จากใจคนชีพจรลงเท้าอย่างเรา เห็นตรอกซอกซอยไหนในกรุงเทพฯ เป็นต้องเดินสำรวจให้ทั่ว ถึงขั้นเคยจองห้องพักย่านเยาวราช 2 คืน เพื่อเที่ยวเยาวราช-ตลาดน้อยมาแล้ว แต่ขอบอกเลยว่าเวลาเท่านั้นยังไม่พอ เพราะยิ่งเดิน ยิ่งเจอร้านลับ ยิ่งเป็นคนต่างถิ่น (เรามาจากภาคอีสาน) มาตั้งต้นการสำรวจด้วยตัวเอง กว่าจะจับทางได้ก็เสียเวลาไปเยอะแล้ว พอได้มาพูดคุยกับคนโรงแรมย่านสุรวงค์ กรุงเทพฯ นั่นเลยทำให้เราประทับใจ ‘บีนส์ทอล์ค แบงค็อก (Beanstalk Bangkok)’ ที่มีคุณสมบัติ ‘พักดี กินดี เที่ยวดี’

หมายความว่า คอยดูแลแขกให้นอนสบายที่สุด กินอาหารดีมีประโยชน์ที่สุด และแนะนำการท่องเที่ยวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ก่อนจะสาธยายข้อดีเหล่านั้น เราขอเกริ่นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Beanstalk Bangkok หลังจากสนทนากับ ขวัญ-ขวัญประภัสส์ อารีย์กุล Assistant General Manager และ เจ็ท-อติสันต์ พลบำรุง Reception Supervisor กันก่อนดีกว่า

Beanstalk Bangkok เป็นที่พักที่รีโนเวตจากโรงแรมนิวฟูจิ ย่านสุรวงศ์ อดีตเคยเป็นที่พักของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเปิดเป็นที่พักบริการให้แขกเข้าพักมามากกว่า 70 ปี ก่อนตกอยู่ในมือเจ้าของชาวญี่ปุ่นคนปัจจุบัน และตั้งแต่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 โรงแรมแห่งนี้ก็รับรองแขกมากมายจากทั่วทุกมุมโลก โดยมีนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย คือแบ็กแพ็กเกอร์ 

ข้อเท็จจริงอีกอย่างที่เรามองว่าน่ารักมากคือชื่อของโรงแรม เพราะ Beanstalk แปลว่า ต้นถั่ว ผู้ก่อตั้งได้แนวคิดมาจากต้นถั่วยักษ์ในนิทานเรื่อง แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ และต้นถั่วต้นนี้ทำหน้าที่ส่งนักสำรวจไปสู่โลกใบใหม่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น และบทบาทที่แท้จริงของพนักงาน Beanstalk Bangkok คือการเป็น Local Ambassadors ผู้คอยเชียร์ให้แขกออกผจญภัยในกรุงเทพฯ นั่นเอง

เพราะแบบนี้ เจ็ทจึงเรียกตัวเองว่า ‘โฮสต์’ เขาเปรียบการมาพักที่โรงแรมนี้กับการแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ และย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้าบ้าน เจ็ทอยากเป็นทั้งผู้ดูแลและเพื่อนที่คอยเชียร์เพื่อนให้ออกไปใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ส่วนขวัญเองตั้งใจให้โรงแรมเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของแขก เมื่อใดที่มาพักรับรองว่าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความเอาใจใส่ของโฮสต์ และได้เรื่องราวสนุก ๆ กลับไปเล่าต่อแน่นอน

พักดี

“ที่นี่ทำให้แขกรู้สึกเหมือนบ้านตั้งแต่ถอดรองเท้าที่ชั้น 1 ไม่ใช่ตอนเปิดประตูเข้าห้องพัก” 

ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก โรงแรมแห่งนี้ให้คุณเก็บรองเท้าใส่ในตู้ไม้บริเวณแผนกต้อนรับชั้น 1 แต่ละล็อกเกอร์มีสลิปเปอร์สำหรับใส่เดินภายในโรงแรมเตรียมไว้เรียบร้อย นี่คือสิ่งหนึ่งที่ Beanstalk Bangkok อยากให้แขกเปิดใจและลองทำ จากประสบการณ์ตรง เจ็ทบอกว่านี่ชวนให้นึกถึงสิ่งที่คนไทยทำเป็นกิจวัตร คือการถอดรองเท้าไว้หน้าบ้าน แล้วขึ้นห้องไปนอนทิ้งตัวลงบนเตียงเพื่อคลายความเหนื่อยล้า

เราทำตามด้วยการถอดรองเท้าผ้าใบออก ใส่สลิปเปอร์หนานุ่มเพื่อขึ้นไปสำรวจห้องพักชั้นบนของโรงแรม บรรยากาศของห้องพักชวนให้ผ่อนคลายด้วยโทนสีขาวนวลและสีน้ำเงินเข้มสุดสุขุม บวกกับกลิ่นอายของญี่ปุ่นผสมผสานความเป็นไทยอย่างลงตัว ทางเข้าของห้องเลียนแบบทางเข้าบ้านของญี่ปุ่นที่เป็นพื้นยกระดับ ไม่เพียงแค่นั้น อินทีเรียชาวญี่ปุ่นยังตั้งใจวางฟูกบนพื้นตามแบบฉบับห้องนอนญี่ปุ่น และแอบหยอดลูกเล่นเล็ก ๆ แสดงความเป็นไทย ผ่านนวมชกมวยขนาดจิ๋วหลิว เป็นสัญลักษณ์แทนป้ายห้ามรบกวน และไม้กวาดด้ามเล็กถนัดมือ ก็เป็นสัญลักษณ์แทนป้ายทำความสะอาด – น่าเอ็นดูมาก

โรงแรมขนาดกะทัดรัดแห่งนี้มีห้องพัก 57 ห้อง ประกอบด้วย 5 ประเภท ได้แก่ Standard Double Room, Standard Twin Room (Twin), Standard Twin Room (Bunk), Standard Triple Room และ Standard Quadruple Room พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม จะมาคู่ กลุ่มเพื่อน หรือครอบครัว

สังเกตว่าห้องพักสำหรับแขก 2 ท่านมีถึง 3 ประเภท ทั้งเตียงเดี่ยว เตียงคู่ และเตียง 2 ชั้น (เหมาะกับเพื่อนที่มากัน 2 คน) แม้แต่ห้อง 4 เตียงก็ประกอบด้วยเตียง 2 ชั้น 2 เตียง ทำเอาแขกหลายท่านเข้าใจผิดว่าที่นี่เป็นโฮสเทลพร้อมห้องน้ำรวมอย่างโฮสเทลทั่วไป แต่ความจริงแล้ว นี่คือการออกแบบห้องโดยคำนึงถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแบบแบ็กแพ็กเกอร์ แถมทุกห้องมีห้องน้ำในตัว

นอกจากบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ห้องพักของที่นี่ก็ไม่เหมือนใคร (พูดจริง ๆ นะ)

ทุกห้องของ Beanstalk Bangkok ไร้วี่แววทีวีและกาต้มน้ำร้อน เราว่าค่อนข้างต่างจากธรรมชาติของโรงแรมที่มักรวมเอาสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างไว้ภายในห้องพัก เมื่อขวัญกับเจ็ทเฉลยก็ถึงบางอ้อ ว่านี่เป็นหนึ่งในวิธีสนับสนุนให้แขกอยากออกไปสำรวจย่านต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ 

กินดี

หากไม่อยากออกไปไหน แต่ก็ไม่อยากอยู่ในห้อง ลงมาใช้บริการที่ชั้น 1 ได้นะ

เจ็ทเล่าว่าคาเฟ่ของที่นี่ใช้เมล็ดกาแฟจากปางขอน จังหวัดเชียงราย โดยความร่วมมือของ Roots ร้านกาแฟสนับสนุนเกษตรกรไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผสมหลายตัวในชาก็มีแหล่งที่มาแบบเดียวกัน

