ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ เป็นผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคนใหม่
เธอรับตำแหน่งหมาด ๆ ได้ราว 2 เดือนเศษ แต่ผูกพันกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมา 24 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2542 และเป็นผู้ริเริ่มโครงการท่องเที่ยวมากมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลักของประเทศ
ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ไม่ปกตินัก สร้างความท้าทายให้แม่ทัพหญิงต้องวางกลยุทธ์ยกระดับประเทศไทยด้วยการท่องเที่ยว และบรรลุเป้านักท่องเที่ยว 25 ล้านคนภายในปีนี้ตามที่รัฐบาลตั้งธง
ฐาปนีย์เปิดประตูไม้ที่เชื่อมระหว่างห้องทำงานของเธอมายังห้องประชุม ห้องประชุมที่มีโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องเป็นสิ่งที่เธอชอบ เธอสวมชุดผ้าไหมไทยสีทองระเรื่อทอแสงแวววับล้อกับแสงแดด
เธอนั่งลงตรงหัวโต๊ะและทักทายอย่างเป็นกันเอง เธอเปลี่ยนเป้าประสงค์ของเราในการไป ‘สัมภาษณ์’ เป็นการ ‘พูดคุย’ สบาย ๆ และตอบทุกคำถามด้วยความชัดเจน กล้าหาญ และจริงใจ
บทสนทนาว่าด้วยความท้าทายในการรับตำแหน่ง นักท่องเที่ยวจีนลดลง จนถึงเป้าหมายยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืน ด้วย Sustainable Tourism Goals (STGs) ที่สอดคล้องกับ SDGs เป้าหมายการพัฒนาด้านความยั่งยืนระดับโลก 17 ข้อ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่เพียงริเริ่ม ‘STGs เที่ยว 4 ดี ดีต่อโลก ดีต่อเรา’ แต่ยังชวนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าโครงการ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) เพื่อมอบดาวความยั่งยืนให้กับผู้เข้าร่วม
หากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยบรรลุ STGs ได้สำเร็จ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ยิ่งกว่านั้น หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันเอาจริงเอาจังด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จะยิ่งส่งให้ประเทศไทยของเรากลายเป็น Sustainable Tourism Destination หมุดหมายหนึ่งของโลก
การรับตำแหน่งผู้ว่าฯ ททท. ในช่วงนี้ซึ่งสถานการณ์การเมืองโลกไม่ปกตินัก ท้าทายคุณอย่างไร
ความท้าทายของเราคือการบริหารกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์
พอเราเข้ามารับตำแหน่ง ยุทธศาสตร์ที่เราให้ความสำคัญ คือการยกระดับประเทศด้วยการท่องเที่ยว ซึ่งเราโฟกัสทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เพื่อบูสต์เศรษฐกิจของประเทศไทย
เรามี 4 กลไกที่จะขับเคลื่อน คือ PASS และตั้งเป้าชัดเจนว่าจะทำภายใน 4 ปีนี้ คือ พ.ศ. 2567 – 2570 และความท้ายอีกอย่างคือ GDP ถ้ายึดตามสภาพัฒน์ GDP ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องแตะประมาณ 25% ของ GDP รวม ก่อนหน้านี้ปีที่ดีที่สุดเราทำ GDP อยู่ที่ 18% คือ 3 ล้านล้านบาท
ถ้าจะไปให้ถึง 25% อาจต้องแตะถึง 6 ล้านล้านใน พ.ศ. 2570 ตัวเลขแตะ 6 ล้านล้าน เท่ากับว่านักท่องเที่ยวไม่ใช่ 40 ล้านคนแน่นอน ต้องบริหารจัดการการขยายฐานกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้อยู่ที่ 60 – 80 ล้านคน ซึ่งนั่นไม่ได้เสียหาย ถ้าบริหารจัดการได้ โดยการกระจายนักท่องเที่ยวไปทั้ง 77 จังหวัด และทำให้เมืองไทยเป็นประเทศที่เที่ยวได้ทุกวัน ดังเช่นแคมเปญ ‘365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน’
กลไกขับเคลื่อน 4 ข้อ หรือ PASS ที่คุณว่าคืออะไร
