสำคัญของเส้นทางในช่วงแรก คือท่าเรือริมทะเลสาบที่มีร้านขายเบอร์เกอร์เรนเดียร์ ย่านนี้เป็นพื้นที่เลี้ยงกวางเรนเดียร์ของชาวชนเผ่าซามี่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และมีการกินเนื้อกวางเรนเดียร์กันเป็นปกติ ร้านนี้เลยเป็นเหมือนหมุดหมายที่ต้องชิมให้ได้ พวกเราทิ้งตัวกันค่อนชั่วโมงราวกับว่าเดินมาถึงปลายทางในวันนี้แล้ว ทั้งที่เดินได้แค่ 1 ใน 4 เท่านั้น โดยหลักการแล้ว เราต้องเดินเฉลี่ยวันละ 18 กิโลเมตร แต่วันนี้เริ่มช้า เดินช้า เลยจบวันด้วยการเดินไปแค่ 10 กิโลเมตร นั่นแปลว่า วันอื่น ๆ เราต้องเดินมากขึ้นเพื่อใช้หนี้ 8 กิโลเมตรนี้
เมื่อถึงจุดพักกางเต็นท์ ไกด์อธิบายเรื่องกฎในการกางเต็นท์และการใช้น้ำแบบจริงจังมาก มันคือข้อกำหนดอันเคร่งครัดว่าผู้เข้าร่วมทุกคนต้องไม่ทิ้งอะไรไว้ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อธรรมชาติและสัตว์
กฎเกี่ยวกับน้ำ คือแยกโซนน้ำดื่มกับน้ำใช้ออกจากกันอย่างชัดเจน จุดตักน้ำดื่มอยู่ต้นน้ำ จุดซักล้างและอาบอยู่ห่างไปทางปลายน้ำหลายสิบเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียปนเปื้อนมาในอาหารและน้ำดื่ม ห้ามล้างจานโดยการเอาไปจุ่มในแหล่งน้ำ ต้องตักมาล้างริมตลิ่ง เพื่อไม่ให้สารเคมีตกค้างในน้ำ
กฎในการปลดทุกข์เบา ห้ามปล่อยลงแหล่งน้ำเด็ดขาด เพราะสารไนเตรตในปัสสาวะจะเพิ่มจำนวนสาหร่าย ซึ่งจะส่งผลเสียกับปลาและสัตว์ป่า ต้องปล่อยห่างจากแหล่งน้ำอย่างน้อย 200 เมตร (ต้องเดินไกลอย่างไม่น่าเชื่อ) มีวันที่ผมขี้เกียจเดิน เลยฉี่ในป่าละเมาะห่างจากลำธารสัก 50 เมตร (มองไม่เห็นลำธารแล้ว) ตอนเดินกลับมาที่เต็นท์ เจอนักท่องเที่ยวเจ้าถิ่นตั้งใจเดินมาด่าว่าผมฉี่ใกล้แหล่งน้ำเกินไป
ส่วนการปลดทุกข์หนัก ผู้จัดงานแนะนำให้ใช้บริการส้วมชั่วคราวตามจุดเช็กพอยต์ แต่ถ้าอยากเข้าตามธรรมชาติ ต้องไปให้ห่างจากแหล่งน้ำไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วก็ต้องขุดหลุมลึก 20 เซนติเมตร เสร็จกิจต้องกลบให้เรียบร้อย ห้ามทิ้งทิชชูลงไป ต้องเอาใส่ถุงขยะเก็บกลับไปทิ้งที่เส้นชัย เช่นเดียวกับขยะอื่น
เป็นการจบวันแรกแบบเบา ๆ ปิดท้ายด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำ เย็นเจี๊ยบสมกับเป็นน้ำจากหิมะยอดเขา สดชื่นผ่อนคลายสุด ๆ น่าเสียดายอย่างเดียวที่ช่วงนี้มีโรคท้องร่วงระบาด ซาวน่าทุกแห่งเลยปิดให้บริการเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ผมเลยอดนั่งแช่ไอน้ำเลย
อาหาร ขยะ
วันนี้มีอากาศครบทุกรูปแบบ ทั้งแดด ฝน หนาว ไกด์กำชับให้พวกเราเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเมื่ออากาศเปลี่ยน จะได้รักษาความอุ่นไว้กับตัว และไม่ทำให้ตัวเปียก จะได้ไม่ป่วย
