“ถ้าเป็นศิลปะการต่อสู้แบบจ๋าเลย บางอันถ้านำมาใช้ในหนังมันไม่สวย อย่างไอกิโด เอาต์พุตก็เป็นไลน์ของ สตีเวน ซีกัล คุณจะเห็นว่ามีการหักกระดูกต่าง ๆ ไลน์ของ เจ็ท ลี ใน หวงเฟยหง (Once Upon a Time in China) (1991) เป็นวูซู ก็มีการกระโดดที่สวยงาม แจ็คกี ชาน เป็นกายกรรมบวกตลก พอมาเป็นของเราก็คือมวยไทย ดุดัน ชัดเจน ไม่ใช้สลิง มันก็เป็นซิกเนเจอร์ของเรา” 

จา พนม, พนม ยีรัมย์ หรือ โทนี จา กล่าวถึงความแตกต่างของ Martial Arts หรือศิลปะการต่อสู้ที่นักแสดงหนังแอ็กชันชื่อดังแต่ละรายนำมาปรับใช้จนเกิดเป็นภาพจำของนักบู๊บนแผ่นฟิล์ม เป็นการวิเคราะห์ที่มาจากประสบการณ์กับการลงมือทำ ขลุกอยู่กับหนังแอ็กชันมาไม่ต่ำว่า 30 ปี 

ในวันนี้จาหรือโทนีที่เพื่อนชาวต่างชาติอย่าง เจสัน สเตทแธม หรือ วิน ดีเซล เรียก คืออีกดารานักบู๊ระดับแถวหน้าในตลาดโลก พิสูน์ได้จากผลงานล่าสุดกับการถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังรวมเหล่าดารานักบู๊ชั้นนำทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก๋าอย่าง Expendables ตอนล่าสุด หรือ Expend4ables โปรแกรมใหญ่อีกเรื่องของปีนี้ และยังคงนำทีมโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน กับ เจสัน สเตทแธม เหมือนเดิม 

แต่หากมองย้อนกลับไป นับแต่รายการ เจาะใจ ทางช่อง 5 เมื่อกว่า 20 ปีก่อน คือครั้งแรกที่ชาวไทยได้เห็นจาทางสื่อสาธารณะ คนหนุ่มจากจังหวัดสุรินทร์ที่เริ่มต้นฝันอยากเป็นอย่างเฉินหลงหรือแจ็คกี ชาน มาตั้งแต่เด็ก พอจบ ม.3 เขาจึงให้บิดาพาไปฝากฝังกับ พันนา ฤทธิไกร ผู้ล่วงลับ ไอดอลอีกคนของเด็กชาย ซึ่งในขณะนั้นเอาจริงกับการสร้างทีมสตันต์ทำหนังบู๊ทุนน้อยออกฉายตามโรงชานเมืองและต่างจังหวัดหรือ ‘หนังสาย’ โดยทุกเรื่องของพันนาโดดเด่นตรงมีคิวบู๊ใกล้เคียงกับหนังของเฉินหลงที่เด็กชายนิยม 

นับแต่นั้นจาก็ได้ฝึกฝนกับ อาจารย์พันนา ของเขา จนกลายเป็นทีมสตันต์ปรากฏอยู่ในหนังหลายเรื่องที่ไม่เคยมีใครจำหน้าได้ ก่อนจะมาถึงจุดเปลี่ยนในช่วงหนังไทยตกต่ำเมื่อปลายทศวรรษที่ 2530 จากเคยสร้างกันเป็นร้อยจนเหลือหลักสิบ ผนวกกับการมาถึงของวิกฤตต้มยำกุ้งใน พ.ศ. 2540 ในภาวะตีบตัน พันนาจึงตัดสินใจดันจาขึ้นเป็นนักแสดงนำ ในโปรเจกต์ที่ต่อมากลายเป็น องค์บาก ด้วยการหาเงินมาถ่ายคิวบู๊ในแบบที่ใครเห็นต่างต้องตื่นตา ในรายการ เจาะใจ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีนั้น จากับทีมงานจึงมาออกรายการทอล์กโชว์ชื่อดังเพื่อโชว์ความสามารถพิเศษของนักบู๊คนใหม่ 

และเมื่อ องค์บาก ออกฉาย ก็กลายเป็นหนังไทยที่ใครต่างกล่าวขาน “ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สแตนด์อิน เล่นจริง-เจ็บจริง” กลายเป็น ‘ซิกเนเจอร์’ ของจาอย่างที่เขากล่าว เมื่อถูกนำไปฉายในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเทศกาลหนังโตรอนโตก็สร้างชื่อให้ โทนี จา ในระดับโลกเป็นครั้งแรก ก่อนจะตามมาด้วย ต้มยำกุ้ง (พ.ศ. 2548) และอื่น ๆ กระทั่งฮอลลีวูดเริ่มให้ความสนใจ เมืองไทยดูจะเล็กเกินไปแล้วสำหรับความสามารถของเขา

ที่ผ่านมาจาแสดงหนังต่างประเทศทั้งจีนและฮอลลีวูดอยู่หลายเรื่อง แต่ Monster Hunter ที่ประกบกับ มิลลา โจโววิช เมื่อ 3 ปีก่อน คือผลงานฮอลลีวูดเรื่องแรกที่เขาได้รับบทนำ มีชื่อและภาพปรากฏเต็ม ๆ อยู่บนโปสเตอร์แบบไม่ต้องมีใครประกบมากมาย ตามมาด้วย Detective Chinatown 3 หนังจีนทำเงินถล่มทลายเป็นผลงานล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเขามีครอบครัวที่อบอุ่น ใช้ชีวิตกับภรรยาและลูกสาว 2 คนในวัยน่ารักน่าชัง เดินทางไปมาระหว่างเมืองไทยกับต่างประเทศเป็นระยะ ส่วนในการทำงาน ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยของหนังต่างประเทศ เขาจึงไม่ต้องเสี่ยงมากนักเหมือนเมื่อแรกสร้างชื่อ 

และในตลาดหนังแอ็กชันวันนี้ จา พนม ก็ไม่ใช่ดารานักบู๊จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนเดียวในตลาดหนังโลกอีกแล้ว แต่ยังมี อิโก อูไวส์ จากเมืองอิเหนา ซึ่งสร้างชื่อมาจาก The Raid (2011) หนังแอ็กชันขายคิวบู๊ด้วยศิลปะการต่อสู้ดุดันใกล้กับ องค์บาก รวมทั้งเป็นเพื่อนร่วมงานกับจาใน Expend4able ด้วยเช่นกัน ภายหลังเคยเจอกันมาแล้วใน Triple Threat (2019)