P คือ Partnership 360 องศา ททท. ต้องสร้างพันธมิตรหรือพาร์ตเนอร์ที่อยู่นอกเหนืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) แม้กระทั่งทหาร เพราะแหล่งท่องเที่ยวทางทหารก็ดีมาก ๆ และมีการบริหารจัดการที่ดีด้วยเช่นกัน
A คือ Accessibility through Digital World เราต้องรักษาสมดุลระหว่างออฟไลน์และออนไลน์ ต้องหาจุดเมิร์ชที่ดีที่สุดให้ได้ รวมถึง AI ด้วย ต้องมีการจัดการดาต้าเบสที่ดี เพราะดาต้าเบสทำให้เกิด AI หลายคนบอกว่า AI จะมาแทนมนุษย์ แต่สิ่งที่ AI ไม่มีคือประสบการณ์ ททท. ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการทำงาน แต่เราบวกประสบการณ์การทำงานของคน ททท. เข้าไปด้วย นั่นทำให้มนุษย์เราเหนือกว่า
S คือ Sub-culture Movement เป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมร่วมหรือชอบเรื่องเดียวกัน ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะคะ การเลือกตั้งที่ผ่านมาแสดงถึง Sub-culture Movement ได้แข็งแรงที่สุด จนทำให้พรรคการเมืองได้เสียงข้างมาก เพราะมีการรวมกลุ่มของคนที่เชื่อเรื่องเดียวกัน เกิดอิมแพกต์สูงมาก ๆ
เช่น ถ้าชอบดู UFO ต้องมาที่เขากระทิง พอคนที่ชอบเหมือนกันรู้ข่าว เขาก็จะตามไปดู มีจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่ความเชื่อมันมีแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง Sub Culture เพื่อการท่องเที่ยว และ Sub Culture เหล่านั้นจะทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ จนทำให้เกิดเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวได้
S คือ Sustainability ความยั่งยืนที่กำลังกลายเป็นสาระสำคัญของโลก ณ ตอนนี้
คุณคิดว่า ททท. ต่างจากองค์กรรัฐอื่น ๆ มั้ย
ททท. เป็นองค์กรที่แต่ละคนรู้บทบาทหน้าที่ของตัวเอง มีการแข่งขันกัน แต่ไม่ใช่แข่งขันเพื่อชิงชัยเป็นการแข่งขันเพื่อให้ KPI ออกมาดีที่สุด แข่งขันเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้องค์กร จะเห็นชัดเจนว่าเวลา ททท. ทำอะไร เจอความท้าทายแบบไหน หรือเป้าประสงค์รัฐบาลจะเป็นอะไร ททท. รับได้ทั้งหมด เพราะคน ททท. เป็นนักปฏิบัติ (Doer) แต่สิ่งที่ ททท. ต้องปรับให้มากกว่านี้ คือเราต้องไม่ติดกับคอมฟอร์ตโซน ต้องพยายามคิดนอกกรอบ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวและสภาพปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง
ในช่วงที่รัฐบาลเร่งหารายได้อย่างเร่งด่วนเข้าประเทศ การท่องเที่ยวดูเป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนนึกถึง การดึงเงินเข้าประเทศผ่านการท่องเที่ยวในวันนี้ มีแนวคิดต่างจาก 24 ปีที่ผ่านมาอย่างไร
ยุคก่อนเรามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเพราะเปิดเส้นทางใหม่ ๆ และมีกลยุทธ์ใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเมืองรอง Unseen Destination และให้ความสำคัญกับกิจกรรม ประเพณี ประสบการณ์ท้องถิ่น เราว่ารูปแบบไม่ได้แตกต่าง เพราะพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว เขามาเพื่อใช้จ่ายเงิน เช่น ตั๋วเครื่องบิน โรงแรม
แต่สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ คือเราจะทำยังไงให้เขาอยู่นานขึ้น และใช้จ่ายต่อทริปเพิ่มมากขึ้น เขาจะต้องซื้อสินค้าอะไรเพื่อทำให้มูลค่าของการเดินทางกลายเป็นรายได้ที่กระจายทั่วถึงทั้งหมด
