ยามากาตะ…อะไรนะครับ?

ประโยคแรกที่ผมพูดออกไปหลังจากที่ได้รับฟังข้อความจากคู่สนทนาจบประโยค

เป็นประโยคที่ดูหยาบคายและนิสัยไม่ดีมากๆ เพราะคู่สนทนาที่ปลายสายคือรัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ที่จะเชิญให้เราไปร่วมทริปโปรโมตการท่องเที่ยวจังหวัดของยามากาตะ ซึ่งเป็นเมืองที่ชื่อไม่คุ้นหูเลยจริงๆ อย่าว่าแต่จะรู้เลยว่าเมืองนั้นมีอะไรน่าสนใจหรือน่าไปเที่ยวบ้าง แค่ยามากาตะนั้นอยู่ตรงไหนของประเทศญี่ปุ่นผมก็แสนจะอับจนปัญญาแล้วล่ะครับ  

ซึ่งด้วยอากาศของกรุงเทพฯ ช่วงนั้นที่ร้อนตับแตก (ซึ่งจริงๆ ก็ร้อนมันทุกช่วงตลอดปีอยู่แล้ว) พอได้รู้ว่าช่วงเวลาเดินทางของทริปนี้จะไปในช่วงปลายเดือนมีนาคมก็ถือว่าน่าสนใจมากๆ ช่วงนั้นอากาศคงเย็นกำลังดี ถ้าโชคดีพอก็อาจจะได้เห็นดอกซากุระบานมุ้งมิ้งๆ ผมก็เลยตกปากรับคำเชิญไปอย่างดิบดี ทั้งที่ไม่ได้รู้จักหรือรู้อะไรเกี่ยวกับเมืองชื่อนี้เลยก็ตาม

ก่อนจะมาเสิร์ชดูว่าเมืองยามากาตะนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง ภาพแรกที่โผล่ขึ้นมาหลังจากพิมพ์ค้นหาในกูเกิล คือ หิมะ…

Yamagata

ภาพของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ยอดเขา หมู่บ้านหน้าตาวินเทจ ลานสกี ป่าสน แม่น้ำลำคลอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่ามานั้นถูกหิมะปกคลุมไว้ซะขาวจั๊วะไปซะทั้งหมด

ทีแรกผมก็คิดไปเองว่าเมืองนี้คงจะมีจุดเด่นของการท่องเที่ยวเป็นช่วงฤดูหนาว แต่ช่วงเวลาที่เราจะไปนั้นมันคือปลายเดือนมีนาคม ซึ่งมันก็ควรจะหมดหนาวแล้วเตรียมดูดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิกันสิ ด้วยลางสังหรณ์หรืออะไรบางอย่างทำให้ผมเกิดความคิดว่าทริปนี้ตัวเองไม่น่าจะได้ไปเดินดูซากุระ แต่น่าจะได้ไปเป็นเอลซ่า วิ่งร้อง Let it go, let it go อยู่กลางทุ่งหิมะมากกว่า ซึ่งพอลองหาข้อมูลเรื่องภูมิอากาศของเมืองยามากาตะดู ก็พบว่าช่วงที่ไปก็ยังเป็นช่วงเวลาที่หิมะตกอยู่จริงๆด้วย…

ภาพในหัวตอนนั้นคือเหมือนมีใครมาขยี้เอาดอกซากุระที่อยู่ตรงหน้าหายไปทั้งหมด (ฮืออออ) สิ่งที่อยู่ในหัวผมตอนนั้นก็คือคำถามว่าถ้าเมืองมีแต่หิมะ แล้วเราจะไปเที่ยวอะไรได้กัน? เออ นั่นสิ เขาจะชวนเราไปทำอะไรกันวะ แม้จะอ่านตัวกำหนดการแล้วก็ตาม แต่ถ้าหิมะตกลงมาเยอะๆ แล้วมันจะยังเที่ยวได้ตามที่เขียนไว้อีกเหรอ

หลังจากประคองสติกลับมาก็เลยได้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดู ซึ่งก็พบว่ายามากาตะเป็นเมืองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ในยุคหลายพันปีก่อนพื้นที่ของเมืองนี้ก็เป็นภูเขาไฟเหมือนจุดอื่นๆ ในประเทศ แต่เกิดระเบิดจนทำให้โครงสร้างของภูเขา Dewasan นั้นยุบตัวลงไป เกิดเป็นช่องที่รับลมและความชื้นจากทะเล เมื่อความชื้นมาเจออากาศหนาวเย็นของแถบนี้ก็เลยเกิดเป็นหิมะจำนวนมหาศาลตกที่จังหวัดนี้ มหาศาลมากซะจนมีดีกรีเป็นเมืองที่มีหิมะตกเยอะเป็นอันดับหนึ่งเอเชียเลยทีเดียว ช่วงระยะเวลาการตกก็ยาวนานกว่าที่อื่น คือเริ่มตกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนยาวไปจนถึงเดือนเมษายนกันเลย ตกเยอะตกนานจนทำให้พื้นที่ลานสกีของที่นี่มีหิมะให้เล่นสกีกันได้จนถึงหน้าร้อนของปี (เดือนกรกฎาคม) อีกด้วย

