ปลายนิ้วกับเล็บมือทั้งสิบของ แอนนี่-อธิษฐ์รดา จันทร์ชูวณิชกุล ที่พรมลงบนสายเครื่องดนตรีจีนโบราณ ทั้งไพเราะ อ่อนหวาน และเพลิดเพลินเสียจนใครหลายคนที่เดินผ่านต้องหยุดยืนเพื่อเงี่ยหูฟังเพลง เยว่เหลี่ยงไต้เปี่ยวหว่อเตอซิน (พระจันทร์แทนใจฉัน) ซึ่งเธอรักดุจดวงใจ

นัยน์ตาของวนิพกสาวในชุดฮั่นฝูหลับพริ้ม ต่อนาน ๆ จึงจะลืมขึ้นเพื่อยิ้มให้กล้องของหมู่ชนที่รุมล้อมถ่ายภาพสักครั้ง ใช่เพียงเพราะแอนนี่ฝึกเล่นเพลงมาอย่างชำนาญจนใช้แค่สองหูกับสัมผัสก็เล่นได้ หากยังเป็นเพราะโรคร้ายที่ติดตัวเธอมาแต่เกิดได้คร่าประสาทการมองเห็นของเธอไปทีละน้อย จนไม่อาจจับภาพผ่านดวงตาคู่นี้ได้เหมือนเก่า

โรคจอประสาทตาเสื่อมทำให้สาวภูเก็ตผู้หลงใหลในเสียงเพลงจีนต้องแปลงสถานะจากพนักงานสาวอนาคตไกล มาเป็นผู้พิการทางสายตาอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเธอมีอายุได้แค่ 25 ซึ่งเป็นช่วงปีเดียวกับที่เธอได้หย่าร้างกับชายคนรัก ทั้งยังต้องอุ้มท้องเลี้ยงดูลูกคนเดียวเพียงลำพัง

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

ท่ามกลางมรสุมชีวิตที่ถั่งโถมเข้ามา ตั้งแต่การว่างงาน บทบาทแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปในฐานะผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย โชคชะตาได้ลิขิตให้แอนนี่ได้รู้จักกับกู่เจิง เครื่องสายที่มอบแสงสว่างแก่โลกอันมืดมิด สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างตัวตนเธอให้เป็น ‘แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง’ นักดนตรีคิวทองของจังหวัดภูเก็ตที่ฉีกกฎเดิม ๆ ว่ากู่เจิงต้องบรรเลงในร้านอาหารจีนเท่านั้น

ตกเย็นวันศุกร์ที่ศาลเจ้าแม่ย่านางเรือในเมืองภูเก็ตมีงานสักการะประจำปี เป็นอีกงานหนึ่งที่แอนนี่ได้รับเชิญมาเล่นเพลงขับกล่อมสาธุชนที่แวะเวียนมาสักการะองค์เจ้าแม่ ก่อนพิธีสำคัญช่วงหัวค่ำจะเริ่ม เราชวนเธอมาคุยเรื่องเพลงที่เธอรัก นักร้องคนโปรด ชีวิตที่บิดเบี้ยวจากโรคประจำตัว ตลอดจนการลุกขึ้นยืนหยัดด้วยเสียงดนตรีและพลังบวกเต็มที่ สมดังสโลแกนที่ว่า ‘มองไม่เห็นแต่เล่นด้วยหัวใจ’

หลานสาวที่ชอบฟังเพลงของอากง

เล่าวัยเด็กของคุณให้ฟังหน่อยสิ

เกิดที่จังหวัดภูเก็ตค่ะ ที่บ้านอยู่กัน 5 คน มีป่าป๊า หม่าม้า แอนนี่เป็นพี่สาวคนโตค่ะ แล้วก็มีน้องชาย 2 คน บ้านอยู่ในเมือง ถ้าตอนนี้เรียกว่าย่านเมืองเก่าภูเก็ตเลย เกิดที่นี่ อาศัยอยู่ที่นี่ ที่บ้านทำกิจการเป็นร้านขายเครื่องไฟฟ้า ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี

ใครกันที่ชักนำให้คุณฟังเพลงจีนคนแรก

บ้านเราอยู่กัน 5 คนก็จริง แต่ในตระกูลยังมีอากงอาม่าอยู่อีกบ้านหนึ่ง ไม่ไกลกัน ชีวิตประจำวันของอากงก็จะแวะเวียนไปตามบ้านพี่น้อง คือลุง ๆ ป้า ๆ ค่ะ อากงจะแวะมาบ้านเราด้วย หรือไม่เราจะวิ่งไปบ้านอากงอาม่าด้วย อากงจะชอบเปิดเพลง เติ้ง ลี่จวิน (Teresa Teng) เยอะมาก แล้วก็เปิดหนังจีน เราก็เลยชอบเพลงเติ้ง ลี่จวิน ทั้งที่จริง ๆ แอนนี่ไม่รู้ภาษาจีนหรอก แต่ก็ร้องคาราโอเกะมั่วตามได้

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

เพลงไหนที่เติ้ง ลี่จวิน ร้อง แล้วนางฟ้ากู่เจิงชอบมาก

ก็แน่นอนเลย พระจันทร์แทนใจฉัน แกะเพลงนี้เป็นเพลงแรก คือวุ่นวาย คลำไปคลำมาที่กู่เจิง อยากได้เพลงนี้เป็นเพลงแรก ๆ เลยนะคะ เพราะว่าอยากเล่นเพลงนี้ได้ เป็นเพลงแรกเลย ชอบมาก

ต่อจากเพลงนี้ก็ตามมาหลายเพลงเลย ส่วนมากก็เป็นของเติ้ง ลี่จวิน ทั้งนั้นเลย เช่น เถียนมี่มี่ และ หนี่เจิ่นเมอซัว เป็นเพลงที่เล่นแล้วคิดถึงอากง

ภาพเติ้ง ลี่จวิน ในความคิดของคุณเป็นอย่างไร

ด้วยความที่เราปลื้มเติ้ง ลี่จวิน แล้วในภาพที่เราเห็น เขาสวย ดูสง่างาม เรารู้สึกว่าเขาเป็นผู้หญิงจีนที่เป็นที่รัก มีชื่อเสียงไปทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทย เราเห็นว่าเขามีคอนเสิร์ตในต่างประเทศ มันเลยทำให้เราอยากดูสวยสง่างามแบบนั้น เป็นเหมือนไอดอลท่านหนึ่งในใจค่ะ