การท่องเที่ยวตอนนี้ Gastronomy Tourism มาแรง มีมิชลินมาช่วยสร้างกระแส และเราเน้น Sport Tourism มากขึ้น อย่างมวยไทยเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ซึ่ง ททท. ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬา แต่เราก็ดึงกลุ่มคนรักมวยไทยมาทำเป็นกิจกรรมหรืออีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดการขยายมิติของการท่องเที่ยว
อีกหมวดที่ชัดเจน คือซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่ง ททท. ขายมาหลายปีแล้วนะ อย่าง 2 ปีที่แล้ว นโยบายหลักของเราคือดึงจุดแข็งให้กลายเป็นจุดขาย ซึ่งจุดแข็งที่ว่าก็คือซอฟต์พาวเวอร์
จุดแข็งของการท่องเที่ยวยังเป็น Sea, Sand, Sun อยู่หรือเปล่า
แน่นอนค่ะ เรามีต้นทุนทางการท่องเที่ยวดีมาก ๆ หาดทราย ชายทะเล และนั่นคือข้อดี
ตลอดการทำงานด้านการท่องเที่ยวมา 24 ปี คุณมองว่าจุดอ่อนของการท่องเที่ยวไทยคืออะไร
ความปลอดภัยคือหัวใจของการท่องเที่ยว ถ้าประเทศไหนไม่มีความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวมั่นใจ ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง และนั่นทำให้เขาไม่อยากมา พอเราไปดู Global Index พบว่าความปลอดภัยและการบริหารจัดการความยั่งยืนของประเทศไทยแทบจะอยู่อันดับท้าย ๆ ของโลก
เราต้องช่วยกัน คนในประเทศไทยต้องเห็นความสำคัญในเรื่องเดียวกันและทำไปพร้อม ๆ กัน
ฟังดูการท่องเที่ยวก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์ SWOT ด้วยเหมือนกัน
SWOT ของเราเพิ่ม R มาด้วยนะคะ เป็น SWORT
R ที่เพิ่มมา คือความเสี่ยง เราต้องมีแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลก ซึ่งความเสี่ยงที่ทั่วโลกเจอเหมือนกันคือสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งไม่ว่า ททท. จะเจอ R อีกสักกี่ตัว เราก็หยุดไม่ได้ เพราะการท่องเที่ยวคือปากท้องของพี่น้องคนไทยทุกคน
ส่วน T คือความท้าทายที่เราจะบูสต์เศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวและนำไปสู่ความยั่งยืน
สิ่งที่เราต้องทำคือบริหารจุดแข็งที่มีให้ดีและทำให้ดีขึ้น ที่สำคัญต้องปิดจุดอ่อนให้ได้ด้วย
ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยต่ำกว่าเป้าไปประมาณล้านคน คุณว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เพราะสถานการณ์ของสายการบินและสล็อตการบิน รวมถึงผู้ประกอบการและพนักงานในอุตสาหกรรมการบินของจีน ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่านักท่องเที่ยวจีนจะมาประเทศไทย 3.4 ล้านคน
แปลว่าตัวแปรสำคัญคือสายการบิน
ใช่ค่ะ แล้วก็ Mode of Transportation อื่น เช่น การเดินทางทางบกเข้มงวดกว่าสมัยก่อน เพราะประเทศจีนกำลังส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ เมื่อเราตรวจสอบดูจำนวนที่นั่งของสายการบินทั้งหมด น่าจะรับนักท่องเที่ยวจีนได้ประมาณ 3.4 ล้านคน ถ้าเราได้ Visa Exemption มา อาจรับนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มอีก 6 แสนคน หมายความว่าสายการบินจะเพิ่มไฟลต์และจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยราว 4 – 4.4 ล้านคน แต่สถานการณ์จริง สายการบินยังไม่มีความพร้อม เลยเห็นข่าวว่ามีการยกเลิกการบิน ซึ่งไม่เป็นความจริง มีการเพิ่มไฟลต์ด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นการคืนสล็อตการบินตามการบริหารจัดการไฟลต์บิน
เช่นนั้น อะไรทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่เยอะเท่าตอนก่อนโควิด-19
