ข้าว กับ สิ่งแวดล้อม นั้นเป็น 2 เรื่องที่แยกกันไม่ออก
เมื่อต้นข้าวอาศัยน้ำ ดิน และอากาศในการหล่อเลี้ยงชีวิต
ขณะเดียวกันนาข้าวก็เป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทน หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกตัวร้ายที่ทำลายชั้นบรรยากาศโลก
พูดได้ว่าข้าวเป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อสิ่งแวดล้อมดี คุณภาพข้าวย่อมดี ขณะเดียวกัน หากการผลิตข้าวนั้นทำลายสิ่งแวดล้อม ความแปรปรวนของสภาพอากาศก็จะกลับมาทำร้ายต้นข้าวในสักวัน
สำหรับประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อย่างไทย ซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวมากถึง 60 ล้านไร่ ความสัมพันธ์ระหว่างข้าวกับสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่ทั้งรัฐ เอกชน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศใส่ใจอย่างถึงที่สุด
หนึ่งในตัวอย่างของความใส่ใจนั้นสะท้อนผ่านการเกิดขึ้นของโครงการ Thai Rice NAMA ที่กรมการข้าวตัดสินใจจับมือกับ Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit หรือ GIZ พาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนจากประเทศเยอรมนี เพื่อพัฒนาวิธีการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งการพัฒนาคุณภาพข้าว พัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
หลังโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2561 ในพื้นที่นำร่อง 6 จังหวัดภาคกลาง ไล่เรียงตั้งแต่ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี และทำงานต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ผ่านการสนับสนุนให้ชาวนาเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตอย่างทั่วถึง และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาวนา เพื่อทำความเข้าใจทั้งปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญ และค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาวงการข้าวแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในวาระครึ่งทศวรรษของการทำงานหนัก จึงนับเป็นโอกาสดีที่เราได้นั่งลงคุยกับเหล่า ‘คนข้าว’ ผู้รับบทนักพัฒนาข้าวและนักสิ่งแวดล้อม ถึงเส้นทางของ Thai Rice NAMA ที่ผ่านมา และเป้าหมายที่กำลังมุ่งไป
ท่ามกลางบรรยากาศสบายตอนบ่ายวันหนึ่ง เราพบ ชิษณุชา บุดดาบุญ รองอธิบดีกรมการข้าวพร้อมด้วย อัมพวา ศิลลนนท์ และ ลัดดา วิริยางกูร ผู้บริหารจาก Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit (GIZ) ในห้องเล็ก ๆ ของออฟฟิศกรมการข้าวที่รายล้อมด้วยแปลงทดลองพันธุ์ข้าวเขียวชอุ่ม ก่อนนาทีถัดมาบทสนทนาจะเริ่มต้นขึ้นด้วยคำถามเรียบง่ายที่หลายคนสงสัยว่าพื้นที่การทำงานของกรมการข้าวเป็นอย่างไร ในวันที่ข้าวนั้นเชื่อมโยงกับทั้งวิถีชีวิตและประเด็นละเอียดอ่อนอย่างสิ่งแวดล้อม
“หน้าที่หลักของกรมการข้าวคือทำงานวิจัย วิจัยสายพันธุ์ข้าวบ้าง วิจัยระบบการผลิตข้าวบ้าง เพื่อแก้ปัญหาของวงการข้าวในยุคนั้น ๆ ซึ่งปัญหาที่มีตัวเลขชี้ชัดในยุคนี้คือเรื่องก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยจากนาข้าวน้ำขัง ฉะนั้น ไม่ว่ากรมการข้าวจะทำโครงการวิจัยอะไรในปัจจุบัน ก็จะมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมด้วยเสมอ”
ผู้บริหารกรมการข้าวซึ่งครั้งหนึ่งเคยสวมหมวกนักวิจัยวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวเกริ่นปูพื้นฐานให้เราเข้าใจภาพรวม ก่อนจะขยายความต่อไปอย่างใจเย็น ก่อนยกตัวอย่างงานปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวซึ่งในระยะหลัง ๆ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้พันธุ์ข้าวรับมือกับสภาพอากาศแปรปรวนได้ดีขึ้นเป็นสำคัญ
มากไปกว่านั้น งานอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ปัจจุบันกระจายปลูกอยู่ 300 สายพันธุ์ทั่วประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางกระจายความเสี่ยงที่พันธุ์ข้าวจะเสียหายจากอากาศอันเลวร้ายของภาวะโลกรวน แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะระบบการผลิตเป็นอีกส่วนสำคัญที่ต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทของวงการข้าวที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
“การพัฒนาระบบการผลิตข้าวทั้งประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย และ GIZ คือหนึ่งในพาร์ตเนอร์ที่เข้ามาช่วยให้เปเปอร์งานวิจัยกลายมาเป็นการพัฒนาที่จับต้องได้จริง” รองอธิบดีฯ หนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงของโครงการ Thai Rice NAMA อธิบายถึงเหตุผลเบื้องหลัง ก่อนตัวแทนจาก GIZ ทั้ง 2 ท่านจะขยายภาพของกระบวนการทำงานให้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“GIZ เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจากประเทศเยอรมนี ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ใน 130 ประเทศทั่วโลก สำหรับไทยที่เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก เรามองว่างานพัฒนาความยั่งยืนในภาคเกษตรสำคัญมาก เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงตัดสินใจทำงานร่วมกับกรมการข้าวในการพัฒนาความยั่งยืนของระบบการผลิตข้าว”