Yamagata

แล้วด้วยความที่เป็นเมืองที่หิมะตกเยอะ พอเข้าหน้าร้อนน้ำที่ละลายจากหิมะนั้นก็จะไหลไปตามแม่น้ำและลำธารต่างๆ คนยามากาตะเชื่อกันว่าน้ำที่ละลายจากหิมะนั้นเป็นน้ำที่บริสุทธิ์และมีรสชาติที่พิเศษกว่าที่อื่น และนั่นทำให้ข้าวที่ปลูกในจังหวัดนี้อร่อยกว่าที่อื่น รวมไปจนถึงสาเกซึ่งก็ทำจากข้าวในท้องถิ่นด้วยเช่นกัน

และอย่างสุดท้ายที่โด่งดังมากของที่นี่ก็คือออนเซ็น เพราะมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่หลายที่ และแร่ธาตุในน้ำพุร้อนนั้นก็ไม่ค่อยเหมือนที่อื่นอีกด้วย ผมนึกภาพไปถึงการได้แช่ออนเซ็นแบบเปิดโล่งเห็นวิวหิมะ อาห์ มันช่างเป็นความฝันของคนที่อาศัยอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตรอย่างเราซะจริงๆ

ตัดภาพมาถึงวันที่เดินทาง ผมได้แต่นั่งภาวนาขอให้หิมะนั้นไม่ตกด้วยเถอะ เผื่อจะได้ทำอะไรบ้าง แล้วถ้าหิมะตกจริงๆ ก็ขอให้เสื้อกันหนาวบางๆ ที่เตรียมมานั้นสามารถรับมือกับความหนาวและมวลมหาหิมะที่ยามากาตะได้ด้วยเถิด

หลังจากผ่านพิธีการทางสนามบิน เราก็มาเจอกับเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลเราตรงจุดนัดหมาย นั่นคือสถานีอูเอโนะ พร้อมกับผู้ร่วมทริปจากประเทศอื่นๆ ทั้งไต้หวัน จีน ฮ่องกง และเกาหลี เพื่อจะขึ้นรถไฟชินคันเซ็นไปยังเมืองยามากาตะกัน

รถไฟ รถไฟ Toreiyu

ด้วยความที่ปลายทางเป็นถึงเมืองแห่งออนเซ็น รถไฟที่จะพาเราไปก็เลยไม่ใช่รถไฟชินกันเซ็นธรรมดา แต่เป็นรถไฟออนเซ็น!! (ออกเสียงแบบทีวีแชมเปี้ยนไปด้วยจะได้อรรถรสมาก) นี่คือรถไฟ Toreiyu ของ JR-EAST ที่น่าจะเป็นขบวนเดียวของโลกที่เป็นรถไฟออนเซ็น แต่ถึงจะบอกว่าเป็นรถไฟออนเซ็นแต่ก็ไม่ได้ให้แช่ลงไปทั้งตัวหรอก แค่เอาไว้สำหรับแช่เท้าเท่านั้นเอง และนอกจากจะมีออนเซ็นแล้ว ยังมีบาร์สาเกของยามากาตะขายบนรถไฟอีกด้วย รวมไปถึงการตกแต่งที่ใช้ไม้สีอ่อนๆ เป็นหลักในทุกๆ จุดของขบวนมันทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองมากๆ

พอถึงคิวที่ได้ลงไปแช่น้ำ ผมก็ไม่พลาดซื้อสาเกแก้วหนึ่งติดไปด้วย การได้เอาเท้าแช่ไปในน้ำอุ่นๆ จิบสาเก พร้อมกับชมวิวหนาวๆ จากหน้าต่างด้านหน้าแค่นี้ก็ทำให้รู้สึกฟินได้ง่ายๆ เลยล่ะครับ