แอนคิดว่าเด็กหลายคนในยุค 90 เราดูหนังจีนกันเยอะ เอาจริง ๆ ตอนเราดูทีวีก็เห็นไม่ค่อยชัดหรอก เราก็เห็นได้ประมาณหนึ่ง แต่ในจินตนาการของเราก็คือเขาเหมือนองค์หญิง เป็นนางฟ้าจีน เล่นพิณจีน ก็คงจะดูสวย แต่ตอนเราเป็นเด็ก เราเข้าใจว่าไอ้เครื่องดนตรีแบบนั้นมันอยู่ในจินตนาการ มันไม่ได้มีอยู่จริง เหมือนอยู่ในหนัง เป็นเครื่องในความฝันมากกว่า

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

เด็กที่เกิดมาพร้อมโรคทางสายตา

ที่บอกว่า ดูทีวีก็เห็นไม่ค่อยชัด แสดงว่าคุณมองไม่เห็นมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

ที่บอกว่าบ้านขายทีวี ตอนที่โตขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ป่าป๊าเขาทำร้านเน้นทีวีจอใหญ่ ๆ แล้วป่าป๊าจะเอาทีวีหันออกหน้าบ้าน แล้วตอนค่ำ ๆ เขาจะชอบเปิดหนัง เปิดคอนเสิร์ต เหมือนเพื่อเป็นการโปรโมตร้าน โปรโมตทีวี คือต้องบอกว่าโรคของแอนนี่คือจอประสาทตาเสื่อม ตอนเด็ก ๆ เรายังพอมองเห็น เราจะเห็นสัก 20 – 30 เปอร์เซ็นต์ เวลาเราดูทีวี เราจะชอบเข้าไปใกล้ติดจอ

ทราบตอนไหนว่าตัวเองเป็นโรคนี้

ทราบจริง ๆ ก็ตอนเริ่มรู้ความ น่าจะเริ่มเป็นมาตั้งแต่เล็ก แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นโรคอะไร คือเข้าใจว่าสายตาสั้น ตอนเล็กมีอาการตาเขด้วย แม่ก็เข้าใจว่าสายตาสั้นหรือเอียง กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง คือเป็นลักษณะนั้น ก็พยายามพาไปหาหมอตามคลินิกก่อน เพราะว่าเราอยู่ภูเก็ต เบื้องต้นก็หาหมอที่นี่แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร เข้าใจว่ากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ตาเข ตาเอียง สายตาสั้นเยอะ ๆ แต่ตรวจไม่ชัดเจน

แม่พาตะลอนค่ะ ตะลอนขึ้นกรุงเทพฯ แล้วก็ไปตรวจจนทราบชัดเจนเลยคือจากโรงพยาบาลจักษุ รัตนิน อาจารย์หมอเรียกพ่อแม่เราไปพบหลังจากที่ตรวจเราแล้ว ตอนนั้นเราเล็ก ๆ แต่เราฟังรู้เรื่องนะ น่าจะ 5 – 6 ขวบ เราพอเข้าใจ เพราะเราได้ยินหมอบอกแม่ว่าเราเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ แล้วมันจะเสื่อมไปเรื่อย ๆ เราเห็นว่าแม่เราร้องไห้ แต่เราเป็นเด็กเราก็งง ๆ

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

ก็เลยมองไม่เห็นไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งไม่เห็นในที่สุด?

ใช่ค่ะ จะบอกว่าช้าไหมก็บอกไม่ได้เลยนะ คุณหมอบอกว่าเคสที่เป็นโรคนี้จะไม่ค่อยพบในเด็กเล็กเลย ทุกทีมันจะเริ่มเป็นตอนที่โตขึ้น อาจจะเป็นช่วงวัยรุ่น หรือ 7 – 8 ขวบ ไม่ก็ตอนอายุมาก แต่แอนนี่เป็นตั้งแต่เล็ก แล้วที่บ้าน 3 พี่น้อง แอนนี่กับน้องชายคนเล็กเป็นโรคเดียวกันเลย ต้องถูกหิ้วไปโรงพยาบาลด้วยกัน ปัจจุบันน้องยังเห็นเยอะกว่าแอนนี่ 

เราไม่รู้ตัวเลยว่าตามันเสื่อมไปแค่ไหน เราก็อยู่ของเราไปเรื่อย ๆ จนตอนที่เราอายุ 25 มันวืบลงเลย

แต่ได้ยินว่าคุณก็เรียนในระบบเด็กปกติมาตลอด

อันนี้เป็นเรื่องแปลก แอนนี่ก็เพิ่งทราบว่าคุณหมอในยุคปัจจุบัน ถ้ามีคนไข้คนไหนไปตรวจแล้วพบว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม คุณหมอถามเลยว่า คุณทราบหรือยังว่าคุณจะต้องได้สวัสดิการ ขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการ ตอนเป็นเด็ก ในนั้นยุคนั้นน่ะ เวลาตรวจ หมอไม่ได้แจ้งว่าการที่เราเป็นขนาดนี้เรานับเป็นผู้พิการ หมอบอกแค่ว่าเราเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม

พอเราตรวจปั๊บ เราก็กลับบ้าน ใช้ชีวิตแบบปกติ ไปโรงเรียนปกติ เรียนปกติ แล้วเราไม่รู้เลยว่าเราคือคนพิการ เรามีหน้าที่แค่ทำยังไงก็ได้ให้อยู่กับเพื่อนได้ ให้เรียนหนังสือกับเพื่อนให้ได้ เพราะว่าเราไม่ได้รับสิทธิพิเศษหรือความช่วยเหลือพิเศษไง เพราะเราปกติ

การใช้ชีวิตตามเพื่อนคนอื่นเป็นเรื่องยากแค่ไหน สำหรับเด็กที่มีโรคจอประสาทตาเสื่อม

มันเหนื่อย มันยากลำบาก แล้วมันก็เครียดมากสำหรับเด็ก แต่มันก็ช่วยเรามากในตอนโต มันทำให้เราแข็งแกร่ง แล้วเราเข้าใจโลก เข้าใจการใช้ชีวิตกับคนทั่วไป การทำงานร่วมกัน การปรับตัว การอดทน เราเอามาใช้เยอะมากค่ะ

ก็กว่าเราจะรู้ว่าเป็นคนพิการ ขึ้นทะเบียนคนพิการตอนเราเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ขึ้นปี 4 แล้ว เราถึงรู้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งในภูเก็ต เราไปเจอเขา มีคนแนะนำให้รู้จักกัน เพราะเขาได้ยินว่าอาจารย์ท่านนั้นเป็นโรคเดียวกับเรา ตอนนั้นท่านก็มองไม่เห็นเยอะแล้วเพราะท่านเริ่มอายุเยอะ สอนอยู่ราชภัฏภูเก็ต พอเรานัดพบท่าน ท่านก็เลยถามว่า นี่ขึ้นทะเบียนหรือยัง มีบัตรคนพิการหรือยัง งงกันหมดเลยในครอบครัว