“ความดังไม่สำคัญแล้ว สำคัญที่เราพอใจและมีความสุขกับการได้เล่นกับบทบาทนั้น กับหน้าที่ที่เราทำ” จาตอบ เมื่อให้เทียบความโด่งดังในระดับนานาชาติของเขากับอูไวส์ และถึงจะไม่ได้พูดออกมา แต่ต่อให้ดาวรุ่งนักบู๊จะเกิดตามมาอีกกี่ดวง ในบันทึกของดาราแอ็กชันอย่างเขาก็ยังคงเป็นดาราจากถิ่นแถบนี้คนแรกที่ไปเปิดตลาดโลกด้วยศิลปะการต่อสู้อย่างมวยไทยอยู่เช่นเดิม 

“ที่จริงผมชื่อจา ส่วนโทนีเพี้ยนมาจากคำว่า ไทยแลนด์ ผมใช้ชื่อโทนีเพราะทุกคนเรียกง่าย เหมือนอย่าง โทนี เหลียง (เหลียงเฉาเหว่ย) เรียกแล้วจำง่าย เราตั้งขึ้นมาเองเพราะมันง่ายดี” จากล่าวถึงที่มาของนามในระดับสากล นอกจากนั้นยังมีอีกหลายเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งภารกิจสำคัญที่เขาเพิ่งทำสำเร็จ หลังจากเพียรทำมานานเพื่อชาติไทย ด้วย Expend4ables ผลงานเรื่องสำคัญอีกครั้งของ จา พนม 

การนั่งลงแล้วคุยกันยาว ๆ กับชายคนนี้ จึงเป็นความจำเป็นที่ไม่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อร่วมกันภาคภูมิใจไปกับทั้งวงการหนังไทยและคนไทย ซึ่งในประวัติศาสตร์ชาติเรามีเพียงเขาทำได้แบบนี้อยู่คนเดียว

กว่า 20 ปีจากต้มยำกุ้ง องค์บาก จนถึง Expend4ables ภารกิจใหม่ที่ จา พนม ตั้งใจพามวยไทยไประดับโลก

ทำไมทีมงานของ Expend4ables ถึงเลือกคุณสำหรับภาคนี้

เริ่มต้นจาก เจสัน สเตทแธม เขาดูเรามาตั้งแต่ องค์บาก ต้มยำกุ้ง เขามีความคิดว่าสักวันอยากทำหนังแอ็กชันแบบนี้ แล้ว Expend4ables ทำมาคู่กับตอนทำ Furious 7 (2015) พอจบจากเรื่องนั้น ผมก็ไปแสดง xXx: Return of Xander Cage (2017) ของ วิน ดีเซล เพระเขาเป็นโปรดิวเซอร์ มันต่อเนื่องกัน ทุกอย่างเริ่มจาก Furious 7 หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตามมาหมด คนดูได้เห็นเรา ได้เห็นคาแรกเตอร์ หลังจากนั้นเอเจนต์ก็เริ่มขายงานให้เราได้แล้ว

เรื่องนี้ได้เจอกับ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ด้วย

พอรู้ว่าเป็นซิลเวสเตอร์ผมก็อยากเจอ แต่ไม่ได้เจอ คือด้วยตัวละครเยอะมาก เดิมทีทุกสิ่งอย่างที่วางแผนไว้คือเขาจะมาถ่ายในเมืองไทย แต่ด้วยโควิดและสถานการณ์อะไรหลายอย่างก็มีการเปลี่ยนไปถ่ายที่บัลแกเรีย เขาส่งบทมาให้ กำหนดถ่ายคือเดือนตุลาคม ปี 2021 ตอนนั้นเป็นบทร่างที่ 6 – 7 แล้ว ผมก็บินไปถ่ายที่บัลแกเรีย ไปอยู่เดือนหนึ่ง แล้วก็ไปถ่ายที่กรีซอีกเดือน ในเรื่องผมเล่นเป็น ‘เดชา’ เป็นคนไทย เขาก็เซตเป็นท่าเรือไทย มีตลาดอะไรต่าง ๆ แบบเมืองไทยเลย 

คุณอยู่ในทีม Expend4ables ด้วยมั้ย บทเยอะกว่าใน Furious 7 หรือเปล่า เพราะในเรื่องนั้นบทน้อยมาก

บอกไม่ได้ ต้องไปดูเอง (หัวเราะ) บทมีเยอะอยู่ ในเรื่องจะมีทีมเก๋าและมีทีมใหม่ด้วย โปรดิวเซอร์เขาอยากได้ความใหม่ เพราะ Expendables ภาคก่อน ๆ ออกแนวบู๊ระห่ำ แต่เรื่องนี้เราได้ใส่ความเป็นไทย เป็น Martial Arts แม้แต่คาแรกเตอร์ของเราก็ได้ใส่ความเป็นไทยเข้าไปมาก อย่างอาวุธ เขาเอามาให้เราดูหมดเลย มีปืน มีระเบิด มีนู่นมีนั่นมาให้เรา แต่เขาบอกโทนีไม่ต้องใช้ ผมก็ เฮ้ย ทำไมไม่มีปืน ผมอยากยิงปืนเสียหน่อย เขาบอกคุณไม่ต้องยิงปืน ผมให้มีดคุณแบบแรมโบ้ มีคาแรกเตอร์ของเรามาเลย ในเรื่องเราเป็นหน่วยรบพิเศษมาก่อน แล้วก็ซ่อนเร้นอยู่ในหน่วยพิเศษ จะมีลักษณะสุขุมลุ่มลึก รักสงบ โดดเดี่ยว ใช้ชีวิตเป็นกะลาสีในท่าเรือ 

ในเรื่องนอกจากคุณยังมี เดี่ยว (ชูพงษ์ ช่างปรุง) เป็นคนไทยอีกคนด้วย

ที่พาน้องเขามาเพราะเราทำแอ็กชัน ต้องใช้คนที่มีลายมือลายมวยต้องเข้ากัน เพราะเราต้องไปต่อยมวยให้ผู้กำกับเห็น เขามีไกด์ไลน์มาให้แล้ว แต่มีดีเทลที่เราจะต้องใส่ลงไป แล้วเราก็มีเดี่ยวเป็นผู้ช่วย พอผู้กำกับได้เห็น เขาก็พอดีมีคาแรกเตอร์ว่างอยู่

