Taylor Swift เป็นนักสื่อสารมวลชน

นี่คือคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทศวรรษนี้ ในการทำเรื่องส่วนตัวให้กลายเป็นเรื่องส่วนรวม

อกหัก รักร้าว การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การล้มแล้วลุกขึ้นยืนครั้งแล้วครั้งเล่า การถูกคนค่อนโลกเกลียดชัง เหยียดหยาม ประณาม ด่าทอเสีย ๆ หาย ๆ การไม่ย่อท้อ การลบล้างคำดูหมิ่นด้วยฝีมือและผลงาน การกลายเป็นที่รักของคนหลายร้อยหลายพันล้าน

ในผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งทรงพลังยิ่งกว่าที่ทำให้เรารู้สึกว่าการลุกขึ้นสู้กับอุปสรรคและความอยุติธรรมในโลกนี้… เป็นไปได้

อุ้ม สิริยากร พาเรียนลัดสู่การเป็น Swifties 101 แฟนด้อมสุดยิ่งใหญ่ของ Taylor Swift

ใครถามอุ้มตอนนี้ว่าเป็น Swiftie กับเขาด้วยเหรอ อุ้มจ้องตาตอบกลับได้เลยค่ะว่า Yes! แล้วไม่อายด้วยที่จะบอกว่าเพิ่งเป็นเมื่อไม่นานนี้เอง จะหาว่าเชยหรือตามกระแสอะไรก็ว่าได้เลยค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจอะไร เทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นพิเศษ เปิดวิทยุได้ยินผ่าน ๆ ตลอดเวลา ยังเคยคิดว่าก็เพลงป๊อปดาษ ๆ ทั่วไป

จนกระทั่งลูกสาว 2 คนชวนไปดูหนัง THE ERAS TOUR Concert Film เมื่อเดือนที่แล้วค่ะ

อุ้ม สิริยากร พาเรียนลัดสู่การเป็น Swifties 101 แฟนด้อมสุดยิ่งใหญ่ของ Taylor Swift

ดูจบเดินออกมา เหวอไปเลย เฮ้ย คนอะไรทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งเล่นดนตรีไม่หยุด 3 ชั่วโมงครึ่ง เสียงไม่แกว่ง แรงไม่ตก คืออะไร!!!

ที่ประทับใจกว่า คือทำไมเธอดูกันเอง ไม่เสแสร้ง ดูมีความสุขจริงจัง และ Intimate ด้วย ทั้งที่มีคนในสเตเดี้ยม 70,000

ก็เลยเริ่มตั้งใจฟังเพลงของเธอไล่ไปทุกอัลบัม

อุ้ม สิริยากร พาเรียนลัดสู่การเป็น Swifties 101 แฟนด้อมสุดยิ่งใหญ่ของ Taylor Swift

อ้าว แต่งเองหมดทุกเพลง (บอกแล้วว่าเพิ่งรู้จัก) มีหลายแนวมากด้วย ตั้งแต่ยังเป็นคันทรีลูกทุ้งลูกทุ่งตอนเป็นนักร้องใหม่ ๆ ไปจนป๊อปสลุดสุดซอยและดังเป็นพลุแตกอย่าง 1989 หรือจะเป็นโฟล์กหลอน ๆ หวาน ๆ ในชุด Folklore แล้วปิดด้วยคลับแดนซ์อย่าง Midnights

ลองมาไล่กันดูดีกว่าค่ะว่าทั้ง 14 อัลบัมที่ออกมาหน้าตาเป็นยังไงบ้าง

เอาโพสต์อิทแปะอัลบัมที่มีสร้อยห้อยท้ายว่า ‘Taylor’s Version’ ไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะเล่าว่าทำไมต้องมีเวอร์ชันพิเศษทั้ง 4 อัลบัมนี้ 