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

ไม่มีใครรู้เลยหรือ

ใช่ เราไม่เคยรู้ แล้ววันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนมากค่ะ ต้องนึกถึงใจของพ่อแม่ วันที่มีคนมาชี้บอกว่าลูกเราเป็นคนพิการนะ แรก ๆ แม่รับไม่ค่อยได้

แต่วันนั้นเราก็เลยคุยกันในบ้าน เราต้องยอมรับนะ เรายังบอกแม่เลยว่าถ้าเรารู้แต่แรก ตอนเราสอบเอนทรานซ์มาหรือตอนเรียนหนังสือ เราอาจจะมีคนมาช่วยเรามากกว่านี้ เพราะตอนแอนนี่สอบมันลำบากและเหนื่อยมาก บอกเลยว่าเหนื่อยมากจริง ๆ กว่าจะสอบได้ เพราะมันไม่มีเจ้าหน้าที่มาอ่านข้อสอบให้เรา เราต้องใช้แว่นขยาย เหมือนเลนส์ส่องพระมาส่องตัวหนังสือแล้วอ่านข้อสอบ

มันเหนื่อยมาก มันปวดคอ เพราะต้องก้ม แล้วทุกคนออกจากห้องสอบแล้ว เราทำจนถึงนาทีสุดท้ายเราก็ยังทำไม่เสร็จ แต่เราก็สู้สุดฤทธิ์จนเราสอบติด เราตั้งใจมาก 

คนธรรมดาสอบติดก็ภูมิใจมากแล้ว เดาว่าคุณคงภูมิใจยิ่งกว่าพวกเขาอีกนะ

ใช่ ๆ เพราะว่าสิ่งใดที่เราพยายามให้ได้เหมือนเพื่อนหรือเป็นที่ยอมรับ มันดับเบิลขึ้นไปอีก เราก็เลยเริ่มภูมิใจในความเป็นตัวเอง เข้าใจในความพิการนี้

สาวออฟฟิศในกรุงเทพฯ

พอเรียนจบแล้ว คุณไปทำงานอะไร

ขึ้นไปทำงานที่พารากอนค่ะ แต่ตอนเรียนหนังสือ ฝึกงานโรงแรมตลอดเลย เพราะแอนนี่เรียนการโรงแรม ต้องฝึกงานทุกปี สนุกมาก 

จริง ๆ ตั้งใจจะทำงานโรงแรมต่อเพราะเอนจอยมากเลย แต่ตอนที่เราฝึกงานปีสุดท้าย จริง ๆ เกือบทุกคนพอฝึกงานเสร็จก็จะทำงานโรงแรมต่อเลย แต่ตอนนั้นเมเนเจอร์เรียกแอนนี่ไปคุย เขาก็บอกว่าเพื่อนได้อยู่ Front แอนนี่ก็จะอยู่ Operation เพราะด้วยความที่เรามองไม่เห็น เมเนเจอร์พูดว่าคุณเป็นคนเก่งมากเลย แต่ถ้าคุณจะทำงานสายโรงแรมต่อแล้วคุณมองไม่เห็นแบบนี้ คุณก็จะอยู่แต่ในห้องแบบนี้ เพราะมันเป็นอุปสรรค เดี๋ยวเดินชนแขก แขกไม่ทราบนู่นนั่นนี่

วันที่เพื่อนคุณเลื่อนเป็น Assistant เลื่อนเป็น Supervisor แต่คุณมีข้อจำกัด คุณก็จะต้องนั่งรับโทรศัพท์อย่างงี้ คุณจะรู้สึกแย่กับตัวเองไหม แล้วเขาก็บอกว่าเสียดายความเก่งของเรา เขาก็บอกให้เราออกไปตามหา มันน่าจะมีงานไหนที่เหมาะกับความสามารถของเรา

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

เพราะอย่างนี้คุณเลยขึ้นกรุงเทพฯ

ขอแม่ขึ้นมา ไปเดินหางาน ย้ายหอ ขึ้นรถเมล์ไปหางาน ให้เพื่อนพาไป หางานในเว็บ ไปกรอกใบสมัครแต่ละที่ก็ลำบากมากเลย พกแว่นขยายไปกรอกใบสมัคร คนอื่นกรอก 10 นาทีเสร็จ ฉันทำไป 2 ชั่วโมง คนสมัครเขาก็ ทำไมนานมาก ทำยังไงก็ไม่ได้สักที คือทุกที่บอกว่าเราเก่งมาก แต่ห่วงว่าเราจะทำงานไม่ได้เพราะเรามองไม่เห็น แล้วก็จะจบด้วยการให้เรารับโทรศัพท์ Operator Reception วนอยู่ตรงนี้ เราบอก ไม่ เราไม่ได้อยากทำงานรับโทรศัพท์ ไม่งั้นเราไม่มาที่นี่ ไม่งั้นเราอยู่ที่ภูเก็ตดีกว่า

แล้วมาลงเอยที่สยามพารากอนได้ยังไง

แอนนี่ตัดสินใจโทรไปปรึกษาอาจารย์ที่วิทยาลัยราชสุดา ที่นี่มีคอร์สพิเศษสำหรับคนที่มองไม่เห็น ไปเรียนวิธีการ เช่น อักษรเบรลล์หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งแอนนี่เคยไปเรียนคอร์สเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นั่น อาจารย์บอกว่าหนูจะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่หนูต้องยอมรับก่อนว่าหนูเป็นคนพิการเนอะ ทำไมไม่เข้าระบบที่เข้าจัดหางานให้สำหรับผู้พิการล่ะ

เป็นจังหวะพอดีที่ตอนนั้นดารา พี่อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส มาร์ควอร์ท ทำเรื่องเกี่ยวกับช่วยหางานให้คนตาบอด อาจารย์บอกว่าเธอควรไปเป็นเคสให้เขา เพราะเธอเป็นคนมองไม่เห็นที่มีศักยภาพ