หลัก ๆ คือสายการบิน เพราะมีลิมิตของสายการบิน-ไฟลต์บิน และนโยบายการสนับสนุนการเดินทางภายในประเทศจีน สายการบินต่าง ๆ ถูกนำไปใช้เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในประเทศและมณฑลต่าง ๆ เมื่อไฟลต์บินในประเทศมีเยอะ ก็ราคาต่ำ ทำให้คนอยากเดินทาง ขณะเดียวกันไฟลต์บินต่างประเทศก็ราคาสูงกว่า แต่ถึงแม้ราคาสูง แต่นักท่องเที่ยวจีนก็เลือกเดินทางมาประเทศไทย ต้องขอบคุณจริง ๆ ค่ะ
รัฐบาลตั้งเป้านักท่องเที่ยว 25 ล้านคน ช่วงโค้งสุดท้ายมีโปรโมชันอะไรที่ดึงคนให้ถึงตามเป้า
ถ้าได้ 25 ล้านคนถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วนะ แต่เราอยากได้มากกว่านั้น
มาตรการกระตุ้น คือกระตุ้นการเดินทางภายในประเทศ ทั้งข้ามภาคและภายในจังหวัด ดึงคนด้วยการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ และอีกมาตรการ คือการสร้างตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้กับประเทศ
ตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ว่าคือนักท่องเที่ยวกลุ่มไหน
นักท่องเที่ยวตลาดอินเดีย ตลาดกลุ่มประเทศ CIS อย่างรัสเซีย คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ซึ่งตลาด CIS เป็นตลาดใหม่ที่เติบโตดีมาก แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวอิสราเอลก็เดินทางเข้ามาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เขาชอบประเทศไทยมาก ๆ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่ม UAE ถือเป็นตลาดดาวรุ่งที่ต้องมุ่งไปเลย และ ททท. จะมีการตั้งสำนักงานที่รียาด เมืองหลวงของประเทศซาอุดีอาระเบียเร็ว ๆ นี้ด้วยค่ะ
ส่วนตลาดประเทศระยะใกล้ อย่างมาเลเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม สิงคโปร์ ก็ดีมากเช่นกัน ซึ่งกลุ่มตลาดใหม่เหล่านี้จะทำให้เราได้นักท่องเที่ยว 25 ล้านคนตามที่ทางรัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้
เมื่อก่อนเราคุ้น ๆ ว่าเวลาคนต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทย เขาจะไปวัดพระแก้ว ไปทะเล ไปเชียงใหม่ หรือไม่ก็ภูเก็ต แล้วทุกวันนี้เขามาทำอะไรกัน
Tourism Experience เปลี่ยนไป เขาเริ่มไปแหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมตามรอยศรัทธาทัวร์-อาหาร Sport Tourism และ Health & Wellness ประเทศเราก็ทำได้ดี
สิ่งที่ ททท. ทำมาตลอด คือ Meaningful Travel Experience แต่เราจะทำให้ลึกซึ้งกว่านั้น คือ Meaningful Relationship มากกว่าได้ประสบการณ์คือได้รับความสัมพันธ์ที่มีความหมาย หาก Meaningful Relationship เกิดขึ้น ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นตำนานที่ทำให้เขาอยากกลับมาอีก
และสิ่งหนึ่งที่เป็นพื้นฐานของนักท่องเที่ยวคือการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก้นบึ้งของจิตใจลึก ๆ เขาค่อนข้างละอายหากเขาท่องเที่ยวแล้วทำลายธรรมชาติ คิดว่าทำลายแล้วจะเป็นบาป เหมือนฆ่ามด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ททท. ส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในหลายมิติ ทั้ง Carbon Neutrality, STGs, STAR รวมถึงบริษัทนำเที่ยวที่ต้องสร้างความใหม่และแตกต่างเพื่อสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว
ในวันที่ทุกภาคส่วนพูดเรื่องความยั่งยืน ไม่ว่าคาร์บอนหรือขยะ แล้วการท่องเที่ยวพูดเรื่องอะไร
ทุกเรื่อง (ตอบทันที) เพราะการท่องเที่ยวไม่ต้องการเป็นผู้ร้ายในสายตาทุกคน เราต้องกลับมาปรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ซึ่งคงไม่ได้ 100% เพราะต้องบาลานซ์ความสุขกับความใส่ใจสิ่งแวดล้อม
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ ททท. ทำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2538 ปรับเปลี่ยนไปอย่างไรจนถึงปัจจุบัน