ดูคุณจะสนับสนุนเขาเป็นพิเศษ แสดงกับคุณมาหลายเรื่องเลย

มี องค์บาก ภาค 2 – 3 หรือใน Monster Hunter ผมก็พาเขาไปด้วย เพราะเดี่ยวอยู่กันมาตั้งแต่มีอยู่ 4 – 5 คน เราเรียนวิทยาลัยพละมาด้วยกัน เป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะเวลานั้นทีมสตันต์อยู่วิทยาลัยพละมหาสารคามกันทุกคน ตั้งแต่ตอนทำเดโม องค์บาก ก็มีเดี่ยวมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ผมผลักดันให้มาทำงานด้วยกัน คนอื่นนอกนั้นตอนนี้ก็ไปเป็นผู้กำกับคิวบู๊ บางคนเป็นสตันต์ไปตั้งทีมต่อยอดไปต่างประเทศ ไปทำหนังอินเดีย หนังจีน แล้วก็มีรับหนังไทยด้วย 

หลังจากทีมของ พันนา ฤทธิไกร สตันต์ทีมแบบนี้ก็เหมือนจะมีรุ่นคุณเป็นรุ่นแรก

และน่าจะเป็นรุ่นสุดท้าย เป็นรุ่น องค์บาก ผมไปดึงเอาพวกเพื่อน ๆ น้อง ๆ มาเล่นต่อ จากนั้นมาก็อีกทีมที่เล่น โคตรสู้ โคตรโส (พ.ศ. 2553 พันนา ฤทธิไกร กำกับ) นั่นเป็นอีกทีม ทีมนั้นก็แยกไปทำพวกซีรีส์ ส่วนเดี่ยวก็มีไปเล่นซีรีส์ เล่นละครไทย 

กว่า 20 ปีจากต้มยำกุ้ง องค์บาก จนถึง Expend4ables ภารกิจใหม่ที่ จา พนม ตั้งใจพามวยไทยไประดับโลก

เคยจะผลักดันให้เขามาอยู่ข้างหน้าเหมือนคุณอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ในระดับเดียวกับคุณ คิดว่าเป็นเพราะอะไร ไปติดที่ตรงไหน

เขามี เกิดมาลุย (พ.ศ. 2547) เป็นเรื่องแรก ฅนไฟบิน (พ.ศ. 2549) แล้วก็มี ส้มตำ (พ.ศ. 2551) มีอีกหลายเรื่อง ด้วยคาแรกเตอร์หรือด้วยอะไรผมก็ไม่ทราบ แต่ผมพยายามให้น้องได้ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างเลยพาไปฮอลลีวูดด้วย เพื่อไปดูระบบงาน วิธีการต่าง ๆ ให้ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ อย่างน้อยการได้เห็นผู้กำกับ เห็นโปรดิวเซอร์ พอเห็นว่าบทไหนเล่นได้ ก็จะต่อยอดไปได้ มันแล้วแต่จังหวะ

นอกจากความทุ่มเทแล้ว คุณคิดว่าการเป็นได้แบบคุณต้องอาศัยโชคด้วยมั้ย เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปออก เจาะใจ จนมาถึงวันนี้ ถือว่าคุณมาไกลโขเลย 

ก็มาไกลเหมือนกันนะ แต่ผมว่าคนเราก็ต้องสร้างโชคขึ้นมาด้วย อย่างแรกที่สำคัญที่สุดคือต้องมีแรงบันดาลใจที่จะถ่ายทอดความสามารถของเรา เริ่มแรกอยากเป็นสตันต์ ผมก็ไปหาอาจารย์พันนา แล้วเราก็ได้ทำ จากนั้นพอได้เป็นสตันต์ เราอยากทำหนังก็มาเป็น องค์บาก หลังจากนั้นมันก็เหมือนเป็นการต่อยอดไปเรื่อย ๆ 

คุณเป็นคนทะเยอทะยานมั้ย

ความทะเยอทะยานต้องมีความต้องการก่อน ต้องมีแรงขับเคลื่อน มีความฝัน มีพลังในการขับเคลื่อน ผมต้องการเป็นแจ็คกี ชาน ต้องการเป็นเหมือนอาจาย์พันนา จนมาถึง พ.ศ. 2540 ที่เป็นวิกฤต ไม่มีใครดูหนังไทย ตรงนั้นทำให้ผมมาถึงจุดเปลี่ยน เป็นจุดตัดสินใจ สตันต์ก็ไม่มีแล้ว อาจารย์พันนาก็มาบอกว่า จา พี่จะปั้นจา เราจะมาสร้างด้วยกัน เริ่มจากให้โอกาสก่อน แต่แกบอกว่า ถ้าจะทำก็ต้องออกจากวิทยาลัยพละเลย ผมก็ออกมาจากวิทยาลัยพละ เพราะต้องมาลุยกันทำเดโม 

ตอนแรกมุมมองก็จะทำเป็นหนังสาย แต่มาเปลี่ยนเมื่อมันได้เห็นของแล้ว พอเราฝึกฝนไปเรื่อย ๆ เราเอาหนังแจ็คกี ชาน มาดู เอา บรูซ ลี เอาเจ็ท ลี มาดู แล้วก็เอามาตัดต่อเพื่อฝึกซ้อม แต่ที่เราเห็นของอย่างที่บอก มันก็คือมวยไทย เพราะนี่คืออัตลักษณ์ของเรา แล้วถ้าจะทำหนังสายมวยไทย อาจารย์พันนาก็เคยทำมาแล้ว แต่พอจะทำเป็นหนังตามมาตรฐานก็ต้องใช้ทุนมาก สิ่งที่เราทำได้คือแค่ทำเดโม ตั้งเป้าทำเดโมเพื่อไปเสนอขาย แต่ถ้าไม่มีใครให้ทำ เราก็จะเอาไปฉายสนามหลวง (หัวเราะ) ให้คนดูฟรีไปเลย คือเราคิดกระทั่งไปถึงขั้นสุด ๆ ขนาดนั้น แล้วก็ได้ไปเจอ พี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับ องค์บาก) ตอนนั้นอยู่แกรมมี่ เราก็ได้ไปที่แกรมมี่ แต่พี่ปรัชจะปั้นต่อ พอออกมาจากแกรมมี่เลยเอาโปรเจกต์นี้มาด้วย 