ปีนั้นเป็นปีที่พารากอนเปิด แล้วก็มีช็อป บริษัท ออเรนจ์ โทรศัพท์ออเรนจ์จะรีแบรนดิ้งเป็นทรู เขาก็เลยรับคนทำงานแนวแบรนดิ้ง แล้วเขาจะทำช็อปที่พารากอนตอนพารากอนเปิดพอดี เป็นช็อปไว้ประชาสัมพันธ์ว่าเราได้ปรับเปลี่ยนแบรนด์จากออเรนจ์เป็นทรู พี่อุ้มก็พาแอนนี่ไปเสนอในคอนเซปต์ช็อปนี้ แล้วผู้ใหญ่ก็ให้ผ่าน โดยผู้ใหญ่เป็นคนสัมภาษณ์แอนนี่เองเลยค่ะ

ผู้บริหารสัมภาษณ์ คือเขาไม่มีคำถามเรื่องเอกสารอะไรเลย เขาถามไอเดียเรา เขาโยนคำถามมาให้เราแล้วให้เราพูด พอพูดปั๊บเขาก็รับเราเลย เราก็เลยเป็นหนึ่งในแบรนดิ้งช็อปตอนนั้น แล้วก็นั่นล่ะ สยามพารากอนเปิดปีนั้นเลย เราก็เลยไปทำงานที่พารากอนค่ะ

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

ทำงานอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน

ทำงานได้สักครึ่งปีเอง แล้วก็ที่บอกว่ามองไม่เห็นขึ้นมากะทันหันก็เลยต้องกลับบ้าน แม่ไม่ให้อยู่ต่อ แม่บอกอันตรายเกินไป แล้วก็ต้องตกงาน กลับมาอยู่บ้าน มันเหมือนฟ้าถล่มเลยนะเพราะคนกำลังขึ้น เพราะว่าตอนทำงานที่พารากอนมันสนุกมากเลย ได้ต้อนรับสื่อทั้งไทยและต่างประเทศ เป็นเด็กที่เพิ่งจบแต่ได้รับมอบหมายให้สัมภาษณ์สื่อได้ คือแขกวีไอพีมา แอนนี่วิ่งต้อนรับได้ คือเขาให้เกียรติ ให้โอกาสเรา แล้วเขาเชื่อมั่นเรามาก เราสนุกมาก

แต่อยู่ดี ๆ วันหนึ่งเราต้องออก กลับมาบ้านแล้วต้องปรับตัวใหม่เลย เพราะพอสายตาเปลี่ยน เรางง แรก ๆ เดินไม่เป็นเลย เหมือนเมารถเมาเรือสักอย่าง มันเบลอ ก็ต้องฝึกตัวเองใหม่ มาอยู่แต่ในบ้าน

คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว

ชีวิตพลิกผันน่าดูเลย

มีปัญหาเรื่องความรักเรื่องครอบครัวด้วยนะคะ เพราะตอนที่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ก็มีแฟนทำงานที่เดียวกัน พอตาเราแย่ ตอนแรกเราก็ตกลงว่าแอนนี่จะต้องกลับบ้าน จะมาแต่งงานกันที่ภูเก็ต แล้วเขาจะย้ายมาดูแลเรา ระหว่างนั้นเราก็เตรียมเรื่องงานแต่งงาน

สุดท้าย ในช่วงของการดำเนินเรื่องการแต่งงานมันเริ่มไม่ลงรอยกันแล้ว ความคิดเห็นหรือเป้าหมายมันแตกต่างกัน เราก็เลยได้แค่แต่งงานแล้วเราก็แยกย้ายกันเลย 

แต่พอเราแยกย้ายกันแล้ว สิ่งที่มันตามมาคือแอนนี่มีน้อง เกิดขึ้นในปีเดียวกันเลยค่ะ

โอ้โห…

ทั้งตาเราแย่ลง เราตกงาน เราแต่งงาน เราเลิก แล้วเราก็มีลูก โดยที่เราเป็นซิงเกิลมัมแล้ว มันก็เลยหนักมาก ตอนนั้นอายุ 25 – 26 หนักเหมือนกัน 

พอเรามีลูก เราก็เลย โอเคงั้นเราก็หยุดความฝันเรื่องการทำงานต่าง ๆ แล้วก็ทุ่มเทเป็นแม่อย่างเดียวเลยเพราะว่าเราเลี้ยงลูกเอง ก็เลยเลี้ยงลูกอย่างเดียวอยู่ที่บ้าน เรารู้สึกว่าโอเค เราอาจจะไปไม่ถึงฝัน เราอาจจะไปแค่นี้ แต่ว่าเราปั้นลูกเราได้นี่ เราเลยทุ่มเทในการเลี้ยงลูก สอนลูก

แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง สาวภูเก็ตที่ตามองไม่เห็น แต่พากู่เจิงไปเล่นทุกที่ด้วยหัวใจ

แล้วตอนนั้นซิงเกิลมัมอย่างคุณหาเลี้ยงลูกอย่างไร

ก็เลี้ยงลูกมาอย่างเดียวเลยจนน้องไปโรงเรียน จนประถม เริ่มโต ความที่เราชอบทำงานเนอะ เราก็พยายามออกไปหาอะไรทำ เป็นจ๊อบ ไปรับงานออร์แกไนซ์ ทำ Schedule การแสดง เราดีลให้เขา แต่พอวันที่ไปทำงานจริง ๆ วันที่มีอีเวนต์จริง ๆ พอเรามองไม่เห็น เราจัดการปัญหาไม่ได้ เราไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราก็รู้สึกว่างานนี้มันก็ไม่ได้อีก ก็เลยเลิก 

ในเมื่อทำงานออร์แกไนซ์ก็ไม่ได้ คุณทำยังไงต่อ

ก็ไปทำนู่นทำนี่ ขายชาไข่มุก ทำเอง ต้มเอง ไปขายเอง ไปขายกาแฟ ไปทำงานในคาเฟ่

พอดีน้องชายคนกลางเขาเปิดบาร์กลางคืนแล้วร้านกลางวันมันว่างค่ะ ก็เลยขอเขาเปิดคาเฟ่ช่วงกลางวัน ทำกาแฟ ก็กำลังทำเพลิน ๆ สนุกอยู่ ตอนหลังมีลูกค้าผู้ชายที่เขามาบ่อย ๆ มีวันหนึ่งที่เขามาตอนเช้าที่เด็กเรายังไม่มา แล้วเขามาบ่อยจนเขารู้ว่าตามองไม่เห็นค่ะ เขาเข้ามาหาเราในเคาน์เตอร์บาร์…