รถไฟ Toreiyu รถไฟออนเซ็น รถไฟออนเซ็น

พอรถวิ่งออกห่างจากโตเกียวขึ้นเหนือไปเท่าไหร่วิวด้านข้างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเริ่มมองเห็นสีขาวอยู่รอบๆ ตัวก็เป็นสัญญาณว่าเราใกล้มาถึงจุดหมายแล้ว รถไฟออนเซ็นของเราวิ่งผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าที่ถูกย้อมด้วยสีขาวโพลนไปหมดทั้งลูก จนในที่สุดก็จอดที่สถานียามากาตะ หลังจากที่เราลงจากรถไฟมาทีมการท่องเที่ยวฯ ก็เรียกให้เราขึ้นรถบัสเดินทางต่อทันที สภาพอากาศนั้นถือว่าเลวร้ายลงไปอีก เพราะจากที่เราเห็นเมฆครึ้มๆ นั้นพอลงจากรถไฟมันก็กลายมาเป็นหิมะปรอยลงมาอย่างไม่เกรงใจหรือสงสารกิจกรรมกลางแจ้งของบ่ายวันนั้นเลยแม้แต่น้อย เรากำลังมุ่งหน้าไปยัง Gassan Shizu Onsen เพื่อไปเดินเขาหิมะ หรือ Snow Trekking นั่นเอง

ผมอ่านกำหนดการอยู่หลายรอบ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าไอ้ Snow Trekking มันคืออะไร แล้วรองเท้าผ้าใบที่ใส่มามันจะรอดรึเปล่า เท้าจะเปื่อยมั้ย แล้วคนเราจะไปเดินอยู่บนหิมะนุ่มนิ่มกรุบกรอบแบบนั้นได้ยังไง จนกระทั่งรถบัสที่นั่งได้มาจอดอยู่ด้านหน้าอาคารใหญ่หลังหนึ่งท่ามกลางความเวิ้งว้างของหิมะอันไกลโพ้น

ยามากาตะ Snow Trekking

Snow Trekking

พอเราเดินเข้าไปในตัวอาคาร ห้องแรกสุดที่เจอมันคือห้องเก็บอุปกรณ์สำหรับใช้เดิน ความสงสัยที่พกมาตลอดนั้นกระจ่างในทันที ตัวอุปกรณ์นี้เป็นเหมือนตะแกรงอันใหญ่ที่ใช้สวมรัดเข้ากับรองเท้า เหมือนช่วยกระจายน้ำหนักไม่ให้อยู่แค่เฉพาะที่เท้าเราจุดเดียว เวลาเราเดินไปบนพื้นหิมะจะได้ไม่ยวบจนขาจมไปในหิมะนั่นเอง

ตรงส่วนหน้าจะมีหนามแหลมๆ ติดอยู่เพื่อช่วยจิกไปบนน้ำแข็งเพื่อกันลื่น แล้วก็มีไม้ค้ำให้ถือทั้งสองมือเพื่อช่วยค้ำและยันเวลาเดินขึ้นเนินลงเนิน สำหรับ Snow Trekking แบบนี้นั้นก็มีกฎอยู่ 2 ข้อ หนึ่งคือ อย่าเดินถอยหลังเพราะจะล้มได้ง่ายมาก และสอง อย่าเดินไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ เพราะรอบๆ ต้นไม้มักจะอุ่นกว่าตำแหน่งอื่น เวลาเราไปเหยียบเข้าหิมะอาจจะยุบตัวลงไป ซึ่งด้วยความเป็นเมืองหิมะของยามากาตะ เราอาจจะทะลุลงไปในหิมะความสูง 3 – 4 เมตรได้อย่างง่ายดาย และเอ่อ อาจจะช่วยขึ้นมาจากหลุมหิมะแบบนั้นยากด้วย…

หลังจากทุกคนใส่รองเท้าเดินเทรคกิ้งหิมะกันเสร็จแล้วก็ได้เวลาที่จะเริ่มเดิน เดินออกมาจากอาคารปั๊บก็เจออุปสรรคแรกเลย คือต้องเดินข้ามไหล่ทางที่เป็นหิมะสูงท่วมเป็นเนินเขาไปนี่แหละ ความรู้สึกที่เดินยังไม่คล่องแล้วต้องพยายามเอาหน้าเท้าจิกบนน้ำแข็งที่ลื่นแสนลื่นก่อนจะดึงตัวขึ้นไปเรื่อยๆจ นถึงยอดเนินเตี้ยๆ แค่ไม่กี่เมตรนี่โคตรจะเหนื่อยเลย แม้แต่อากาศที่หนาวเย็นนั้นก็ไม่ช่วยให้เหงื่อที่ไหลออกมาลดลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันก็สนุกดี ความรู้สึกที่เดินเหยียบไปบนหิมะกรุบกรอบนี่มันอธิบายยาก แล้วมันก็ค่อนข้างปลอดภัยไม่ล้มคว่ำแบบสกี