เห็นว่าตอนทำเรื่องแรก คุณแกะจากหนัง บรูซ ลี กับ เฉินหลง แบบละเอียดเลย ช่วยบอกความแตกต่างจาก 2 คนนี้ที่คุณพบ

บรูซ ลี ตายตั้งแต่ก่อนผมเกิด อาจารย์พันนาเอาวิดีโอมาเปิดให้ดู เราก็ดูเทคนิคการต่อสู้ของเขา บรูซ ลี จะดูนิ่ง มีความเป็นกังฟู แค่ไซด์คิกและการร้องก็เป็นเอกลักษณ์แล้ว (ร้องและทำท่าแบบบรูซ ลีประกอบ) เราเห็นก็ร้องอู้หู ส่วนเฉินหลง ตั้งแต่เด็กมาแล้ว เราดูมาจากหนังกลางแปลง วิ่งสู้ฟัด (Police Story) (1985) และต่าง ๆ นานา เราก็ก๊อบปี้เขามา เราเรียนจากหนังเฉินหลง แต่ตอนแรกเฉินหลงก๊อบปี้บรูซ ลี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนมาเปลี่ยนเป็นสไตล์ Action Comedy ตามแบบของเขา เป็นกายกรรมเป็นแอ็กชัน ไม่ซีเรียส บวกกับสตันต์เสี่ยงตาย 

แต่เท่าที่ดู จากหนังเรื่องแรก ๆ คุณเหมือนจะมีบุคลิกแบบ บรูซ ลี มากกว่า

ผมกลายเป็นอินไป (หัวเราะ) ผมอินกับบรูซ ลี เพราะเข้ากับมวยไทยด้วย มวยไทยมีความหนักหน่วง มีความชัดเจนของอาวุธ ถ้าโฟกัสไปทางนี้ผมเล่นเต็มที่ได้ (ทำท่าตีศอกให้ดูพร้อมทำเสียงประกอบ) มันมีฟีลลิงนั้น มีจิตวิญญาณของบรูซ ลี เข้ามา แต่เฉินหลง ผมเอาเรื่องของกายกรรมมา ตีลังกาผาดโผน ลอดใต้ท้องรถ ซึ่งบรูซ ลี ไม่ทำ เป็นยิมนาสติกแบบกายกรรม ก็จะเห็นผมทำแบบนั้นในหนัง แล้วยังมีเจ็ท ลี ที่ผมเอาความสวยงามเข้ามาใช้ อย่างการกระโดดลอยขึ้นไปในที่สูงเหมือนคนบินได้ เพราะเราดูเจ็ท ลี เขากระโดดหมุนเกลียวเหมือนบินได้ สวยงามมาก ผมรวบรวมทั้ง 3 คนนี้เข้ามา 

กว่า 20 ปีจากต้มยำกุ้ง องค์บาก จนถึง Expend4ables ภารกิจใหม่ที่ จา พนม ตั้งใจพามวยไทยไประดับโลก

ตอน องค์บาก ออกฉาย ทำไมถึงขายว่าไม่ใช้ซีจี ไม่มีสลิง เจ็บจริง เล่นจริง หรือเพราะไม่มีระบบเซฟตีดีพอเลยขายไปแบบนั้น 

อะไรจะบ้าขนาดนั้น (หัวเราะ) คือเป็นเพราะเรามองว่าด้วยรูปแบบมวยไทย ถ้าบนเวทีมันโคตรอันตรายเลย ตีศอกก็แตกเลย โดนกระจับนู่นนี่นั่นพังหมดได้เลย เราเลยคิดระบบเซฟตีขึ้นมา ใส่เรซินหล่อเป็นผิวหนังเอาไว้ตามตัว ลองซ้อมโดดตีเข่า ลองนั่นลองนี่ หมวกกันน็อกก็ใส่ผ้านุ่ม ๆ กันเอาไว้เพื่อเซฟ เพราะเวลาต่อย เราเจ็บด้วย แล้วเราก็เล่นจริงด้วย แต่พอมีเซฟแล้วเลยจัดเต็ม ผลปรากฏพอโป๊ะเข้าไป หมวกกันน็อกแตก กระดูกผมก็แตกด้วย เล่นเสร็จต้องมานวดตัวเอง ต้องมาประคบน้ำแข็ง ด้วยน้ำหนักตัวเราประมาณ 40 – 50 กก. พออัดลงไปบวกกับแรงที่เรากระโดด ฟันที่ขบกันอยู่ถึงกับแตกเลย โดดใส่ไฟเราก็เล่นจริง 

ขายความความเรียลแบบนี้ก็เป็นทางที่เฉินหลงใช้สร้างชื่อมาก่อน แต่ตอนนั้นเขาเลิกทำไปแล้ว

ใช่ เลยเป็นจังหวะของเรา (หัวเราะ) จังหวะมันก็คือโชค 

ปีนี้ครบรอบ 20 ปีของ องค์บาก เมื่อหลับตานึกย้อนกลับไป สิ่งแรกที่คุณเห็นคืออะไร

ผมเห็นความมุ่งมั่น ภาพแรกคือมวยไทย หล่อหลอมการต่อสู้ เราเห็นอาจารย์พันนา ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2540 ที่ไม่มีใครเชื่อโปรเจ็กต์นี้เลย คงไม่มีใครกล้าเอาชีวิตมาฝากกับเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีตังค์ ไม่มีอะไรเลย เราออกมาจากวิทยาลัยพละ มีแต่คนถามว่าจะไปทำไม มันไม่มีอนาคต เรียนต่อก็ยังไปเป็นนักกีฬาได้ เราเลือกไปทางนี้ที่ทุกใครมองเป็นลบ แต่เราก็ยังมั่นใจกับสิ่งนี้เลยขอลองสักครั้ง บนเส้นทางที่อยากทำ ผมขอไปตามความฝัน แต่ก็บอกคนอื่นนะว่าถ้าไม่สำเร็จผมจะกลับมา มีเผื่อใจไว้ แต่ขอให้ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ให้ผมได้ทำอย่างเต็มที่สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะถ้าคิดแล้วไม่ได้ทำก็เหมือนตายทั้งเป็น