ทีนี้ดูแค่หน้าปกอัลบัมยังไม่พอค่ะ เพราะน้องเทย์ฯ แกมีความเป็นนักแสดง ครีเอทีฟ และผู้กำกับอยู่ในตัวด้วย เราเลยต้องมาดูพัฒนาการด้านมิวสิกวิดีโอประกอบ เพราะมีด้วยกันทั้งหมด 61 เพลง (ไม่ได้จะให้ดูทั้งหมด สัญญา) เริ่มจากเพลงแรก Tim McGraw ตอนสมัยน้องเขายังเป็นเด็กสาวอายุ 14 ใส ๆ หวาน ๆ แต่ด้านล่างเป็นรองเท้าบูตคาวบอยฮี้ฮ่ออยู่เลยจ้า

หรือจะเอาแบบเจ้าหญิงเจ้าชายฟรุ้งฟริ้งฝันหวาน ก็ต้อง Love Story เพลงนี้เพคะ

เรื่องมันมาเริ่มเข้มข้นตรงวิดีโอยอดวิว 1.5 พันล้านเพลงนี้ค่ะ You Belong With Me

ลำพังตัววิดีโอเองก็น่าเอ็นดูตามประสาหนังรักวัยรุ่นบวก ซินเดอเรลล่า หน่อย ๆ แต่ที่มันกลายเป็นมิวสิกวิดีโอเพลงคันทรีที่มียอดวิวสูงที่สุดในโลก ก็เพราะได้รับรางวัล Best Female Video จาก MTV แล้วตอนที่เทย์เลอร์ขึ้นไปรับรางวัล ก็มีมาร… เอ๊ย คานเย ขึ้นมาทำแบบนี้ค่ะ

นึกนะคะว่าตอนนั้นเทย์เลอร์เพิ่งอายุ 19 ส่วน Kanye West อายุ 32 คนหนึ่งเป็นนักร้องเด็ก ๆ เพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียง ส่วนอีกคนกำลังเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเพลง ลำพังพฤติกรรมโฉด ๆ แบบนั้น ทำกับใครก็รับไม่ได้พออยู่แล้ว นี่มันยิ่งเป็นอภิมหาบูลลี่ที่ผู้ชายซึ่งมีอำนาจในวงการ เดินอุกอาจขึ้นมาฉีกหน้าเด็กผู้หญิงต่อหน้าคนทั้งโลก 

ที่เจ็บปวดยิ่งกว่า คือเทย์เลอร์มาให้สัมภาษณ์ภายหลังจากนั้นอีกเป็นสิบปีว่า ในวินาทีนั้นเธอคิดว่าเสียงโห่กึกก้องลั่นหอประชุมเป็นเสียงโห่ไล่เธอ (ทั้งที่ความเป็นจริงคือทุกคนโห่ก่นด่าพฤติกรรมชั่วช้าของอิคานเยต่างหาก) เห็นเทย์เลอร์ยืนหน้าเสีย ไปต่อไม่ถูกกลางเวทีตามลำพังในวันนั้นแล้ว มันช่างปั่นป่วนในท้องแทนจนบอกไม่ถูก เป็นเราคงโคตรของโคตรของโคตรอาย

แต่โชคดีที่เทย์เลอร์ไม่ได้แทรกแผ่นดินหนีไปแอบร้องไห้อยู่ในมุมไหนมุมหนึ่งของโลก เธอกลับมีแรงผลักดันที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ให้คนรู้ว่าเธอมีฝีมือ และมีที่ยืนในวงการเพลงด้วยความสามารถและผลงานการแต่งเพลงของตัวเอง

เทย์เลอร์ยังรู้ด้วยว่าอายุของนักร้องคนหนึ่งไม่ยาวนัก เหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าวงจรของค่ายเพลงคือเอาเด็กสาว ๆ อายุน้อย ๆ มาปั้นจนดัง แต่พอเด็กคนนั้นเรียนรู้ เริ่มมีประสบการณ์และเข้าใจวงการ อายุใกล้ 30 ค่ายเพลงก็เขี่ยทิ้ง แล้วไปหาเด็กสาวคนใหม่มาปั้นแทน หรือค่ายเพลงอื่น ๆ เห็นว่าเธอดัง ก็พยายามสร้างนักร้องใหม่ ๆ มาแข่ง