เดินมาได้ 8 กิโลเมตรก็ถึงเช็กพอยต์แรก ชื่อ Kebnekaise แปลว่า ภูเขาที่มีแอ่ง ทั้งที่ยอดมันเรียบ ส่วนภูเขาลูกข้าง ๆ มียอดเป็นแอ่ง แต่มีชื่อแปลได้ว่า ภูเขายอดเรียบ หมายความว่า คนตั้งชื่อภูเขาสลับกันนั่นเอง เช็กพอยต์มักจะอยู่บริเวณลานขนาดใหญ่ พร้อมให้คนจำนวนมากกางเต็นท์ กิจกรรมเมื่อมาถึงก็มีแค่ถือหนังสือเดินทางมาประทับตราและรับของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ
การหุงหาอาหารในทริปนี้ง่ายที่สุด ผู้จัดงานสนับสนุนให้ทุกคนกินอาหารซองฟรีซดราย เพื่อลดขยะจากการทำอาหารและให้พลังงานเพียงพอ สิ่งที่เราต้องทำจึงมีแค่ต้มน้ำร้อนแล้วเทลงซอง ไกด์สอนว่าเวลาฉีกซอง ห้ามฉีกให้ขาดจากกัน เพราะจะทำให้มีขยะ 2 ชิ้น แทนที่จะมีชิ้นเดียว
งานนี้มีเข้มขวดกับเรื่องขยะมาก เราต้องไม่ทิ้งอะไรไว้เลย รวมถึงเศษอาหาร เพราะมันอาจสร้างปัญหาให้สัตว์ป่าได้ หรือไม่ก็จะทำให้สัตว์ป่าเข้ามาใกล้คนมากขึ้นเพราะอยากได้อาหาร ซึ่งจะเป็นอันตรายกับนักเดินทาง สิ่งที่พวกเราสงสัยคือ แล้วขยะที่ย่อยสลายได้อย่างเปลือกกล้วย เราทิ้งไว้ข้างทางได้ไหม คำตอบจากผู้จัดงานชัดเจนดีมากว่า ถ้ามันเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ตรงนั้น เช่น เบอร์รีทั้งหลาย เราทิ้งข้างทางได้ แต่ถ้าเราเอาจากข้างนอกเข้าไป ต้องเก็บใส่ถุงขยะที่ได้รับเอาไปทิ้งที่เส้นชัยเท่านั้น โดยพวกเราต้องห้อยถุงขยะไว้นอกเป้
ใครทำผิดกฎเรื่องขยะ จะพ้นสภาพการร่วมกิจกรรม ถูกแบนไม่ให้ร่วมกิจกรรมในอนาคต และถูกแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
วันนี้เราก้มหน้าก้มตาเดินทั้งวัน เพื่อทำเวลาใช้หนี้เมื่อวาน ทางเริ่มชันขึ้น เดินยากขึ้น และใช้พลังมากขึ้น ฤดูนี้พระอาทิตย์ขึ้นตอนตีสี่ตกตอนสี่ทุ่ม ในแต่ละวันพวกเราเลยได้เดินถึงทุ่มสองทุ่มทุกวัน และไม่มีการกินข้าวเย็นแล้วนอนให้กรดไหลย้อน มีแต่กินเสร็จแล้วเอาพลังงานไปใช้เดินต่ออีกสัก 2 – 3 ชั่วโมง ถึงจะได้พัก
วันนี้พวกเราเดินกันแบบสะบักสะบอม 22 กิโลเมตร ถึงจะได้กางเต็นท์
กฎเหล็กในการกางเต็นท์มีอยู่ว่า เราต้องไม่รบกวนธรรมชาติและผู้ร่วมทางด้วยการไม่ส่งเสียงดัง และต้องเลือกกางเต็นท์บนพื้นผิวที่แข็งเท่านั้น ถ้าเห็นร่องรอยของการตั้งแคมป์มาก่อน ให้เลือกตรงนั้นก่อน อย่างเพิ่งเคลียร์พื้นที่เพื่อเปิดลานใหม่ และห้ามกางเต็นท์บนชายหาด ริมตลิ่ง ต้องตั้งห่างออกมาอย่างน้อย 5 เมตร
เช็กพอยต์เป็นจุดที่สะดวกสำหรับการกางเต็นท์ที่สุด แต่ไม่ใช่จุดที่สวยที่สุด ถ้าใครชอบวิวสวย ๆ ก็เลือกกางให้ห่างเช็กพอยต์ออกไปสักหน่อย
ฝึกฝน
เมื่อคืนฝนตกปรอย ๆ ทั้งคืนลากเช้าถึงเช้า โชคดีที่วันนี้ไกด์นัดให้ออกเดินตอน 9 โมงครึ่ง ฝนเลยหยุดก่อน ไม่งั้นคงต้องเก็บเต็นท์กันกลางสายฝน