โชคดีมากเลย! แม่มาหา แม่ขี่มอเตอร์ไซค์มาธนาคาร แล้วแม่ก็เลยแวะมาดู เปิดประตูเข้ามา เป็นจังหวะที่เขากำลังเดินเข้ามาหาเราในบาร์ แล้วพอแม่เข้ามาแม่ก็บอก ทำอะไร! เขาก็เลยกระโดดข้ามบาร์แล้วหนีไปเลย แม่สั่งว่าปิดร้าน ไม่ต้องขายอีกแล้ว เราก็เลยแบบ อ้าว! ฉันไม่ได้ทำงานสิ เศร้า

มือกู่เจิงฝึกหัด

คุณชอบทำงาน แล้วกู่เจิงที่คุณเล่นล่ะ มันมีที่มาอย่างไร

เออลืมบอกเรื่องกู่เจิงว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แอนนี่เป็นนักดนตรีไทยของมหาวิทยาลัย ป่าป๊าเนี่ยเห็นว่าเราเล่นจะเข้ แล้วป๊าไปเที่ยวเมืองจีน เห็นคนจีนดีดกู่เจิง ป๊าก็มองว่ามันยาว ๆ เหมือนกัน เครื่องอะไรไม่รู้เสียงเพราะมาก ป๊าก็เลยซื้อกลับมาเป็นของฝากค่ะ ของฝากชิ้นใหญ่มาก พอเอากลับมา ป๊าบอกว่า มันดูคล้าย ๆ จะเข้นะ เธอน่าจะหัดได้ พอเราเอามือจับ โอ้โห! 21 สายเล่นยังไง มองไม่เห็นเนี่ย 

เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเครื่องกู่เจิง จนกระทั่งเราเปิดข่าวในพระราชสำนักแล้วเราเห็น เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเล่น เราถึง อ๋อ นี่มันคือกู่เจิง มันคือพิณจีนที่เราฝันใฝ่ตั้งแต่เด็ก มันเป็นเครื่องในความฝันนะ แล้วเราก็เลยนึกถึงนี่แหละ ฉันจะต้องเล่นเพลง พระจันทร์แทนใจ

ชีวิตที่บรรเลงด้วยเพลงจีนของ แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง ผู้พิการทางสายตาที่ส่งต่อความสุขและพลังบวกผ่านเสียงดนตรี

มาหัดตอนที่คุณแม่ของคุณสั่งปิดร้านแล้วหรือ

เปล่าค่ะ เป็นตอนที่อยู่ปี 4 เรียนจบแล้วบอกว่าไปอยู่กรุงเทพฯ ก็ขนเครื่องกู่เจิงขึ้นไปกรุงเทพฯ ด้วย ช่วงหางานไม่ได้ วันว่างก็ไปเรียนกู่เจิง ไปหาที่เรียนกู่เจิง

แล้วตอนทำงานที่พารากอนมันมีโรงเรียนสอนกู่เจิงอยู่ข้างบนพอดี แต่ละอาทิตย์จะขึ้นไปเรียนกู่เจิง 1 ครั้ง เก็บเงินจากการทำงานไปเรียน แต่บอกเลยว่าเรียนยากมาก เพราะว่าเราเรียนแบบคนตาดีไม่ได้ แล้วครูก็ไม่รู้จะสอนเรายังไง เปลี่ยนครูอยู่หลายรอบ หลายท่าน จนพอเริ่มได้ครูที่เข้าที่ ตาก็แย่ลงอีก พอตาแย่ลงก็ต้องขนทุกอย่างกลับภูเก็ต ไม่มีครูสอนแล้ว

แอนนี่ก็เลยทิ้งกู่เจิงไปเลย 10 ปี เลี้ยงลูก จนขากู่เจิงโดนปลวกกิน แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะไม่คิดว่าจะเล่นเขาแล้ว

แล้วทำไมถึงกลับมาเล่นเขาอีก

ตอนที่แอนบอกว่าเริ่มหางานที่ไปทำงานคาเฟ่ ตอนนั้นเหงา ๆ อยู่บ้าน มันเป็นจังหวะ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโทรมาว่า ฉันจำได้ว่าแกมีกู่เจิงใช่ไหม ตอนนี้ที่สนามบินภูเก็ตเขาอยากจัดงานตรุษจีน เขาหาคนเล่นกู่เจิง เราบอกอาจารย์ 10 ปีแล้วหนูไม่จับ หนูจะเล่นได้ไงเล่า หนูก็ยังเล่นไม่ค่อยเป็นเลย แกก็เลยบอก ไม่เป็นไรหรอก แกตกงานอยู่ไม่ใช่เหรอ เขามีชุดจีนให้ใส่ ใส่ชุดแต่งตัวสวย ๆ ไปนั่งกรีดไปกรีดมาถ่ายรูป ได้ตังค์ เราก็เลยไปค่ะ เราอยากได้ตังค์

กลายเป็นว่าวันนั้นที่เราไป เสียงตอบรับดีมาก คนขอถ่ายรูปแอนนี่เยอะมาก แล้วทุกคนก็บอกว่า เธอเหมาะกับกู่เจิงมากเลย พอเธอนั่งที่กู่เจิงแล้วมันใช่ เหมือนเธอออกมาจากในหนังจีน เธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แล้วออร์แกไนซ์ก็เลยพูดกับเราว่า พี่ ทำไมพี่ไม่หัดล่ะ มันเป็นอาชีพได้นะพี่ มันเป็นงานได้นะ มันเลยปิ๊งว่าเออ เราก็ไม่มีงานทำอยู่พอดี

ชีวิตที่บรรเลงด้วยเพลงจีนของ แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง ผู้พิการทางสายตาที่ส่งต่อความสุขและพลังบวกผ่านเสียงดนตรี

คุณก็เลยหัดเล่นกู่เจิงอย่างจริงจัง?

แรก ๆ ก็เปิดยูทูบ พยายามรื้อฟื้น แล้วก็เป็นโชคชะตามากค่ะ เพื่อนสมัยเรียนมหาลัยโทรมาหาเราว่าเธอมีกู่เจิงที่บ้านใช่ไหม เขาเห็นภาพเราไปรับงานนะ ตัวเขาเรียนกู่เจิงมาระดับสูงพอสมควรในกรุงเทพฯ ทีนี้เขาต้องย้ายกลับมาภูเก็ต ต้องไปสอบกู่เจิง แต่ยังไม่ได้เอาเครื่องกู่เจิงกลับมา ขอยืมเล่นเครื่องที่บ้านเราได้ไหม เดี๋ยวจะแลกด้วยการสอนให้เรา