เรามีโอกาสได้ชิมชา Earl of Siam เสริมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยส้มแป้น ส่วนเมนูขายดีคือ Passion Peach ใช้ชาอัสสัมจากโครงการหลวง และผลไม้ขึ้นชื่อจากดอยอ่างขางอย่างลูกพีช 

นอกจากสนับสนุนเกษตรกรไทยแล้ว Beanstalk Bangkok มองว่าอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งช่องทางการนำเสนอความเป็นไทยให้แก่แขกผู้เข้าพัก ซึ่งได้ผลอย่างดีเยี่ยมเสียด้วย เพราะชาวต่างชาติไม่คุ้นกับชื่อวัตถุดิบ พนักงานจึงทำหน้าที่อธิบายและแนะนำเมนูให้ลูกค้าด้วยความยินดี

ความพิเศษที่พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด คืออาหารเช้า

มื้อเช้าที่ Beanstalk Bangkok แม้ไม่ใช่บุฟเฟต์ แต่เสิร์ฟแน่นจนล้นจาน ทั้งมื้อเช้าแบบอเมริกันที่มีขนมปัง ไข่ ไส้กรอก สลัดราดด้วยน้ำสลัดฝีมือเชฟ และยังมีอาหารไทยจานรองเป็นเครื่องเคียง

ความสนุกอยู่ตรงที่เมนูอาหารไทยเปลี่ยนทุกวัน ทั้งพนักงานและแขกโดนเชฟเซอร์ไพรส์รายวัน บางวันรสไทยจ๋า บางวันไทยทวิสต์ และบางทีเชฟก็มอบเมนูแถมเนื่องในโอกาสพิเศษให้ด้วย เช่น ข้าวเหนียวมะม่วงจานพูนที่เสิร์ฟตบท้ายอาหารเช้าในช่วงสงกรานต์โดยไม่คิดราคาเพิ่มสักบาท

ระหว่างจิบชาเพลิน ๆ เรากวาดสายตามองโถงสูงโปร่งบริเวณชั้น 1 เห็นร่องรอยที่กาลเวลาทิ้งเอาไว้ตามรอยผุบนเสาสูง และการตกแต่งของที่นี่ก็สอดแทรกความเป็นไทย-ญี่ปุ่น อย่างพอดิบพอดี

เฟอร์นิเจอร์ที่บ่งบอกกลิ่นอายสยาม-อาทิตย์อุทัย ได้ดี คงเป็นโซฟาไม้ที่เรานั่ง สีของเบาะและดีไซน์ของโซฟามองผิวเผินแล้วดูเรียบง่ายอย่างญี่ปุ่น แต่ดีเทลตรงหัวโซฟาที่มีลักษณะเป็นทรงกลมแหลมคล้ายเจดีย์ไทย แถมพนักพิงของเก้าอี้เป็นงานจักสานโดยช่างไทยอีกด้วย ยิ่งมอง ยิ่งมีเสน่ห์เหลือเกิน

ใกล้กับแผนกต้อนรับมีโซน Co-working Space บนผนังเป็นลายไทยสีฟ้าคราม ตรงหน้ามีตั่งไม้ตั้งอยู่พร้อมหมอนอิงสามเหลี่ยม เราชอบที่สีสันไม่จัดจ้านแบบที่คุ้นเคย แต่เป็นสีขาวดูสบายตา

ขวัญบอกว่า คาเฟ่ และ Co-working Space เปิดรับรองแขกตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าต้องการความสนุกสนานก็จับกลุ่มมาเล่นบอร์ดเกมที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ได้ วันดีคืนดีพนักงานก็จะมาร่วมวงเล่นเกมด้วย ถ้าต้องการความสงบก็มีหนังสือหลากหลายภาษาให้เลือกอ่าน กระซิบเลยว่าพื้นที่แห่งนี้สร้างมิตรภาพจากทั่วโลกมานักต่อนัก อ้อ แม้จะไม่ได้เข้าพักที่นี่ แต่ก็แวะเวียนมาใช้บริการคาเฟ่ได้เช่นกัน