เทย์เลอร์บอกว่าตัวเองจะไม่ยอมถูกแทนที่ ทางเดียวที่เธอจะทำได้ ก็คือต้องเปลี่ยน Positioning ไปเรื่อย ๆ เหมือนเป็น Moving Target คือปรับตัวตลอดเวลา ให้คนจับไม่ได้ว่าจะก๊อบปี้ยังไง จากเจ้าหญิงคันทรี เธอเลยเริ่ม Transition มาสู่การเป็นราชินีป๊อป แล้วเอาเข้าจริง ถ้าเราลองกลับไปฟังเพลงเก่า ๆ แค่เอาแบนโจกับลูกเอื้อนคันทรีออก แกนของเพลงก็ไม่ได้ต่างจากเพลงป๊อปยุคหลัง ๆ ของเทย์เลอร์เท่าไหร่นักหรอกนะ

เมโลดี้เพราะ ๆ ติดหู เริ่มปรากฏชัดราว ๆ อัลบัม Red อย่างในเพลง I Knew You Were Trouble

และ 22

แต่ที่อยากให้ดูจริง ๆ คือเพลงนี้ค่ะ We Are Never Ever Getting Back Together เพราะว่าวิดีโอนี้ถ่ายแบบ One-camera, One-shot, No-editing-involved คือเทกเดียวรวด ดูเพลินและแอบทึ่งว่าเปลี่ยนชุดได้ไงไวแบบนี้ อ๋อใช้ทีมเปลี่ยนเสื้อผ้าในคอนเสิร์ตนี่เอง ซ้อมอยู่ 4 หนก็ถ่ายจริง ขอปรบมือให้ผู้กำกับและทีมงาน มันเป๊ะมาก

แล้วที่บอกไปตอนต้นค่ะ ว่าน้องเทย์ฯ แกกำกับมิวสิกวิดีโอเองด้วย (ตั้ง 13 เพลง) มีงานที่อุ้มชอบหลายชิ้นมาก แต่อยากเลือกมาให้ดูแบบที่น่ารักปนเสียดสีขำขัน เพราะตัวจริงเทย์เลอร์ก็เป็นคนแบบนี้แหละ ดูสวย ๆ หวาน ๆ แต่จริง ๆ แล้วแอบแสบซ่า ร้ายนิด ๆ ด้วย อย่างเพลง You Need To Calm Down มีเหล่า Queer Eye และ Katy Perry มาเล่นด้วย น่ารักมากเลย

ส่วนเพลง The Man นี่ต้องดูไปจนจบแล้วจะร้องเฮ้ย…

และสุดยอดงานกำกับของเทย์เลอร์ ก็ต้องเป็นหนังสั้นสำหรับเพลง All Too Well เวอร์ชัน 10 นาทีชิ้นนี้ค่ะ 

อย่าเพิ่งเหนื่อยนะคะ เพราะว่าอุ้มกำลังจะพูดถึงยุคทองมิวสิกวิดีโอของเทย์เลอร์ที่กำกับโดย Joseph Kahn ไม่ว่าจะเป็นงานที่ Stylized มาก ๆ อย่าง Blank Space ไปจนเวอร์ชัน Sci-fi ในเพลง …Ready For It?

แต่งานที่อุ้มชอบที่สุด ดังที่สุด มีคนดูมากที่สุดในวดีโอที่ Joseph Kahn กำกับ (1.5 พันล้านวิว) คือเพลง Bad Blood เพลงนี้ค่ะ ดูดี ๆ จะเห็นว่ามีตัวแม่ในวงการมาปรากฏตัวให้ช็อกเล่นเต็มไปหมด และดูสนุกมากกกกจริง ๆ ขอบอก อ้อ เพลงนี้ได้รางวัล GRAMMY Awards สาขา Best Music Video ด้วยล่ะ ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เนอะ เพราะทำดีจริง ๆ