อากาศวันนี้เย็นสบาย ไม่มีแดด รู้สึกได้ว่ากำลังเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็ถึงเช็กพอยต์ Singi คำนี้ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อของกระเป๋า Fjällräven รุ่นหนึ่ง เช่นเดียวกับที่หลายสถานที่ในเส้นทางนี้ที่กลายเป็นชื่อสินค้าอื่น ๆ ของ Fjällräven
เราเริ่มเดินตามคนส่วนใหญ่ทัน เลยได้เจอเพื่อนร่วมเส้นทางมากขึ้น และเห็นคนที่จูงหมามาเดินด้วยบ่อยมาก
เดินไปเดินมาฝนก็ตก เราก็แค่หยิบชุดกันฝนมาใส่แล้วเดินต่อ เราไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากเดินต่อ เพราะไม่มีที่ให้หลบฝน ทำได้แค่ฝึกตัวเองให้ชินกับการเดินกลางฝน พอถึงเช็กพอยต์ถัดมา Sälka ผมก็เห็นเฮลิคอปเตอร์บินลงมาจอด เห็นว่ามารับชาวไทยที่บาดเจ็บไปส่งที่ปลายทาง ปกติแล้วทุกเช็กพอยต์จะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ แต่ถ้าอาการหนักหนาจนไปต่อไม่ได้ ก็ต้องเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับออกไป โดยมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาท ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ที่เราเห็นมีหลายประเภท ทั้งขนส่งคนเจ็บ ขนของ และรับส่งคนไปพักในบ้านพักกลางป่า
วันนี้ได้เจอฝูงกวางเรนเดียร์เป็นครั้งแรก ในหนังสือเดินทางของทริปนี้เขียนว่า เรามีโอกาสเจอสัตว์ 3 ชนิด คือเรนเดียร์ เลมมิ่งหรือหนูยักษ์ ซึ่งมันมาเล่นข้าง ๆ เต็นท์เลย แต่ตัวที่ 3 นี่ไม่เจอ คือ Artic Fox หรือ Fjällräven ในภาษาสวีเดน ต้นกำเนิดของชื่อแบรนด์นั่นเอง
ช่วงเย็นเดินผ่านร้านขายของชำที่เหมือนจะมีขายแค่เบียร์กับโค้ก บ้านพักเหล่านี้เป็นของชาวซามี่ สร้างไว้เพื่อใช้เป็นจุดพักเวลาล่าสัตว์ ยุคสมัยเปลี่ยนไป หน่วยงานรัฐเลยมาพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
แค่เดินเข้ามายังเหนื่อย แล้วเขาขนของเข้ามาขายยังไง รวมถึงไม้แผ่นที่เอามาทำทางเดินด้วย ไกด์ของเราตอบความสงสัยของผมว่า การขนส่งของหนักทั้งหลายจะทำช่วงหน้าหนาว เพราะตอนนั้นทางเดินที่เราเดินจะกลายเป็นธารน้ำแข็ง คนท้องถิ่นจะเดินทางด้วยสกีและเลื่อนน้ำแข็ง ซึ่งพร้อมบรรทุกของ อย่างเครื่องดื่มพวกนี้ก็ขนมาตอนหน้าหนาว แล้วสต็อกเก็บไว้ขายในฤดูร้อน
สรุปว่าวันนี้เดินไป 19 กิโลเมตร เดินจนมืด ลานกางเต็นท์ของเราอยู่ริมทะเลสาบ วิวสวยมาก และพอลงไปอาบน้ำก็พบว่าน้ำไม่หนาวเหมือนลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา แต่ก็สดชื่น ช่วยให้หลับสบายได้เหมือนกัน
เขาใหญ่
เมื่อวานไกด์สร้างบรรยากาศเต็มที่ว่าวันนี้เราต้องเดินข้ามยอดเขาที่สูงที่สุดในทริป ความสูง 1,140 เมตรจากระดับน้ำทะเล ชื่อ Tjäktja บ้างก็แปลว่า ภูมิอากาศโหด บ้างก็แปลว่า เร็ว ๆ เข้า!