เขาก็เลยมาที่บ้านค่ะ มาสอนให้เราอยู่สัก 5 ครั้ง แล้วพอมีเครื่องเขาก็ไป เขาไม่มาแล้ว แล้วยังไงล่ะ ฉันกำลังเริ่มติดลม กำลังมีไอเดียว่ามันเป็นอาชีพได้ แต่ว่ามันจุดไฟให้เราแล้วไง คือจังหวะ โอกาส ทุกอย่างมันเป็นเหมือนดวงจริง ๆ ค่ะ

แอนนี่เริ่มเปิดยูทูบแล้วก็ช่างมัน ไม่ต้องนึกว่ามันเป็นยังไง แกะมันเองเลย เพลงที่เราชอบทั้งหลายเราก็รื้อขึ้นมา เราก็แกะไปแกะมา เราคิดว่าเราอยากลองทำงาน เพราะว่าเนี่ย พอแกะได้ 1 เพลงจดไว้เลยว่า พอครบ 10 เพลงแล้วฉันรับอีเวนต์ได้แน่เลย ก็ส่งอีเมลหาทุกโรงแรมในภูเก็ตที่เรานึกได้ ดีที่เราเรียนการโรงแรมมา เราเข้าใจการดีลงาน โทรหา Personnel โทรติดต่อทุกที่ ทุกคน เราได้เสียงตอบกลับมาว่า ทำไมไม่ไปเล่นที่ภัตตาคารจีนล่ะ

ทุกโรงแรมพูดอย่างนั้นหมดเลยหรือ

ใช่ เกือบทุกโรงแรมเลย ถ้าตอบนะ ไม่ก็ Ignore หรือไม่ก็ พอดีเราไม่มีห้องอาหารจีน 

ที่สุดท้ายที่เราตั้งใจไปเล่นคือโรงพยาบาลค่ะ เพราะรู้สึกว่าเสียงมันมีความสุข ในระหว่างที่เราแกะไป เรามีความสุขมาก เรารู้ว่าเสียงมันคลายเครียดได้จริง เราเป็นคนที่อยู่บ้านแล้วเราเหงา เราเครียด เรามีความทุกข์ แต่เราเอนจอยมันมากเลย เรารู้สึกว่าคนฟังต้องมีความสุข 

เราโทรหาโรงพยาบาล แล้วโรงพยาบาลนี่แหละพูดกับเราแบบนี้ น้อง ทำไมน้องไม่ไปสมัครร้านอาหารจีน วันนั้นเราเลยคิดว่าสักวันหนึ่งนะ เราจะต้องเอากู่เจิงไปเล่นได้ทุกอีเวนต์

ชีวิตที่บรรเลงด้วยเพลงจีนของ แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง ผู้พิการทางสายตาที่ส่งต่อความสุขและพลังบวกผ่านเสียงดนตรี

คุณมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้กู่เจิงเล่นได้ทุกอีเวนต์ตามเป้าหมาย

ค่อย ๆ ถีบตัวเองออกนอกกรอบ ค่อย ๆ แกะเพลงไทย ค่อย ๆ ทำให้มันหลากหลายในความสามารถของเราตอนนั้นที่เราพอจะทำได้ แล้วพอดีจังหวะมันมาค่ะ คือมีงานย้อนอดีตในภูเก็ตที่เขาปิดถนนในเมืองเก่า แอนนี่ก็ขนกู่เจิงไปเล่นโชว์ แต่ว่าเราไม่ได้บอกใครนะว่าเรามองไม่เห็น เพราะเราอยากเช็กเรตติ้งว่าคนชอบที่เพลงเราจริงหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้อยากขายความพิการ

เราคิดแล้วว่าตอนเราสมัครงานที่เราไล่สมัครงานทุกโรงแรม เราเขียนโฆษณาไปสุดฤทธิ์เลยว่าเราเป็นคนพิการนะ ถ้าจ้างฉันเป็นพนักงานประจำ คุณนำไปลดหย่อนภาษีได้นะ เขายังไม่จ้างเราเลย ก็เลยรู้สึกว่าเราจะขายได้ก็ต่อเมื่อเราเก่งพอ เราเชื่อว่าวันหนึ่งกู่เจิงมันจะเป็นงานของเราได้ แล้วก็มันจะไม่ใช่แค่วันตรุษจีน ภัตตาคารจีน เราคิดแบบนี้ เราเชื่อมั่น เราก็พยายามทำ

พอเราไปเล่นที่เมืองเก่าวันนั้น คนในเมืองเก่าเขาก็เลยเห็นเรา เหมือน Grand Opening อีกครั้งหนึ่งว่า เห้ย มีเด็กเล่นเครื่องแบบนี้ในเมืองเก่า พอดีตอนนั้น พ.ศ. 2559 เริ่มทำการท่องเที่ยวชุมชนโดยคนในชุมชน ประธานกับรองประธานกรรมการการท่องเที่ยวชุมชนย่านเมืองเก่าภูเก็ต ก็เลยมาเชิญแอนนี่ไปคุยว่าเราฟื้นฟูวัฒนธรรมของเรา อยากเชิญน้องมาเล่นกู่เจิงต้อนรับแขก เราก็บอกว่า แต่หนูมองไม่เห็นนะคะ เขาก็ตกใจนิดหนึ่ง แต่ตอนหลังก็บอกว่า ดีมากเลย มันจะได้ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คน แล้วก็จะได้เป็นตัวอย่างว่าคนพิการในชุมชนเราก็ทำประโยชน์ได้ เขาก็ให้โอกาสค่ะ

นางฟ้ากู่เจิง

ตอนนั้นใช่ไหมที่คุณกลายเป็น ‘นางฟ้ากู่เจิง’

ค่ะ ตอนเดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 มีนักข่าวภูเก็ตไทม์มาเก็บภาพด้วย ชื่อ พี่กี้ เขาเห็นภาพแอนนี่วันนั้น เขาก็เลยเรียกแอนนี่คุยเลยว่า น้อง แวบแรกที่พี่เห็นน้องน่ะ น้องเหมือนนางฟ้าในหนังจีนเลย

น้องต้องมีคาแรกเตอร์นะ น้องต้องเป็นนางฟ้า ต้องใส่ชุดนางฟ้าเหมือนในหนังจีนมาเล่น แล้วเราก็คิดว่าใส่อย่างงั้นบ้าตาย อายคนตาย แล้วใครจะไปกล้าเรียกตัวเองว่านางฟ้า บ้าเหรอ! เราก็ปฏิเสธว่าไม่เอาค่ะ หนูอายเขา เดี๋ยวเขาจะว่าหนู เขาก็บอก ไม่ น้องต้องมีคาแรกเตอร์