Snow Trekking Snow Trekking

ขณะที่เราเดินตามแถวคนอื่นต่อไปได้สักพัก หิมะที่ตกปรอยๆ ลงมาก็ดันหนักขึ้นๆ จนทำให้จากเดิมที่เราจะต้องเดินขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาอันไกลๆ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเดินชมวิวแถวๆ นี้แทนก่อนจะเดินกลับ สภาพผมตอนนั้นที่ทั้งเหงื่อออกและเปียกปอนจากหิมะที่ตกลงมาราวกับเป็นลูกหมาตกน้ำได้แต่ร้องขอบคุณในใจเบาๆ ไอ้ตอนขึ้นที่เราว่าแสนจะเหนื่อยและเดินยากนั้นมันธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับตอนต้องเดินลงเขา หนามตรงรองเท้านั้นแทบจะจิกหิมะเอาไว้ไม่อยู่ ไม้ค้ำทั้งสองถูกเอามาใช้ค้ำยันอย่างที่มันควรจะเป็นจริงๆ ในตอนนี้เอง

ยามากาตะยามากาตะ

หลังเสร็จจาก Snow Trekking เราก็ขึ้นรถกลับมาโรงแรม วิวรอบๆ โรงแรมนั้นเต็มไปด้วยหิมะสูงท่วมตัวตัดกับวิวภูเขาน้ำแข็งด้านหลังซึ่งให้ความรู้สึกที่สวยและสงบมากๆ

แต่มันไม่ได้มีแค่นี้ เพราะผมสังเกตเห็นกระท่อมเล็กๆ ที่เหมือนสร้างจากหิมะอยู่เต็มไปหมด มันคือ Yukihatago-no-Akari Snow Festival นั่นเอง เป็นการเอาหิมะที่ตกอย่างมหาศาลมาใช้สร้างเป็นงานเฟสติวัลส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมือง มีทั้งที่เป็นถ้ำ กระท่อม ไปจนถึงบาร์ที่เราสามารถนั่งดื่มเครื่องดื่มด้านในได้จริงๆ ด้วยนะ เสียดายที่ตอนเราไปถึงเทศกาลนั้นเพิ่งจบไปได้ 1 วัน แต่ตัวอาคารต่างๆ ยังไม่ได้ถูกรื้อทิ้งไป เลยยังมีโอกาสให้ลองเดินมุดถ้ำเหล่านั้นอยู่บ้าง แสงเทียนด้านในขับให้สีของหิมะดูอบอุ่น แม้ทุกอย่างจะเย็นเฉียบไปหมด

Yukihatago-no-Akari Snow Festival Yukihatago-no-Akari Snow Festival Yukihatago-no-Akari Snow Festival Yukihatago-no-Akari Snow Festival

หลังจากอาบน้ำอุ่นแสนสบาย เราก็ได้ชิมอาหารพื้นเมืองยามากาตะที่อุดมไปด้วยพืชผักป่าที่โตด้วยน้ำจากหิมะบริสุทธิ์นี่แหละ พร้อมกับเนื้อวัวเกรด A5 ที่คงจะเล็มหญ้าพร้อมกับจิบน้ำละลายจากหิมะเช่นกัน และมื้อนี้ก็ยังมีสาเกพื้นเมืองจากข้าวที่ปลูกในเมืองยามากาตะอีกด้วย อาห์ แม้จะเป็นวันที่แสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย แต่การได้กินอาหารและจิบสาเกแสนอร่อยตอนหมดวันก็ทำให้วันนี้กลายเป็นวันที่สมบูรณ์ขึ้นมาเฉยเลย

เนื้อวัว A5

อาหารญี่ปุ่น

ก่อนหน้านี้ผมเคยสงสัยว่าถ้าเมืองที่มีแต่หิมะมันจะมีอะไรให้เที่ยวกัน

ตอนนี้ผมว่าผมพอจะเข้าใจแล้ว พร้อมๆ กับเริ่มตกหลุมรักเมืองแห่งหิมะเมืองนี้แล้วล่ะ

ถ้าคุณมีประสบการณ์เดินทางแปลกใหม่จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญส่งเรื่องราวของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะมีสมุดบันทึกปกหนังเทียมเล่มสวยส่งให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

Writer & Photographer

Avatar

ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

ช่างภาพ นักออกแบบกราฟิก นัก(หัด)เขียน โปรดิวเซอร์และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าไปเจออะไรน่าทำ IG : cteerapan