เที่ยวดี

Beanstalk Bangkok มีทำเลที่ตั้งอยู่บนถนนสุรวงศ์ เป็นจุดเชื่อมระหว่างเสน่ห์เมืองเก่าย่านเจริญกรุง-บางรัก กับเมืองใหม่ฝั่งสยาม เซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่สิบนาทีเท่านั้น

“จากโรงแรม ขับรถตรงไปนิดหนึ่งแล้วเลี้ยวขวา จะเห็นสถาปัตยกรรมของไปรษณีย์กลาง เดินต่ออีกจะเจอ Warehouse 30 ยิ่งขยับเข้าย่านเจริญกรุงมากเท่าไหร่ยิ่งเจอ Hidden Gems นี่คือความสนุกของย่านเจริญกรุงและบริเวณรอบ ๆ โรงแรมของเรา” เจ็ทเล่าให้เราฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น (มาก)

แม้เขาเติบโตและใช้ชีวิตในย่านนี้มากว่า 20 ปี แต่เจ็ทเห็นพัฒนาการและการเกิดใหม่ของร้านรวงและแกลเลอรีต่าง ๆ ราวกับว่าย่านเมืองเก่านี้ไม่เคยหมดลมหายใจ นี่คือสิ่งที่เขาอยากให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส บรรดาเจ้าบ้านของ Beanstalk Bangkok ลงพื้นที่สำรวจย่านเหล่านี้ด้วยตัวเองมาหมดแล้ว พวกเขาสอดส่องหาร้านอาหาร คาเฟ่ วัด แกลเลอรี และอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อนำเสนอให้กับแขก ทำเรานึกถึงตัวเองตอนเดินหลงในย่านตลาดน้อยคนเดียว – ถ้ามีเพื่อนที่รู้ใจคอยให้คำแนะนำคงจะดีไม่น้อย

Guests are always ready to be asked. นี่คือคำพูดของผู้ก่อตั้งที่กำหนดตัวตนโรงแรมและพนักงาน เขามองว่านักท่องเที่ยวย่อมแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เมื่อเจอสถานที่และวิธีการเดินทางที่หลากหลายย่อมสับสนเป็นธรรมดา โฮสต์ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมและช่วยเหลือแขกอยู่เสมอ 

“นอกจากการเข้าพัก เรายังคำนึงถึงความต้องการอื่น ๆ ของแขกด้วย เช่น แขกอยากสำรวจสถานที่แบบไหน เราพร้อมแนะนำ เพราะเราได้รับการสอนมาให้รู้จักพื้นที่ และมีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากให้แขกสัมผัสประสบการณ์แบบไหน ซึ่งสถานที่ที่เราแนะนำส่วนใหญ่เป็น Hidden Gems ในกรุงเทพฯ ล้วนมีกลิ่นอายบางอย่างที่น่าสนใจ ทั้งที่ไม่ได้เป็นสถานที่ที่ยอดนิยม” เจ็ทเล่า

“ช่วงเซตทีมงานก่อนเปิดโรงแรม เราใช้เวลาทุกวันของการทำงานเดินสำรวจรอบ ๆ โรงแรม เพราะผู้ก่อตั้งอยากให้พนักงานออกสำรวจเพื่อเก็บประสบการณ์มามอบให้กับลูกค้า แม้โรงแรมเปิดแล้ว แต่พนักงานของเราก็ยังสำรวจสถานที่ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อมาบอกต่อกับแขก มั่นใจได้ว่าพนักงานของเรามี Local Knowledge เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณนี้ดี เราจึงแนะนำแขกได้อย่างเข้าใจและรู้จริง” ขวัญเสริม

สิ่งที่เราคิดว่าสนุกมาก คือโรงแรมถึงขั้นทำ Staff Recommendation รวมสถานที่น่าสนใจตามความชอบของพนักงาน 5 คน ทั้งเจ็ทและขวัญผลัดกันยกตัวอย่าง ตั้งแต่สายมู สายอาร์ต และสายดื่ม หมดห่วงเรื่องไม่รู้จะเที่ยวที่ไหนได้เลย ซึ่งเป็นข้อดี เพื่อให้แขกกับพนักงานได้เชื่อมความสัมพันธ์กัน