เราเห็นภูเขาลูกใหญ่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ค่อย ๆ เดินชันขึ้น ๆ แล้วก็เดินข้ามไป ขาลงมองลงมาเห็นความกว้างใหญ่ของเส้นทางและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ช่วงบ่ายฝนตกแบบไม่มีแววว่าจะหยุด เลยต้องใส่อุปกรณ์กันฝนลุยกันไป เดินจนเย็นก็ยังไม่หยุด ไกด์เลยสั่งให้กางเต็นท์เพื่อใช้เป็นที่บังฝน ต้มน้ำทำอาหารเย็น แล้วก็ออกไปเดินลุยกันต่อ เลยได้เจอสายรุ้งที่ใหญ่มาก ปิดท้ายวันด้วยการประทับตราที่เช็กพอยต์ Alesjaure แปลว่า ทะเลสาบของ Ales มีอาหารให้เติมครั้งสุดท้าย แต่เหมือนทุกคนอยากหยิบออกจากเป้มากว่าหยิบเข้า เลยต้องคำนวณจำนวนมื้อให้พอดีกันแบบเป๊ะ ๆ ไม่อยากแบกน้ำหนักเกินความจำเป็น
เดอะแบก
บรรยากาศการเดินของวันนี้ไม่เหมือนวันก่อนหน้า เพราะเราใช้หนี้หมดแล้ว ไกด์เลยพาเดินแบบชิลล์ ๆ จากที่เคยเดินเร็วชั่วโมงละ 4 กิโลเมตรกว่า ลดลงเหลือความเร็ว 2 – 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่คนส่วนใหญ่ก็เหมือนจะแบกอาการบาดเจ็บติดตัวกันมาทั้งนั้น ไกด์ก็ด้วย ทุกคนเจ็บที่เท้าด้วยอาการต่างกันออกไป การเดินช้า ๆ ในวันนี้เลยเป็นมิตรกับเท้าดีมาก
วันนี้ผมเจอครอบครัวคนไทย พ่อแม่และลูก 3 คน คุณแม่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับตั้งแต่วันแรกเพราะมีอาการป่วย ส่วนคุณพ่อกินอาหารซองไม่ได้เลยไม่มีแรง ต้องค่อย ๆ เดิน ลูกน้อย 3 คนเลยไปเดินกับกลุ่มคนไทยคนอื่น ๆ แทน
ระหว่างเดินผมก็สงสัยว่า ถ้ามีใครสักคนเจ็บ ซึ่งไม่หนักขนาดต้องตามเฮลิคอปเตอร์มารับ แต่ก็แบกเป้ตัวเองไม่ได้จะทำยังไง ใครจะแบกให้ได้ แล้วผมก็ได้คำตอบจากน้อง ๆ เพราะระหว่างที่กำลังนั่งพัก ผมเห็นน้อง 2 คนเดินผ่านไป พร้อมกับภาพพี่ชายช่วยสะพายเป้ของน้องเอาไว้ด้านหน้า มันมีอะไรแบบนี้จริง ๆ ด้วย
เนื่องจากช่วงสุดท้ายระยะทาง 17 กิโลเมตรเป็นทางราบ ๆ คุณแม่ที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปก็ไปรอที่ปลายทาง แล้วเดินย้อนกลับมา 17 กิโลเมตรเพื่อเจอครอบครัวที่เช็กพอยต์ เพื่อที่จะได้เดินช่วงสุดท้ายของทริปพร้อมกันทั้งครอบครัว
เช็กพอยต์สุดท้ายคือ Kieron เป็นชื่อนกในภาษาซามี่ มีแพนเค้กให้คนละ 3 ชิ้น เป็นเหมือนของรางวัล เพราะเส้นทางช่วงสุดท้ายเรียบง่ายมาก เหมือนทางเดินศึกษาธรรมชาติเรียบ ๆ วันนี้เลยรู้สึกเหมือนจบทริปแล้ว เพราะพรุ่งนี้เป็นแค่เส้นทางแบบเบา ๆ
ที่นอนของผมคืนนี้เป็นทุ่งที่พื้นเต็มไปด้วยมอสส์และไลเคน เหมือนนอนในสวนขวดมาก
ส่งต่อ