ททท. ทำมานานมาก ทั้งแนวคิด 7 Greens จนมี Thailand Tourism Awards ซึ่งเราถือว่ามีนักท่องเที่ยวคุณภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่รวยด้วยทรัพย์สิน และนักท่องเที่ยวที่รวยด้วยจิตใจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งแตกต่างกับยุคปัจจุบันตรงที่เราต้องทำให้เห็นภาพ มีเกณฑ์ชัดเจนและจับต้องได้ เหมือนสมัยโควิด-19 ที่มีมาตรฐาน SHA แสดงถึงมาตรฐานบริการ ความปลอดภัยด้านสาธารณสุข
ทำไมประเทศไทยถึงควรมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น Sustainable Tourism Destination
ถ้าประเทศเราไม่ประกาศตัวว่า Sustainable Tourism Destination ไม่เกิด Demand แน่นอน และประเทศไทยจะประกาศตัวว่าเป็น Sustainable Tourism Destination อย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อและเห็นว่าเราเป็นแบบนั้นจริง ๆ ที่สำคัญ ต้องมีเกณฑ์ (Criteria) อย่างชัดเจนด้วยค่ะ
เช่นที่ไหน
เกาะหมาก เขามีความชัดเจนและชัดเจนมาอย่างยาวนาน จนเป็น Low Carbon Destination หรือแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เพราะชุมชนแข็งแรง และมีธรรมนูญเกาะหมาก ซึ่งเป็นข้อตกลง 8 ข้อที่ต้องลงมือทำร่วมกันทั้งคนในพื้นที่และนอกพื้นที่
และที่นี่ก็เป็นต้นแบบของการใช้โซลาร์เซลล์ด้วย เราว่าเกาะหมากเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ในด้านความยั่งยืน ททท. ทำงานกับเขา เห็นเลยว่าเขาไม่อะลุ่มอล่วยให้กับผู้คนที่คิดไม่ดีกับเกาะหมาก
แม้แต่ในกรุงเทพฯ แพ็กเกจทัวร์ที่ขายดีมาก ๆ คือแพ็กเกจทัวร์ที่เดินทางโดยไม่สร้างคาร์บอน เช่น วอล์กกิงทัวร์ หรือสกูตเตอร์ทัวร์เป็นสกูตเตอร์ใช้ขา ซึ่งนักท่องเที่ยวยุโรปให้ความสนใจ เขาเคยบอกไว้ว่าความสุขของการเดินทางไม่ใช่แค่เห็นสิ่งสวยงาม แต่คือการได้ทำบางสิ่งบางอย่างกลับคืนสู่ธรรมชาติ สังคม และชุมชนที่เป็นเจ้าของจุดหมายปลายทางนั้น และนั่นจะทำให้เขาอยากเดินทางมาอีกซ้ำ ๆ
แล้ว Sustainable Tourism Goals (STGs) คืออะไร
คือหลัก 17 ข้อของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยั่งยืนที่สอดคล้องกับ SDGs เป้าหมายพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับโลก โดยมีโครงการ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) ที่มอบดาวแห่งความยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการในโครงการ หากผู้ประกอบการบรรลุเป้าหมาย จะได้รับดาว 3, 4 และ 5 ดวง ตามลำดับ ซึ่งข้อกำหนดพื้นฐานของการได้รับดาว 3 ดวง ผู้ประกอบการต้องผ่านเป้าหมาย STGs 3 ข้อ คือข้อ 13 ลดก๊าซเรือนกระจกในมิติต่าง ๆ ข้อ 16 คำนึงถึงความปลอดภัยที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และข้อ 17 บรรลุเป้าหมาย STGs ด้วยการมีพันธมิตรในหลายภาคส่วน
การจะบรรลุ STGs ได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากใครบ้าง
ทุก Stakeholder ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไกด์ โรงละคร ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า แม้กระทั่งการเดินทางแบบต่าง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของ STGs
ทำไมผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้เป็นส่วนหนึ่งของ STGs
ถ้าเขาไม่ปรับตัว เราจะไม่ Acknowledge เขา และจะไม่โปรโมตสถานประกอบการของเขาให้นักท่องเที่ยว หากผู้ประกอบการไม่มีความพร้อมด้านความยั่งยืน ก็สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวไม่ได้ และส่งผลให้ Global Index ของประเทศไทยอยู่รั้งท้าย ททท. เลยต้องทำกุศโลบายแกมบังคับ