มากไปกว่านั้น คือ ‘ตุ๊กตุ๊กทัวร์’ เพราะ Beanstalk Bangkok จัดโปรแกรมนั่งตุ๊กตุ๊กยามค่ำให้แขกชมวิวหลาย ๆ ย่านในกรุงเทพฯ แบบจุใจ เริ่มตั้งแต่ไปรษณีย์กลาง ยาวถึงเยาวราช ปากคลองตลาด วัดโพธิ์ วัดอรุณฯ วัดพระแก้ว วัดสุทัศน์ฯ แล้วกลับมาที่โรงแรม วนเป็นวงกลมพอดี ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ในราคา 1,000 บาท และหากอยากแวะลงเดินตรงไหนก็สะกิดบอกคนขับได้ตามต้องการเลย

โปรแกรมท่องเที่ยวนี้ให้ประโยชน์ 2 ทาง คือโปรโมตย่านต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ และสนับสนุนงานให้พี่ ๆ คนขับรถตุ๊กตุ๊ก (การันตีเลยว่าพี่ ๆ นักบิดคือไกด์ชั้นยอด) ซึ่งแนวคิดนี้ถือเป็นการพาชุมชน ผู้คน และกิจการรอบข้างเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจโรงแรม และที่สำคัญ ความตั้งใจคิด ตั้งใจทำของพวกเขาก็สัมฤทธิ์ผล เพราะได้รับความประทับใจและเสียงตอบรับอันดีเยี่ยมจากแขกที่มาพัก

ประสบการณ์ดี

“ความตั้งใจอย่างหนึ่งของพวกเราทุกคน คือทำให้ย่านมีชีวิต เราเป็นโรงแรมเล็ก ๆ กับกลุ่มคนตัวเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเราหลอมรวมจิตวิญญาณของย่านนี้ไว้ในตัวแขกได้ จากการที่เขามาพักกับเรา เราแนะนำและคอยเชียร์ให้เขาไปสำรวจสถานที่ต่าง ๆ รอบโรงแรม

“เราอยากให้แขกจดจำว่าเราเป็น ‘เจ้าบ้าน’ ของเขาในกรุงเทพฯ” เจ็ทเล่าความตั้งใจ ก่อนขวัญเสริมต่อ “เราอยากให้แขกจดจำว่าเราเป็นโรงแรมที่อบอุ่น เพราะคาแรกเตอร์ของพนักงานที่เป็นมิตร เราดีใจทุกครั้งที่แขกบอกว่าที่ที่เหมือนบ้าน ซึ่งเราก็อยากให้ที่นี่เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเขา”

ดังเช่น เธอ (หญิงสาวต่างชาติ แขกประจำของโรงแรมแห่งนี้) ที่กำลังเปิดประตูไม้บานสูงของโรงแรมเข้ามาพร้อมกระเป๋าสัมภาระ หลังเห็นใบหน้าของเจ็ทและขวัญ เธอโผกอดเขาทั้งสองด้วยความดีใจ ก่อนสนทนาถึงการจราจรสุดแสนติดขัดของแบงค็อก เหตุการณ์ตรงหน้าดำเนินอย่างเป็นธรรมชาติ 

เหมือนเธอกลับบ้าน แล้วมีคนในครอบครัวยืนต้อนรับด้วยความยินดี มันบ่งบอกถึงความสนิทสนมระหว่างแขกกับพนักงาน และมวลความอบอุ่นก็เปลี่ยนสถานที่ตรงหน้าให้กลายเป็น ‘บ้าน’ จริง ๆ

บ้านที่พวกเขารอคนสำคัญกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง

และบ้านในรูปโฉมโรงแรมใหม่นี้ก็ทำให้ ‘นิวฟูจิ’ กลับมาทำหน้าที่รับแขกทั่วโลกอีกครั้ง