กว่า 20 ปีจากต้มยำกุ้ง องค์บาก จนถึง Expend4ables ภารกิจใหม่ที่ จา พนม ตั้งใจพามวยไทยไประดับโลก

ทำไมหลังจาก องค์บาก 3 (พ.ศ. 2553) คุณถึงไม่ได้กำกับอีกเลย

ผมกำกับ องค์บาก 2 (พ.ศ. 2551) กับ องค์บาก 3 เพราะใช้พลังมาก แค่เล่นก็ใช้พลังมหาศาลแล้ว แต่ถ้ากำกับด้วย โอเค เราเข้าใจ คือไลน์เรื่อง ไม่ว่าตัวแสดงหรือทีมงานต้องแยกประสาทต่าง ๆ ขั้นตอนเยอะมาก ต้องวางแผนอย่างมาก เราเลยเลือกโฟกัสเฉพาะกับการแสดง 

ทำไมตอนนั้นถึงกำกับเอง เรื่องราวก็ไม่ใช่ปัจจุบันเหมือนภาคแรกหรือ ต้มยำกุ้ง เลย

ทีมงานเขาคิดบทกันมา เขาอยากนำเสนอแบบนั้น ใน องค์บาก 2 เป็นพีเรียด ถ้าเราคิดท่าทางในการต่อสู้ ต้องมีมวยไทยอยู่แล้ว ผมก็เลยเอานาฏศิลป์ นำโขนมาใส่ เพื่อเรียงร้อยให้เป็นนาฏยุทธ์ เพราะต้องการให้แตกต่างจาก องค์บาก เพราะฉะนั้น องค์บาก 2 เลยเน้นเล่าเรื่องที่มาของศิลปะการต่อสู้ 

หรือเพราะซีเรียสเกินไปเลยไม่ค่อยทำเงินเหมือนภาคแรกหรือ ต้มยำกุ้ง

ใช่ เพราะไม่มีคอมเมดี้ ซึ่งแตกต่าง ทีมงานทุกคนช่วยกันระดมความคิดกันออกมา แล้วเซตฉากให้อลังการ แต่ก็ไปได้ตลาดที่เป็นอินเดีย เพราะคล้ายอินเดียหรือเขมร ทีมงานเป็นคนคิดมา แต่เราก็พยายามหาจุดใหม่จากที่ทีมงานคิดมา เรามาคิดต่อยอดจากบท จากงานสร้างว่าจะต่อยอดอย่างไร 

เคยได้ข่าวว่าคุณอยากรีเมก ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง บุกกรุงโรม (The Way of the Dragon) (1972) ของ บรูซ ลี ด้วย ทำไมถึงอยากทำ

มันเป็นเหมือนแรงบันดาลใจ มีคอมเมดี้ มีมิติที่เราได้เล่นหลากหลาย มีชีวิต มีเส้นดราม่า มีความรักได้ มีเสียใจได้ มีรอยยิ้มได้ มีความฮาได้ มันเป็นคน เราได้ไปเจอผู้กำกับหลายคน อย่าง Paradox (2017) ที่เราได้เจอกับ หงจินเป่า เป็นผู้กำกับคิวบู๊ อันนั้นก็เป็นตำรวจ มีเส้นดราม่าขับเคลื่อนออกมา คนจีนเห็นผมมาจาก องค์บาก ต้มยำกุ้ง แล้วก็ SPL II (2015) แต่เรื่องนี้ทำให้คนจีนประทับใจ เหมือนมีความรู้สึกร่วมกับคาแรกเตอร์นี้ มันทำเงินนะ แต่กลายเป็น Detective Chinatown 3 (2021) ทำเงินมากกว่าเป็นแสนล้านเลย (ราว 673 ล้านเหรียญฯ) 

ใน SPL II เป็นเรื่องที่คุณได้แสดงออกทางการแสดงมากที่สุด นอกจากแอ็กชัน

มันมีความเป็นดราม่า ทำให้เราได้เปิดคาแรกเตอร์ที่ไม่ซ้ำ เราได้คุยกับผู้กำกับ (เจิ้งป๋อไช่) เขาบอกว่าอยากเห็นโทนีในมุมนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าผมชอบ ผมอิน (หัวเราะ) เพราะไม่ได้มีแค่แอ็กชัน แต่มีสตอรีที่จะพาไปสู่แอ็กชันว่าเราจะปกป้องลูกอย่างไร แล้วเพื่อนของเราอีก มีเส้นเรื่องที่ทำให้เราชอบ ตัวละครใช้ชีวิตโดยมีความต้องการสูงสุด มีโมเมนต์เชื่อมโยงแต่ละซีนเข้าด้วยกัน แอ็กชันต่อเนื่องกับแอ็กชันเพื่อเสริมแอ็กชันด้วยซ้ำ จนกระทั่งไปพีกในไคลแม็กซ์ ประสบการณ์นี้ผมได้จากผู้กำกับเรื่องนี้ 

เป็นผลงานที่คุณชอบที่สุดตั้งแต่แสดงหนังมาเลย

Monster Hunter ผมก็ชอบ แต่เป็นอีกแบบหนึ่ง เรื่องนั้นเป็นแนวซีจี พอมา Detective Chinatown 3 ก็เปลี่ยนอีก มาเป็นคอมเมดี้-แอ็กชัน อันนี้ตอนนั้นก็ยังไม่เคยลอง เล่นแบบขำ ๆ ซึ่งตอนแรกเราก็เขิน ภาพที่เราเป็น โทนี จา แอ็กชันแบบดุดัน อยู่ดี ๆ ไปเปลี่ยน แฟนคลับเขาจะว่าอย่างไร แต่เราคิดว่าเปลี่ยนบ้างก็ได้ อย่าไปยึดติดอะไรมาก 

คุณเคยต่อยมวยจริง ๆ มั้ย 

ผมเคยต่อยตอนเป็นเด็ก ขึ้นไปต่อยบนเวทีบ้างนิดหน่อย มันเจ็บ แต่ไม่เอนเตอร์เทน ตอนนี้ผมก็ดูมวยไทยบ้าง แต่ไม่ได้ต้องดูตลอด ดูเพื่อนำมาใช้ในหนัง ท่านี้เราจะอ่านมวยอย่างไร แสนชัย อ่านมวยอย่างไร เชิงมวยมีอย่างไร คือนักมวยทุกคนจะมีคาแรกเตอร์และมีความแตกต่างกันอยู่ 