หลังจากนั้นวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 พี่กี้มาที่บ้านพร้อมชุดจีนนางฟ้า ไปยืมคาบาเรต์มา พี่จะถ่ายน้องลงหนังสือเดือนแรกของปี ภูเก็ตไทม์ แล้วก็พาเราไปศาลเจ้า สะพานหินภูเก็ต แล้วเราฝันอยู่นานว่าเราอยากมาเล่นพิณจีนที่นี่ แต่เราไม่เคยคิดจะขออนุญาต เขาพาเราไปแล้วให้เราใส่ชุดแบบนั้น เหมือนที่เราฝันไว้ในตอนเด็กค่ะ ก็ถ่ายรูปเรา รูปนั้นเป็นรูปแรก ขึ้นหนังสือพิมพ์ ภูเก็ตไทม์ แล้วเขียนพาดหัวว่า ‘นางฟ้ากู่เจิง’

ชีวิตที่บรรเลงด้วยเพลงจีนของ แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง ผู้พิการทางสายตาที่ส่งต่อความสุขและพลังบวกผ่านเสียงดนตรี

ที่แท้พี่กี้แห่งภูเก็ตไทม์ก็คือคนตั้งฉายานี้ให้

ใช่ แล้วเขาก็พูดตลอดเลย ต่อไปน้องต้องใส่ชุดแบบนี้เล่นแล้วทุกคนจะจำน้อง แล้วเชื่อพี่ไหม ทุกคนจะเรียกน้องเป็นนางฟ้า ตอนนั้นยังไม่เชื่อเลยนะ ใครจะเรียกตัวเองนางฟ้า อายคนตาย

หลังจากนั้นแอนนี่ก็ไม่ได้หยุดนิ่งอีกเลย รายการทีวีมาทุกปีทุกช่อง รายการท่องเที่ยวก็เยอะ เพราะการท่องเที่ยวชุมชนก็อู้ฟู่ ตอนนี้เมืองเก่าภูเก็ตดังมาก ทุกอย่างมันขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แล้วรายการที่ชวนเราไปออกแนว Talent Show ก็มา ส่วนที่ติดต่อเราเองก็เยอะ ส่วนการท่องเที่ยวก็เยอะ เราก็เลยออกทีวีเยอะมาก คนรู้จักเราเยอะขึ้น จากวันที่เราของานโรงแรมไม่มีใครให้เรา ทุกวันนี้เขาต้องโทรมาขอคิวเรา

ถึงกับต้องโทรมาขอคิวเลย

ใช่ มันเปลี่ยน เขาต้องโทรมา คุณแอนนี่วันนี้มีคิวว่างไหมคะ เขาจะมาถามเรา อีกอย่างก็คือแอนนี่ไม่ได้เล่นเฉพาะภัตตาคารจีนแล้ว แอนนี่แทบไม่มีงานภัตตาคารจีนเลยค่ะ

เห็นคุณหิ้วกู่เจิงไปเล่นหลายที่

เป็นกู่เจิงที่หลากหลายมาก แอนนี่หิ้วไปงานฝรั่ง หิ้วไปเล่นบนเรือ แล้วบางงานไม่มีคนจีนเลย เพราะว่าเราอยากให้กู่เจิงเป็นดนตรีที่สร้างความสุขให้คน มันไม่ใช่ดนตรีที่อยู่แค่บนเวทีงานจีน งานตรุษจีน หรือเล่นในภัตตาคารจีน เพราะมันทำความสุขให้คนได้จริง ๆ

แล้วเพลงที่เราเล่นมันหลากหลายมากตอนนี้ เพลงสากล เหมือนทุกวันนี้แอนนี่เล่นประจำที่โรงแรม ทุกวันศุกร์กับวันอาทิตย์ ไม่ได้เล่นเพลงจีนเลย แล้วไม่ได้ใส่ชุดจีนด้วย เล่นเพลงสากลล้วน ๆ 2 เบรก แล้วก็เล่นริมทะเล ชิลล์มาก ทุกคนก็แฮปปี้ มีความสุข แล้วมันสร้างแรงบันดาลใจให้คน

เราพยายามพามันไปกับเรา คือจริง ๆ กู่เจิงพาเราไปมากกว่า จากที่เราอยู่แต่บ้าน ทุกวันนี้ก็คือ On Tour ช่วงก่อนหน้าโควิดคือทุกเดือนเลยที่จะต้องเดินทาง ไปโชว์ที่นั่นที่นี่ แล้วมันสนุกมากเลยค่ะ มันคิดไม่ถึงว่าเครื่องดนตรีเครื่องหนึ่งพาเราไปไกลขนาดนี้ พาเราไปยืนในจุดที่มันเกินความฝันมาก ขึ้นไปบนเวทีที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศูนย์วัฒนธรรมฯ หรือว่าที่โรงละคร เราไม่ได้เป็นนักดนตรี ไม่ได้คิดเลยว่าเราเป็นนักดนตรีที่เก่ง เราไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เราไม่รู้ทฤษฎีดนตรีเลย เราเล่นกู่เจิงแบบผิด ๆ ทั้งหมด 

อันนี้บอกเลยว่าแอนนี่เล่นแบบผิด ๆ ผิดทุกขั้นตอน ผิดตั้งแต่ไม่ติดเล็บ ผิดตั้งแต่การวางมือ อ่านโน้ตก็ไม่เป็น เทคนิคกู่เจิงก็ไม่รู้ เพราะเราไม่ได้เรียนอย่างถูกต้องเลย แล้วเราก็ไม่ได้ทำตามที่ครูสอนเลย เราทำตามใจเรา เราแกะเพลงตามใจเรา แต่เราขึ้นไปยืนอยู่บนที่ที่มันทรงเกียรติมากเลย สำหรับนักดนตรีหรือนักแสดงคนหนึ่ง มันเป็นชีวิตที่ความฝันเป็นจริง

ชีวิตที่บรรเลงด้วยเพลงจีนของ แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง ผู้พิการทางสายตาที่ส่งต่อความสุขและพลังบวกผ่านเสียงดนตรี

นอกจากเป็นอาชีพและผ่อนคลาย กู่เจิงยังให้อะไรกับคุณอีก

มันให้กำลังใจตัวเรามาก มันให้พลังกับเรา คือจริง ๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้วที่แอนนี่บอกว่าแอนนี่ขนกู่เจิงเครื่องนั้นกลับมา แอนนี่เรียกเขาว่า ‘อาม่า’ เพราะเขาแก่มากแล้ว เขาสู้กับแอนนี่มาก เขาถูกแอนนี่ทิ้ง วันที่แอนนี่ได้รับอีเวนต์ครั้งแรกที่สนามบินที่แอนนี่บอก วันนั้นเอาออกมาข้างนอกถึงรู้ว่าปลวกกินขาอาม่าเป็นรูใหญ่เลย เกือบหักกลางงาน แต่เราไม่เห็น เราไปเห็นตอนออกงานแล้ว เราก็ลุ้นมาก มันจะพังลงไหมเนี่ย แต่เขาก็สู้กับเรา