กล่าวได้ว่าทั้ง 2 องค์กรต่างเป็นชิ้นส่วนที่เข้ามาเติมเต็มกันและกัน
กรมการข้าวมีข้อมูลงานวิจัยที่รอนำไปขยายผล
ส่วน GIZ เองก็มีเงินทุนและเทคโนโลยีรอสนับสนุนให้ไปถึงเป้าหมาย
ทว่าเส้นทางกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจากการทำงานกับชาวนาที่เผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตหนักหนาอยู่แล้วนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนดีดนิ้ว
“การจะทำให้ชาวนาเต็มใจเปลี่ยนจากวิธีทำนาแบบดั้งเดิม มาใช้วิธีที่เรานำเสนอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่จะบังคับใจใครได้ กรมการข้าวและ GIZ เห็นตรงกันว่าควรทำความเข้าใจชาวนาเสียก่อนว่าเขาต้องการอะไร และโครงการ Thai Rice NAMA จะมอบสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างไรบ้าง”
รองฯ อธิบดีขยายความถึงการทำงานว่า ต้องเริ่มจากทำให้ประเด็นไกลตัวกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและจับต้องได้ ผ่านการสื่อสารว่าแนวทางใหม่นั้นจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘3 เพิ่ม 3 ลด’ คือเพิ่มผลผลิตข้าว เพิ่มคุณภาพข้าว เพิ่มรายได้ และลดการใช้พลังงาน ลดการใช้น้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าว
“ต้องเข้าใจว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องไกลตัวชาวนามาก การจะให้เขาร่วมทำงานกับเรา เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้เห็นก่อนว่า ถ้าเขาตัดสินใจเอาด้วย เขาจะไม่เสียอะไร และจะได้อะไรกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเราต้องเข้าใจความจริงที่ว่าชาวนาไม่มีต้นทุนให้มาทดลองกับอะไรบ่อยนัก” เขาย้ำ
เมื่อต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน ในระยะแรกโครงการ Thai Rice NAMA จึงเริ่มต้นนำเทคโนโลยีเลเซอร์ปรับหน้าดิน (Laser Land Levelling : LLL) เข้ามาใช้ในนาข้าวทดลอง ณ เครือข่ายนาแปลงใหญ่ จังหวัดสุพรรณบุรี ผลปรากฏว่า เมื่อหน้าดินเสมอกัน ปริมาณการใช้น้ำในนาข้าวก็ลดลงครึ่งหนึ่ง มากไปกว่านั้นยังค้นพบว่า หากจัดการหน้าดินอย่างมีประสิทธิภาพ การขังน้ำไว้ในนาเพื่อเลี้ยงต้นข้าวตลอดทั้งปีก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น
นั่นเท่ากับว่าชาวนาจะลดค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำเข้านาที่แต่เดิมต้องทำอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งลงได้หลายเท่า และแน่นอนว่าเมื่อลดระยะขังน้ำไว้ในนา ปริมาณก๊าซมีเทนที่ปล่อยในนาข้าวก็ย่อมลดลง
“แต่ถึงเทคโนโลยีจะดีแค่ไหน ถ้าชาวนาเข้าไม่ถึงก็ไม่มีประโยชน์” คณะทำงานให้ความเห็นตรงกัน และคงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเขาจึงตั้งกองทุนขึ้นสนับสนุนให้ชาวนาหยิบยืมเงินทุนไปซื้อเทคโนโลยีสำหรับปรับเปลี่ยนระบบการผลิตอย่างเท่าเทียม พร้อมเปิดคอร์สอบรมวิธีการทำนาอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้ชาวนาผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการแบบไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นยังเข้าไปพัฒนาองค์ความรู้การบริหารจัดการหลังการเก็บเกี่ยว อย่างการใช้ฟางข้าวให้เกิดประโยชน์ใช้สอย เพื่อลดการเผาตอซัง ต้นเหตุของฝุ่นพิษที่เกิดขึ้นทุกปี
ถึงวันนี้ความสำเร็จจากการทำงานหนักตลอดหลายปีนั้นปรากฏชัดผ่านตัวเลขก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวที่ลดลงต่อเนื่อง ปริมาณและคุณภาพของเมล็ดข้าวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกำไรที่ขยับตัวขึ้นเป็นค่าตอบแทนความตั้งใจของชาวนา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ย้ำให้ทีมงาน Thai Rice NAMA มั่นใจว่าพวกเขากำลังเดินมาถูกทาง
ก่อนจะบทสนทนาจะดำเนินมาถึงนาทีสุดท้าย บรรดานักพัฒนาข้าวไทยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเราชวนให้ถอยหลังมามองภาพรวมที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ต้น ก่อนชี้ให้เห็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่หายไปจากสมการการพัฒนาอย่าง ‘คนกินข้าว’ ที่จริง ๆ แล้วคือพลังขับเคลื่อนที่อาจทำให้วงการข้าวพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ในเร็ววัน
“หากผู้บริโภคต้องการแชร์ความรับผิดชอบในการดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการให้คุณค่าและให้มูลค่ากับข้าวที่ผลิตขึ้นอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ และมันจะเป็นการดูแลกันทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้การชาวนาเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตไปสู่วิธีที่ดีกว่าได้ง่ายขึ้นแน่นอน”
รองอธิบดีกรมการข้าวกล่าวทิ้งท้ายฝากถึงบรรดาคนกินข้าว
ซึ่งแน่นอนว่าคือพวกเราทุกคน