กว่า 20 ปีจากต้มยำกุ้ง องค์บาก จนถึง Expend4ables ภารกิจใหม่ที่ จา พนม ตั้งใจพามวยไทยไประดับโลก

มวยไทยเดี๋ยวนี้ก็มีนวมเปิดนิ้วแบบที่เราเห็นใน Enter the Dragon (1973) ของ บรูซ ลี หรือมีมวยแบบ MMA คุณคิดว่าวงการมวยทุกวันนี้โหดเกินไปมั้ย ยังเรียกศิลปะการต่อสู้อยู่ได้มั้ย

มันโหดเกิน ด้วยกติกาคือไม่ใช่แล้ว ชั้นเชิงมันต่างกัน กลายเป็นว่าการเล่นกันบนเวทีมีบางสิ่งมาบั่นทอนให้ศิลปะหายไป ผมเลยชอบศิลปะในหนังมากกว่า เพราะเราปรุงแต่ง ใส่อรรถรสหรืออะไรอื่น ๆ ได้ มวยไทยเมื่อก่อนมีคาดเชือก มีอะไร มีศิลปะมากกว่า มีจิตวิญญาณที่เขาถ่ายทอดออกไป มีมงคล มีผ้าประเจียด มีวิธีร่ายรำ มีย่างสามขุม คุมเชิงครู ดูดัสกร ฟ้อนลองเชิง เหล่านี้มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราใส่ลงไปในหนังแล้วถ่ายทอดออกไปได้ 

เหมือนมวยสมัยนี้อยากให้เห็นเลือดหรือความรุนแรงมากกว่า ในฐานะคนทำหนังแอ็กชัน คุณห่วงเรื่องความรุนแรงในหนังมั้ย

อย่างน้อยในหนังก็ลดความรุนแรง แล้วนำเสนอในมุมศิลปะได้ ด้วยคาแรกเตอร์ เสื้อผ้าหน้าผม มีอะไรมาช่วยจัดแจง มีแสง มีสี ภาพสโลว์หรือภาพสวย ๆ ให้ดู ช่วยบั่นทอนเรื่องความรุนแรงลงไปได้ 

คุณมีขีดของความรุนแรงอยู่ตรงไหน หรือแค่ใช้เลือดให้น้อยหน่อย

นั่นก็ใช่ คือตอนนี้เข้าใจว่าความรุนแรงคือศิลปะของหนัง ทำให้คนเลือกเสพเยอะ ผมก็คิดตรงนั้นนะ อย่างเรื่องปืน อย่าไปใช้เยอะ อย่าง Expend4ables คุณเอาแค่มีดไป ผมก็ชอบเลย อย่างน้อยมันได้ต่อสู้ด้วยศิลปะ ด้วยชั้นเชิง เพราะเรามีสิ่งที่อยากถ่ายทอดออกไป หมัดเท้าเข่าศอกก็ตอบโจทย์เพื่อให้เกิดความมันได้ ผู้กำกับเขาเลือกเองเลยให้คุณเป็นคาแรกเตอร์แบบนี้ 

ตั้งแต่ในหนังหรือตอนนี้ที่คุยกัน ดูคุณจะชอบแขวนพระ

(หัวเราะ) องค์นี้เป็นพระพรหม ที่จริงเป็นอัตลักษณ์ของเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ คุณพ่อให้ผมมา มวยไทยของเราก็มีพวกเครื่องรางของขลัง ให้เวทมนตร์คาถา ผมเชื่อในเรื่องคาถามวยไทย (ท่องคาถาบูชาหนุมานให้ฟังอย่างรวดเร็ว) นี่เป็นคาถา คือเราได้กำลังมาจากหนุมานให้ถ่ายทอดออกมา

คุณเป็นพวกคนเล่นของ

ถ้าบอกว่าของก็คือของที่เป็นมงคล (หัวเราะ) มงคลในที่นี้ก็คือผ้าประเจียดมวยไทย

คุณสนใจในเครื่องรางของขลังหรือพุทธศาสนากันแน่

ศาสนาคืออันดับแรก คือพระรัตนไตร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณของครูบาอาจารย์ คือเป็นหลักของเรา พรหมก็คือวิชาพรหม พรหมสี่หน้าก็เป็นวิชามวย คือพ่อแม่และครูบาอาจารย์ของลูกที่มีเมตตาต่อลูก เรามีพระเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ส่วนเครื่องรางของขลังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ อย่างเวลาไปต่างประเทศก็เป็นอัตลักษณ์ของเราด้วย ไปต่างประเทศผมก็เอาไปให้วิน ดีเซล ไปให้ ดอนนี่ เยน ที่ฮ่องกง เขาก็เอาไปโชว์ว่าเป็นของที่ระลึกจากโทนี จา มันเป็นอัตลักษณ์ เป็น Soft Power ด้วย 

ทุกวันนี้เวลาคุณไปไหนก็เลยพกพระเครื่องไปด้วย

ใช่ เป็นลังเลย (หัวเราะ) เวลาไปถึง ตม. มันก็ร้องติ๊ด ๆ เตือน เราต้องบอกว่าเป็นเครื่องรางของขลัง จะเอาไปให้เพื่อน ส่วนมากที่เอาไปให้ก็เป็นหลวงพ่อ อย่างเช่นพระขุนแผน ให้ดอนนี่ เยน เราต้องดูก่อน อย่างถ้าให้ เจสัน ผมให้พระสมเด็จ เขาก็เก็บไว้เพื่อเตือนความทรงจำ เป็นของที่ระลึก แล้วก็มีหลวงปู่รอด ผมให้ทีม Detective Chinatown 3 ไปทั้งกองเลย เขาก็รอดกันหมด รอดจากโควิด แล้วก็ยังโทรมาบอกด้วยว่ารายได้ถล่มทลาย กูรอดแล้ว (หัวเราะ) 

มันอาจเป็นแรงบันดาลใจ คนจีนชอบพระเครื่องมาก ชอบพระพรหม พระเครื่องไทย ไปเดินตามแผงพระมีแต่คนจีนทั้งนั้น เป็นวัฒนธรรม เป็นอัตลักษณ์ที่คนจีน ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ให้ความสนใจ แม้กระทั่งใน Detective Chinatown 3 เขาก็ยังให้คาแรกเตอร์ของผมแขวนพระ เป็นการสื่อว่าคุณมาจากไหน จิตวิญญาณของคุณมีที่มาอย่างไร 

