ครั้งหนึ่งผมอยู่ในสภาวะที่ใกล้ชิดกับเสือโคร่งตัวหนึ่ง ใกล้ขนาดเขี้ยวของมันห่างจากหน้าไม่ถึงฝ่ามือ
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ของผมที่เข้าไปใกล้เสือเกินกว่าระยะที่มันอนุญาต
เสือกระโจนเข้าหา คร่อมตัว ตบเข้าที่หน้า ผมบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เย็บบริเวณแก้มแค่ 4 เข็ม นั่นเป็นเพราะเสือมีเจตนาเพียงแค่สั่งสอน เป็นบทเรียนที่สอนให้ผมเคารพ และควรอยู่ในระยะที่ให้เกียรติกัน
แน่นอน ด้วยท่าทีอย่างนั้น เสือย่อมถูกเห็นว่าเป็นสัตว์ดุร้าย อันตราย
ผมได้รับบทเรียน ได้สบสายตาเสือใกล้ ๆ ผมไม่เห็นแววของสัตว์ร้าย แต่ดูเหมือนว่า ‘สัตว์ร้าย’ จะเป็นภาพภายนอกที่คนเห็น ไม่ว่าจะเป็นเสือซึ่งอาศัยอยู่ในมุมใดของโลก
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ The Tadoba Andhari Tiger Reserve ประเทศอินเดีย
อีกราวครึ่งชั่วโมงจะ 18.00 น. บริเวณทุ่งหญ้าริมอ่างน้ำขนาดใหญ่ เสือโคร่งเบงกอลตัวหนึ่งเดินเลาะริมอ่าง เดิน ๆ หยุด ๆ เงยหน้าสูดกลิ่น เสียงกวางร้อง กวางรับรู้ถึงการมาของเสือ มันส่งเสียงเตือน เสือก้มหน้า การจะย่องเงียบเข้าหาเหยื่อทำไม่ได้แล้ว
นี่เป็นเรื่องปกติที่เสือต้องเผชิญ แม้ว่าพวกมันจะเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง ผู้ทำหน้าที่ควบคุมประชากรสัตว์กินพืช มีร่างกายซึ่งได้รับการออกแบบมาอย่างเหมาะสม รวมทั้งมีทักษะในการล่าเป็นเลิศ แต่การลงมือของเสือนั้นใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้ง มันมักจะพบกับความล้มเหลวและต้องเริ่มต้นใหม่เสมอ ๆ
หญ้าในทุ่งสูงท่วมตัวเสือ มันหายไปสักพักก่อนโผล่มาใกล้ ๆ มันเดินตรงเข้ามาหารถที่ผมอยู่ ได้สบสายตาใกล้ ๆ เหมือนกับทุกครั้งที่ได้สบสายตาเสือ และผมก็ไม่เห็นแววตาแห่งความดุร้าย
การพบกับเสือครั้งนี้สอนบทเรียนให้ผมอีกบทหนึ่ง
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า Tadoba-Andhari อยู่ที่เมืองนาคปุระ รัฐมหาราษฏระ
ป้ายที่สนามบินบอกไว้ว่าที่นี่เป็น ‘เมืองหลวงของเสือ’
อินเดียได้ชื่อว่ามีเสือโคร่งเบลกอลอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก แม้ว่าจะผ่านยุคแห่งการทำลายล้าง โดยเฉพาะในยุคอาณานิคมที่คนใช้เสือเป็นถ้วยรางวัล การฆ่าเสือถือเป็นเกม เสือนับแสนตัวถูกฆ่า
กระนั้นก็ตาม ถึงวันนี้ประชากรเสือก็ยังมีมากกว่า 2,000 ตัว
พวกมันทั้งหมดอาศัยอยู่ในที่มั่นสุดท้าย อันเป็นโลกของพวกมัน
Tadoba-Andhari ตั้งชื่อตามเทพ Tadoba หรือเทพ Taru ที่คนท้องถิ่นนับถือ Andhari คือแม่น้ำที่ไหลผ่านป่า