หากผู้ประกอบการปรับตัว เราจะมีตราการันตีจากสมัชชาการท่องเที่ยวโลก เหมือนเครื่องหมาย SHA ซึ่งเครื่องหมาย STAR จะเพิ่มต้องการให้มาที่ STGs เพราะนักท่องเที่ยวรู้แล้วว่าสถานที่นั้น ๆ มีการบริหารจัดการความยั่งยืน และด้วยความที่ ททท. เป็นนักขาย เราจะโปรโมตให้เขาขึ้นเชลฟ์เลย
STAR : Sustainable Tourism Acceleration Rating ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยสู่ STGs ได้อย่างไร
ผู้ประกอบการในโครงการ STAR จะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ประเทศไทยเป็น Sustainable Tourism Destination ซึ่งมัน Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย ผู้ประกอบการก็ได้ยกระดับกิจการของเขาด้วย
เมืองไทยขึ้นชื่อเรื่องการบริการ และเป็นจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวประทับใจ แล้วผู้ประกอบการจะบาลานซ์การให้บริการนักท่องเที่ยวกับการให้บริการอย่างยั่งยืนอย่างไร
เรามองว่าการบริการทั้ง 2 แบบนั้นต้องควบคู่ไปด้วยกัน ไม่ใช่มุ่งบริการเฉพาะนักท่องเที่ยว แต่ต้องมุ่งบริการสภาพแวดล้อมหรือสิ่งแวดล้อมด้วย สมมติขาขวาคือนักท่องเที่ยว ขาซ้ายคือสิ่งแวดล้อม
ถ้าผู้ประกอบการบาลานซ์ทั้ง 2 ขาได้ เท่ากับว่าเขาจะวิ่งได้เลย
ทุกวันนี้หลายสถานที่เริ่มปรับตัวสู่ความยั่งยืน หลังจากปรับแล้ว ถ้านักท่องเที่ยวที่เคยมาสถานที่นั้นเมื่อ 10 ปีก่อน เขากลับมาอีกครั้ง เขาจะรู้สึกหรือเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
เขาจะเห็นและสัมผัสได้ถึง Green Heart หรือความเป็นมนุษย์สีเขียวของผู้ประกอบการ
ถ้าต้องขอความร่วมมือคนในประเทศ เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยว คำขอนั้นคือ
อยากขอความร่วมมือให้เขาเรียนรู้ที่จะใส่ใจสิ่งแวดล้อม และขอร้องอย่างเดียวว่าอย่าให้ทฤษฎีเป็นแค่ทฤษฎี แต่แปลงทฤษฎีให้เป็นการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง จนกลายเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวัน
เมื่อทุกคนเริ่มต้นทำ รับรองว่าประเทศไทยจบสวยแน่นอนค่ะ
12 Things you never know
about Thapanee Kiatphaibool
1. สถานที่ท่องเที่ยวโปรดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
หาดจอมเทียน เพื่อนชวนกันไปเล่นบานาน่าโบต
2. ผ้าไทยผืนที่คุณชอบที่สุด
ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์
3. ใครออกแบบชุดให้
ออกแบบเอง โดยมี Instagram Inspiration แล้วให้ช่างถอดแบบ
4. 1 เดือน คุณเดินทางสักกี่วัน
7 – 14 วัน
5. จังหวัดที่คุณเดินทางไปบ่อยที่สุด
เชียงใหม่และภูเก็ต
6. มุมที่คุณชอบที่สุดในตึก ททท.
ห้องประชุมที่มีโต๊ะใหญ่ ๆ
7. คุณทานอาหารเที่ยงกับใคร
ทานกับตัวเอง เพราะเรามีเวลากินข้าวน้อยมากเลยต้องกินคนเดียว
8. วิธีแก้เครียดของคุณ
ช้อปปิ้งออนไลน์ ชอบซื้อเครื่องสำอาง ดีไซน์ทอย วินเทจทอย
9. อาร์ตทอยตัวโปรดของคุณ
น้องดาว ออกแบบโดยศิลปินจังหวัดเชียงใหม่ หน้าน้องดาวยิ้มตลอด เห็นแล้วมีความสุขมาก
10. ข้อดีของการมีฝาแฝด
มีเพื่อนร่วมคิด คุยกันได้ทุกเรื่อง เตือนกันได้ทุกเรื่อง และทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง
11. สิ่งที่ลูกสาวถอดแบบมาจากคุณ
ความใจดี ลูกสาวชอบการให้ เพราะการให้เป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข ซึ่งเหมือนเราเลย
12. ปีใหม่นี้คุณมีแพลนไปเที่ยวไหน
ปีใหม่นี้อยู่เปิดงานเคานต์ดาวน์ในกรุงเทพฯ