ถ้าเราคิดแบบ 10 ปีที่แล้วว่า ไม่มีครูสอนแล้ว ฉันคงเล่นไม่ได้ แล้วตาฉันก็แย่ลงขนาดนี้ ยากเกินไป เลิกในวันนั้นก็ไม่มีแอนนี่วันนี้เลยนะคะ

พอดังแล้ว คุณใช้ชีวิตอย่างไร

ตอนนี้แอนนี่ก็ยังแกะเพลงเรื่อย ๆ วันที่มีโควิดเราไม่มีอีเวนต์เลย เราลุกมาหัดไลฟ์สดเอง ตอนแรก ๆ ก็จะไลฟ์ยังไง ดูจอก็ไม่เห็น มันจะเบี้ยวไหม จะอ่านข้อความยังไง คนฟังจะรำคาญเสียงอ่านไหม คิดไปหมด แต่สุดท้ายทำมันไปก่อนแล้วเราก็ค่อยปรับ ทุกวันนี้ก็ไลฟ์เกือบทุกคืน ไลฟ์ที่ช่อง TikTok ก็มีแฟนคลับ มันเลยเปิดโลกเราว่าพอมีโควิด แอนนี่ทำเพจเอง อัปยูทูบเอง ทำ TikTok เอง ทำอินสตาแกรมเอง 

ช่วงโควิด แอนนี่เล่นคลับเฮาส์ ได้แฟนคลับต่างชาติมาเยอะมาก เขาโอนทิปมาให้เราใน PayPal จนรวมเงินซื้อกู่เจิงเครื่องเล็กไว้ทำงานเป็นของขวัญวันเกิด บอกทุกคนว่า เราอยากให้เงินของทุกคนมันเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นการร่วมบุญกับเรา สิ่งที่ดีที่สุดในการให้คนคือการให้อาชีพ แอนนี่ก็บอกว่าเงินทิปทั้งหมดจะรวมไปซื้อกู่เจิงไซซ์มินิ ตัวเล็กที่สุดที่เบาและดีที่สุดในช็อปที่เมืองจีนมาใช้ เพื่อใช้ทำงาน ทุกครั้งที่แอนนี่ออกไปทำงาน เหมือนทุกคนต่อบุญ แล้วเป็นพลังให้เรา เงินนี้ไม่ได้หายไปไหน ทุกคนก็ได้เห็นน้องกู่เจิงไปอีเวนต์กับแอนนี่ ทุกคนก็ยัง DM มาว่าภูมิใจ

อีกสิ่งหนึ่งที่เราฝึกตอนโควิด คือฝึกใช้แอปพลิเคชัน เราฝึกใช้นู่นนี่ แล้วก็เพิ่มศักยภาพของเรา แฟนคลับในคลับเฮาส์ส่วนมากจะเป็นต่างชาติ พอเล่นเพลงไทย เพลงจีน เขาก็ไม่อิน ต้องกระโดดข้ามกรอบตัวเองว่าฉันต้องแกะเพลงสากลแล้ว แล้วโจทย์มันก็ยากมากเลย ขอเพลงดิสนีย์งี้ แล้วสุดท้ายเราก็สำเร็จค่ะ แกะเพลง Part of Your World เล่นได้ โอย… ฉันรักกู่เจิงมาก มีความสุขกับมันมากเลยค่ะ

กว่าผู้พิการทางสายตาอย่างคุณจะประสบความสำเร็จอย่างนี้ได้ อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด

พลังบวก ความคิดบวกมีผลกับชีวิตเรามาก ๆ เวลาเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับเรา มันไม่ได้สำคัญที่เหตุการณ์นั้นนะ มันสำคัญว่าเรามองเหตุการณ์นั้นแบบไหน บางเรื่องเป็นเรื่องเล็กที่เกิดขึ้นกับเรา พอเรามองมันลบปั๊บ เรื่องนั้นหนักมากสำหรับเราเลย แต่พอเรามองมันเบาหรือมองมันแบบบวก เรื่องนั้นเป็นแค่ปัญหาเล็ก ๆ เรื่องหนึ่งในชีวิต

ทุกเรื่องมีทั้งเรื่องดีแล้วก็เรื่องไม่ดี เวลาเกิดเรื่องอะไรก็ตาม มันมีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีอยู่ในตัวเอง มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความทุกข์อยู่แล้วค่ะ ตั้งแต่เราเกิดมา เรารู้เลยว่าเราจะต้องเจ็บ เรารู้ว่าเราจะต้องตาย ฉะนั้น เรามีหน้าที่อย่างเดียวค่ะ พาตัวเราไปหาความสุข ความทุกข์มันอยู่กับเราอยู่แล้ว แต่ความสุขเราพาตัวเราไปหามัน อันนี้เราเลือกได้ ถ้าเรานั่งอยู่เฉย ๆ เราก็อยู่กับความทุกข์ เท่านั้นเอง

ชีวิตที่บรรเลงด้วยเพลงจีนของ แอนนี่ นางฟ้ากู่เจิง ผู้พิการทางสายตาที่ส่งต่อความสุขและพลังบวกผ่านเสียงดนตรี

ขอขอบคุณสถานที่ : ศาลเจ้าแม่ย่านางเรือ (ศาลเจ้าซัมส้านเที่ยนเฮวกึ๋ง)

Writer

พัทธดนย์ กิจชัยนุกูล

พัทธดนย์ กิจชัยนุกูล

ชอบอ่านเขียนตั้งแต่จำความได้ สนใจวิชาสังคมศึกษาตั้งแต่จบอนุบาล ใฝ่รู้ประวัติศาสตร์ตั้งแต่อยู่ประถม หัดแต่งนวนิยายตั้งแต่เรียนมัธยม เขียนงานสารพัดด้วยนามปากกา “แพทริก เหล่า” ตั้งแต่เข้ามหา’ลัย

Photographer

Avatar

ทยาวีร์ สุพันธ์

ช่างภาพอิสระ บ้านอยู่ภูเก็ต หลงรักการดื่มกาแฟ ขับรถเที่ยว ชมธรรมชาติ การถ่ายรูปทะเลและผู้คน ชอบดนตรี ตีกลองเป็นงานอดิเรก