คนที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นไกด์และคนขับรถพานักท่องเที่ยวเข้าไปดูเสือ คนจะนั่งรถ Gypsy เป็นรถจี๊ปคันเล็ก ๆ ไม่มีหลังคา
บ้านของเสือที่นี่เปิดเฉพาะช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ส่วนฤดูฝนจะปิดเพื่อให้ป่าฟื้นฟู และเสือจะได้พักจากการต้องพบปะกับคน
บนทางป่าขรุขระ คนขับเบรกกะทันหัน ไกด์หันมาบอกผมด้วยเสียงตื่นเต้นว่า ‘เสือ’ เขาพูดพลางชี้ไปข้างหน้า
ผมมองตามมือไกด์ เสือ 5 ตัวปรากฏในสายตา พวกมันเดินตรงเข้ามาหา
3 ตัวเป็นลูก อายุราว 7 เดือน มีเสือตัวโตที่เข้าใจว่าเป็นลูกรุ่นก่อน และแม่เสือ เสือตัวผู้ตัวโตเดินตามมาห่าง ๆ
พวกมันเดินผ่านหน้ารถ เลี้ยวเข้าทางด้านซ้ายมือไปหยุดบริเวณบ่อน้ำ และใช้เวลาอยู่ที่นั่น แม่กินน้ำอย่างกระหาย ลูก ๆ เดินไปมาสลับกับนอนแช่น้ำ ผมไม่แปลกใจนักที่พบลูก ๆ ตัวเล็ก 3 ตัวนั้นอยู่กับแม่ แต่สำหรับตัวโต ผมค่อนข้างแปลกใจ
โดยปกติลูกเสือจะอยู่กับแม่เป็นเวลา 2 ปี นี่คือช่วงเวลาที่แม่จะถ่ายทอดประสบการณ์ รวมทั้งบทเรียนต่าง ๆ ในการล่า การดำเนินชีวิต ก่อนต้องแยกย้ายออกไปใช้ชีวิตลำพังตามวิถีที่กำหนดมาแล้ว
แน่นอนว่าสำหรับลูกเสือ นี่ไม่เพียงเป็นเวลาแห่งการเรียนรู้ แต่เป็นเวลาแห่งความอบอุ่นที่พวกมันเอาไว้นึกถึงยามใช้ชีวิตลำพัง
ผมมองครอบครัวเสืออย่างปลื้มปีติ เป็นโอกาสดีที่ได้รับและได้อยู่ในที่มั่นสุดท้ายของเสือในโลกของพวกมัน
เจ้าตัวเล็กตัวหนึ่งผละจากบ่อน้ำ เดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ เอียงหัวไปมาด้วยอาการสงสัย ไร้ความหวาดระแวง การพบปะกับคนเช่นนี้ ครั้งหนึ่งจะจบลงด้วยชีวิต ถึงวันนี้พวกมันก็ยังคงต้องพบกับคนจำนวนไม่น้อยทุกวันที่อยู่บนรถจี๊ป ในมือถือกล้องแทนปืน
โลกเปลี่ยนไปแล้ว การปรับเพื่ออยู่กับความเปลี่ยนแปลงจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเสือหรือคน
ผมมองเสือ นี่เป็นโลกของมัน ดูเหมือนว่าเราจะมีโลกอยู่ 2 ใบ
โลกหนึ่ง เป็นโลกที่เราอยากให้เป็น ส่วนอีกโลกหนึ่งเป็นโลกแห่งความเป็นจริง
โลกที่เราอยากให้เป็นย่อมมีสันติภาพ มีชีวิตที่อยู่ร่วมกันอย่างให้เกียรติ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตซึ่งอยู่ในรูปแบบใด
18.00 น. เราต้องออกจากป่า ออกจากโลกที่อยากให้เป็น กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ผมเริ่มต้นด้วยการเล่าเหตุการณ์ตอนได้รับบทเรียนอันทำให้ผมเข้าใจ และทุกครั้งที่พบกับเสือในโลกของพวกมัน
เมื่อกลับออกมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ปัญหาที่เหล่าสัตว์ป่ากำลังเผชิญ บางพื้นที่ พวกมัน ปะทะกับคน และจบลงด้วยโศกนาฏกรรม
ในโลกแห่งความเป็นจริง ดูคล้ายกับว่า ‘โลกที่อยากให้เป็น’ นั้น มีอยู่เพียงในความฝัน