วันนี้คณะของพวกเราดูสดชื่นกันทุกคน รู้สึกเหมือนเอาเท้าแหย่เส้นชัยไปข้างหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ บางคนก็คำนวณว่าจะเดินให้ถึงตั้งแต่เที่ยง ไปกินข้าวที่เส้นชัยเลยดีไหม แต่สุดท้ายไกด์ก็เลือกพาพวกเราเดินในความเร็วเดิม ชื่นชมธรรมชาติไปเรื่อย ๆ เพราะบางคนก็ออกอาการล้า บางคนก็บาดเจ็บ
หนึ่งในผู้โชคร้ายคือ บาส ชายหนุ่มผู้แบกเป้หนัก 26 กิโลกรัม เขาเจ็บข้อเท้าเพราะเท้าพลิกหลายรอบ จนสุดท้ายต้องให้ไกด์ช่วยปฐมพยาบาลก่อนเข้าเส้นชัยไม่ถึง 5 กิโลเมตร ผมสงสัยว่าเราจะจัดการกับเป้ของบาสยังไง ยังไม่ทันจะเดาไปไกล ไกด์ก็เรียกทุกคนมารวมตัว
“บาส เพื่อนของพวกเราบาดเจ็บ เขาไม่มีทางเดินออกจากป่าได้ถ้าเขาต้องแบกเป้ออกไปด้วย ถ้าบาสออกไปไม่ได้ พวกเราก็ออกไปไม่ได้ ถ้าจะให้ใครสักคนช่วยแบกเป้ของเขาให้ มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกันถือของของบาสคนละชิ้น เราจะเอากระเป๋าของบาสออกจากป่าได้ ดังนั้นทุกคนเชิญเรียงแถวเข้ามารับของจากบาสไปคนละชิ้น” ไกด์พูดทั้งกินใจและปลุกใจ สมาชิกทุกคนพร้อมใจกันต่อแถวรอรับของด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนรอของขวัญจากซานตาคลอส
“ผมขอกระเป๋าสตางค์” ใครบางคนเล่นมุก เพื่อให้กิจกรรมนี้ไม่ดูดราม่าน่าสงสารจนเกินไป
ของทุกชิ้นมีคนช่วยถือแล้ว เหลือแต่เป้เปล่า ๆ เพื่อนร่วมทริปคนหนึ่งอาสาแบกให้
ทางเดินของเรามุ่งหน้าเข้าหาเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ มีคนมากมายเดินสวนมา เหมือนมาเดินเล่นในวันหยุด
ประมาณ 100 เมตรสุดท้าย ไกด์บอกให้พวกเราทุกคนหยุดรอ เพื่อที่จะได้เดินเข้าเส้นชัยพร้อมกัน เขาว่ามันเป็นธรรมเนียมของทริปนี้ ถ้าใครมาเป็นกลุ่มต้องเดินเข้าเส้นชัยพร้อมกัน
“นายเดินมาถึงขนาดนี้ เรารู้ว่านายอยากเดินแบกเป้เข้าเส้นชัย เดี๋ยวใกล้ ๆ ถึงเราจะคืนเป้ให้นะ” เพื่อนผู้แบกเป้ให้บอกบาสอย่างเข้าใจว่า ถ้าจะมีรูปเข้าเส้นชัยก็ควรจะเป็นรูปที่แสดงความเป็นนักเดินทาง ไม่ใช่ภาพคนป่วยเดินตัวเปล่า
“ไม่นะ เราไม่อยากแบกเป้เข้าเส้นชัย” บาสตอบหลังจากคิดอยู่ครู่ใหญ่ “นายช่วยแบกเป้มาให้เราตั้งไกล เราอยากเดินเข้าเส้นชัยพร้อมคนที่ช่วยเราแบกเป้มากกว่า เราอยากจดจำการเข้าเส้นชัยของเราแบบนั้น”
จากนั้นกลุ่มของพวกเราก็รวมตัวกันเดินเข้าเส้นชัยอย่างมีความสุข พร้อมเสียงปรบมือและโห่ร้องจากนักเดินทางที่มาถึงก่อน มันเป็นธรรมเนียมที่ผู้มาถึงก่อนจะ (กินเบียร์) รอปรบมือให้คนที่เข้าเส้นชัยตามมา