กว่า 20 ปีจากต้มยำกุ้ง องค์บาก จนถึง Expend4ables ภารกิจใหม่ที่ จา พนม ตั้งใจพามวยไทยไประดับโลก

เวลาท้อหรือเจออะไรหนัก ๆ ความเชื่อตรงนี้ช่วยคุณอย่างไรได้บ้าง

ผมจับเลย (ยกมือกุมพระที่คอ) คุยกับพระเลย ขอให้คุ้มครองลูกนะ 

ในชีวิตจับพระบ่อยมั้ย เพราะตลอดมาน่าจะเจออะไรที่ชวนท้อมาหลายครั้ง แต่อะไรทำให้คุณเดินทางต่อมาได้เรื่อย ๆ

มองให้บวก พอเราจับพระก็เป็นบวก กลายเป็นพลังขึ้นมาเลย เพราะเรามาจากไม่มีอะไร มาจากดิน มาจากพ่อแม่ มาจากระเป๋าเป้ใบเดียว ออกมาตามหาความฝัน แล้วเราจะเอาอะไร ถามใครไม่ได้ เราก็คุยกับพระ บอกว่าผมตั้งใจจริง ผมมีเจตนาจริง แล้วผมจะทำเพื่ออะไร ผมจะทำให้ประเทศชาติ ผมจะทำให้บ้านเมือง ด้วยการนำเสนออัตลักษณ์ของความเป็นไทย คิดขนาดนั้นจริง ๆ เพราะมวยไทยเป็นมรดกของชาติที่คุณต้องสืบสานต่อ ผมเลยเอาพลังมาจากตรงนี้และจากคนรอบข้างด้วย 

เรามีความเป็นไทย เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราจะทำสิ่งที่ดี เป้าหมายของเราคือสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ หนังของเราออกไปฉายให้คนทั่วโลกรู้จัก บางคนไม่รู้จักประเทศไทยเลย แต่พอดูหนังปั๊บ มันสะท้อนกลับมา เห็นมวยไทยก็อาจอยากมาเรียน อยากมากินอาหารไทย อยากเป็นเหมือนโทนี จา 

ในช่วง 10 กว่าปีมานี้มีคนต่างชาติมาต่อยมวยไทยมากขึ้น คุณคิดว่าเป็นอิทธิพลจาก องค์บาก ด้วยหรือเปล่า

ใช่ มันเป็นการประชาสัมพันธ์ มวยไทยมีอยู่แล้วบนเวที แต่ด้วยความเป็นหนัง เหมือนคนเสพหนังบรูซ ลี เสพหนังเฉินหลง คนที่เสพ Martial Arts จากหนัง เขาก็จะมีแรงบันดาลใจเหมือนที่ผมมี แต่ให้ผมไปต่อยบนเวทีผมก็ไม่เอา หนังเป็นเอนเตอร์เทน มันคือเมจิก เป็นมนต์ของภาพยนตร์ เราสร้างเสน่ห์ได้ แล้วก็ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ พอเราคิดว่ามันถูกต้องแล้ว มันคือแรงบันดาลใจที่ส่งต่อไป พอผมส่งต่อ มีคนรับ แล้วเขาส่งต่อกลับมาให้ผม แค่มาบอก ขอบคุณนะครับ ก็เป็นพลังบวกให้กับเรา ถึงเราจะโดนอะไรต่อมิอะไรเข้ามา ตรงนี้ก็ช่วยให้เราไปต่อ ลุยต่อไปได้

ใน Monster Hunter เป็นบทนำในหนังฮอลลีวูดเรื่องแรก แต่คุณก็ยังไม่มีบทพูดอีก

ใช่ แต่ก็เหมือนใน ต้มยำกุ้ง ที่พูดแต่ “ช้างกูอยู่ไหน” (หัวเราะ) คือในเรื่องเป็นอีกโลกหนึ่ง ไม่มีภาษา มีไดอะล็อก แต่เป็นภาษาของเขาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่เรามาเรียนรู้จากคาแรกเตอร์ของมิลลา ก็พูดเป็นคำไป อย่าง “ช็อกโกแลต” 

คุณมีข้อจำกัดเรื่องภาษาหรือเปล่า ถึงทำให้คุณไม่ได้บทที่มีไดอะล็อกมากนักในหนังฮอลลีวูด

ภาษาก็มีส่วน คือผมเข้าไปด้วย Furious 7 เป็นเรื่องแรก เป็นเรื่องที่จุดชนวน ที่นั่นพอเขาได้เห็นเรา เขาก็ถามเหมือนเสียดายว่าทำไมคุณไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรก (หัวเราะ) แล้วเขาก็ถามว่า ทำไมคุณไม่ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่ จะได้ทำเต็ม ๆ เราก็บอกว่า ผมเป็นคนไทย ไปทำงานได้ ชีวิตแบบสตาร์ของฮอลลีวูดผมก็เห็นวิน ดีเซล เห็นใครต่อใคร เขามีอาณาจักร มีบอดีการ์ด มีบ้านสวยหรู มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มันมีบทบาทของเรา มีหน้าที่ของเรา หน้าที่ที่เราทำตรงนี้คือถ่ายทอดความสามารถออกไป แต่ถามว่าผมต้องการเป็นพระเอกโด่งดังเหมือนวิน ดีเซล เหมือนใครแบบนั้นมั้ย คือก็โอเค ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาก็สุดแท้แต่ แล้วแต่คาแรกเตอร์ แล้วแต่บทบาทที่จะได้รับ ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เล่น Expend4ables มั้ย Monster Hunter หรือ xXx ผมไม่เคยรู้ว่าจะมีโอกาสได้เล่นมั้ย 

แต่ผมก็ต้องขอบคุณ คือผมเคยอธิษฐานจิตอีกแล้ว (หัวเราะ) ถ้าลูกมีความสามารถ ขอให้ลูกได้ไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ศิลปะมวยไทยและความสามารถของลูกเอง แล้วก็ออกไปทำเต็มที่ เลยมีงานเหล่านี้ที่บอกไปเข้ามา แต่ถามว่าผมอยากใช้ชีวิตอยู่ในฮอลลีวูดมั้ย ผมบอกเลยว่าไม่อยาก 