Abisko คือชื่อเส้นชัยของเรา เป็นคำที่เราได้ยินตลอดว่า เป้าหมายของเราคือ Abisko แปลว่า ป่าใหญ่ใกล้ทะเลสาบใหญ่ มันเป็นคำที่ต่างจาก Fjällräven Classic Sweden เพราะ Abisko เป็นหมุดหมายว่าเราทำสำเร็จแล้ว
สำหรับพวกเรามันเป็นเรื่องพิเศษ แต่ชาวสวีเดนจำนวนมาก ดูเหมือนเป็นการเดินเล่นประจำปีที่เดินไกลว่าทริปสุดสัปดาห์เล็กน้อย อุ้มลูกบ้าง จูงหมาบ้างมาเดินด้วยกัน
เส้นชัยมีลานเบียร์ มีจุดแยกขยะที่ทุกคนต้องเอาขยะทั้งหมดมาชั่ง แยก และทิ้งให้ถูกประเภท มีจุดทำความสะอาดรองเท้า และมีบูทขายของแบบเดียวกับตอนเดิน แต่ลดราคา (อย่างที่เราพูดกันเล่น ๆ ตอนซื้อของวันแรก แต่เป็นแบบนั้นจริง ๆ )
ไกด์ไปรับเหรียญที่ระลึกมาแจกพวกเราทุกคน แล้วกล่าวคำขอบคุณสำหรับการเดินร่วมทาง แต่ก็ไม่ได้ซึมเศร้าหรือซาบซึ้งจนเกินไปนัก เพราะตอนเย็นเรายังได้กินข้าวเย็นมื้อพิเศษร่วมกันอีก
บนโต๊ะอาหาร บทสนทนาวนเวียนอยู่กับคำถามประมาณว่า ช่วงเวลาที่คุณชอบที่สุด สิ่งที่ชอบที่สุด เส้นทางที่ชอบที่สุด ก็ถือเป็นการทบทวนที่ดี ผมตอบคำถามนี้ประมาณว่า ผมชอบการไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ 1 สัปดาห์ แล้วได้อยู่กับตัวเองจริง ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มาก
สารภาพว่าผมไม่มีเวลาและไม่มีแรงอ่านข้อมูลในหนังสือเดินทางของทริปนี้เลย พอมาอ่านตอนจบทริปแล้ว ผมว่ามันคือบทสรุปที่ดีมาก
หน้าแรกของเล่มจั่วหัวว่า Seeing is feeling is believing
ตามด้วยเนื้อหาที่ผู้จัดตั้งใจบอกทุกคน
การเดินบนเส้นทางธรรมชาติสวยสะกด 110 กิโลเมตร ด้วยความเร็วของคุณเอง โดยมีของที่จำเป็นทั้งหมดอยู่บนหลังของคุณ ไปพร้อมกับเพื่อน ๆ นักเดินป่า มันเยี่ยมมาก
ไม่ใช่แค่ได้รับประสบการณ์จากธรรมชาติที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังได้เรียนรู้มากมาย คุณได้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบอิสระ และความมั่นใจในการใช้ชีวิตกลางแจ้ง เมื่อคุณกลับบ้านไป ต่อไปการเดินป่าในวันหยุดจะง่ายเหมือนการเดินในสวน เพราะคุณผ่าน Fjällräven Classic มาแล้ว
คุณจะส่งต่อประสบการณ์นี้ให้เพื่อนและครอบครัว สอนพวกเขาในสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ยิ่งพวกเราชื่นชมธรรมชาติกลางแจ้งและชีวิตมากขึ้นแค่ไหน มันก็ยิ่งดีขึ้นสำหรับเราและโลกมากขึ้นเท่านั้น
ใช่ ใคร ๆ ที่มาเดินเส้นทางนี้ล้วนอยากกลับไปเล่าต่อ ชวนเพื่อนให้มาเดินทั้งนั้น
ไปไหมครับ
* เปิดรับสมัครปลายเดือนมกราคม 2567 ทางเพจ Fjällräven Thailand Apparel