ก่อนไปฮอลลีวูด มีข่าวคุณมากมาย ทั้งหาว่าหลงตัวเอง เสียสติ ยกเลิกสัญญากับค่าย ต้องฟ้องร้องกัน ปัญหาต่าง ๆ นานาที่กลายเป็นข่าว คุณผ่านตรงนั้นมาได้อย่างไร

สติ ช่วงนั้นผมได้ไปบวช แล้วมีพลังงานขับเคลื่อนให้ผมได้มาต่อยอดในการทำหนัง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรราบรื่น ต้องมีแรงเสียดทาน แต่เรารู้ตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเรารู้ตัวว่าทำอะไร มันก็สุด ๆ ผมไม่ได้หนี แต่รู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ เพียงแต่ในสถานการณ์นั้นเราพูดไม่ได้ 

เหมือนธรรมะจัดสรร สิ่งที่ผมคิดได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ อาจารย์พันนาบอกจาได้ไปถึงตรงนั้นเหมือนที่พี่ตั้งใจไว้ แต่ไปไม่ได้ก็ไปเลย ไปให้ถึงเป้าหมาย เอาความสำเร็จมา เอาสิ่งที่ลูกศิษย์คนนี้ใฝ่ฝัน แล้วไปกำชัยนั้นกลับมา ผมเลยมีเป้าหมาย คือไปทำหน้าที่ เอาเป้าหมายที่ถูกถ่ายทอดมาไปทำให้สำเร็จ เอาธงนี้ไปปักที่ต่างประเทศ เพราะเรามีโอกาสตรงนั้น แล้วโอกาสมันก็มา ผมออกไปกำชัยนั้นจนมาถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่าผมตอบโจทย์แล้ว เพราะในหนังมีภาพธงชาติไทยที่ปักอยู่บนเรือ ผมก้มกราบเลย พระแม่ธรณี ทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ลูกปรารถนาเพื่อเอาธงชาติไปปักที่ฮอลลีวูด ไปปักใน Expend4ables เป็นความฝันที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนถ่าย Furious 7 ผมคุยกับเจสัน สเตทแธม ว่าผมทำสำเร็จแล้ว ผมเอาธงไทยมาปักที่ตรงนี้ได้แล้ว ผมได้ตอบโจทย์สิ่งที่ผมตั้งใจ และทุกคนตั้งใจผลักดันผมให้ไปสู่เป้าหมายได้แล้ว

ถ้าต้องเขียนหนังสือฮาวทูสักเล่มเพื่อให้ประสบความสำเร็จอย่างคุณ สารบัญในหนังสือเล่มนี้จะมีอะไรบ้าง

ต้องมีแมสเซจที่มีพลัง มีเป้าหมาย เป้าหมายของคุณ คุณชอบอะไร แล้วจะไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร แล้วก็ต้องไล่เลียงมาว่าความพอใจในสิ่งที่คุณทำ อย่างเช่น ถ้าคุณรักในการทำหนังแอ็กชัน คุณก็ต้องศึกษาหนังแอ็กชันไปจนถึงเป้าหมายของคุณ ไม่ใช่แค่มีเป้าหมาย แต่ต้องเพื่ออะไรด้วย คือได้ถ่ายทอดศักยภาพของเราออกไป จิตวิญญาณของแม่ไม้มวยไทย คนได้รู้จักเมืองไทย คนได้รู้จักจิตวิญญาณวัฒนธรรมไทย แม่ไม้มวยไทยยังคงอยู่ มันคือชาติ ศาสนา พระมหากษตริย์ มีครบหมด แล้วก็ไปถึงหนังไทย หรือแอ็กชันไทย คือถ้าผมจะเขียน มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันจะเป็นแมสเซจที่เป็นพลังบวกเพื่อส่งต่อ 

เหมือนที่ผมได้ยินมาว่า อิสราเอล อเดซานย่า นักมวย MMA เขาได้แรงบันดาลใจจากการดู องค์บาก เขาไม่รู้หรอกว่า ทนี จา ต่อยมวยหรือเปล่า แต่เขามีแรงบันดาลใจจากตัวละคร ‘ไอ้ทิ้ง ประดู่พริ้ว’ ที่เราแสดง แล้วเขาก็ฝึกฝนตัวเอง โดนเสียดสี โดนแรงเสียดทาน เป็นเด็กบ้านนอก เพราะคาแรกเตอร์ของเขาคงคล้ายกับในหนัง ทำให้เขามีแรงบันดาลใจ เขาจะต้องเป็นเหมือน ทิ้ง ประดู่พริ้ว เหมือนใน องค์บาก 

ผลปรากฏเขาได้แชมป์ หนังสือเล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจแบบนั้น ให้คนอ่านได้มีพลังใจเวลาที่เขาท้อ และถ้าเปิดหนังสือเล่มนี้ พลิกขึ้นมาอ่าน คุณต้องอ่านตั้งแต่ต้น อย่าไปพลิกหน้าอื่นดู ก่อนที่จะมาถึงจากหน้าแรกจนไปถึงเป้าหมาย มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถ้าคุณท้อหรือแพ้ คุณจะล้มลง แต่ถ้าคุณมีความรัก มีความพอใจที่จะทำตรงนี้ คุณต้องถามตัวเองถึงความพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ หรือรักในสิ่งที่คุณทำ แล้วจะพาคุณก้าวไป หนังสือเล่มนี้จะต่อยอดให้กับคนอื่นแบบนั้น เป็นพลังที่ขับเคลื่อนถึงกันและกัน

กว่า 20 ปีจากต้มยำกุ้ง องค์บาก จนถึง Expend4ables ภารกิจใหม่ที่ จา พนม ตั้งใจพามวยไทยไประดับโลก
จา พนม

Writer

สืบสกุล แสงสุวรรณ

สืบสกุล แสงสุวรรณ

นักเขียนอิสระที่ใช้ชีวิตตามใจแต่ไม่ไกลจากบ้านเป็นดีที่สุด เคยมีผลงานมา 2-3 เล่ม ปัจจุบันรับเขียนงานทุกประเภททั้งในแบบตัวอักษรและรูปภาพ เมื่อปีกลายแมวอันเป็นที่รักเพิ่งหนีกลับดาวไป หลังจากใช้ชีวิตมาด้วยกัน 13 ปี บอกทำไมไม่ทราบ แต่เผื่ออยากรู้ พี่เขาชื่อ “สโมกกี้”

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์