ดูมาจนถึงตอนนี้ จะเห็นว่าน้องเทย์ฯ แกมาไกลมากจริง ๆ จากจุดเริ่มต้น แต่สิ่งหนึ่งเลยที่อุ้มคิดว่าไม่เคยหายไป คือความเป็นนักเล่าเรื่อง และเป็น Wordsmith เรียกเป็นไทยว่าอะไรดี ช่างคำ ไหม คือมีทักษะในการใช้ภาษาสูงมาก ลองมาดูท่อนหนึ่งของเพลง Anti-Hero ดูก็ได้ค่ะ

Did you hear my covert narcissism I disguise as altruism

Like some kind of congressman? (Tale as old as time)

I wake up screaming from dreaming

One day I’ll watch as you’re leaving

And life will lose all its meaning

(For the last time)

It’s me, hi, I’m the problem, it’s me (I’m the problem, it’s me)

At tea time, everybody agrees

I’ll stare directly at the sun but never in the mirror

It must be exhausting always rooting for the anti-hero

เธอได้ยินความหลงตัวเองที่ฉันพรางไว้ในร่างคนใจบุญนั้นไหม

ดูไม่ต่างอะไรกับนักการเมือง (เป็นเรื่องฟังแล้วก็ฟังอีก)

ฉันตื่นขึ้นมาร้องตะโกน

เพราะฝันว่าเห็นเธอเดินจากไป

และทำให้ชีวิตสิ้นไร้ซึ่งความหมาย

(เป็นครั้งสุดท้าย)

เป็นฉันเอง ใช่ ฉันนี่แหละคือตัวปัญหา

ในเวลาน้ำชา ทุกคนต่างก็เห็นงาม

ฉันจ้องตรงไปยังดวงอาทิตย์ แต่ไม่เคยแม้ส่องดูเงาในกระจก

น่าเหนื่อยแท้ที่เราเอาแต่สนับสนุนพวกคนเห็นแก่ได้

คนที่จะเขียนอะไรแบบนี้ได้ แน่นอนว่าต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร เวลา 20 ปีในวงการเพลงที่เต็มไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรด ทำให้เทย์เลอร์บอบช้ำและกร้านโลกขึ้นมาก

เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตเธอ ไม่ได้หยุดอยู่แค่บนเวที MTA Awards ในวันนั้น แต่มหากาพย์คานเย-เทย์เลอร์ ยังคงดำเนินต่อ 5 ปีต่อมา ในปี 2016 คานเยโทรศัพท์มา ‘ขอ’ เอาเทย์เลอร์ไปใส่ไว้ในเนื้อเพลงใหม่ที่ฮีกำลังแต่งอยู่ แล้วอ้างว่าเทย์เลอร์ตกลง เขาปล่อยเพลง Famous ออกมาโดยมี 2 บรรทัดนี้อยู่ในนั้นค่ะ

I feel like me and Taylor might still have sex

Why, I made that bitch famous (Goddamn)

I made that bitch famous

อ้าปากค้างไปตาม ๆ กันใช่ไหมคะ แล้วลองนึกว่าคุณเป็นเทย์เลอร์ วันหนึ่งตื่นขึ้นมา มีนักร้องดังอันดับต้น ๆ ของประเทศตอนนั้น เรียกคุณว่า Bitch ออกอากาศ แล้วคนอีกเป็นแสนเป็นล้าน ก็ตะโกนรับเรียกคุณว่า Bitch ๆๆๆ ความสำเร็จที่คุณได้มา ถูกไอ้หมอนี่มาประกาศว่า กูกับเทย์เลอร์จะเอากันก็ยังได้ ทำไม… ก็กูนี่ล่ะเป็นคนทำให้อีสัตว์นั่นดังขึ้นมา (แม่งเอ๊ย) กูนี่ล่ะทำให้อีสัตว์นั่นดังขึ้นมา

กักขฬะแท้

แต่มันไม่จบแค่นั้น เทย์เลอร์พยายามออกมาบอกว่า คานเยแค่บอกเธอเรื่องประโยคแรก แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องจะเรียกเธอว่า Bitch วาระที่เธอพูดไว้แรงที่สุด คือตอนที่เธอขึ้นไปรับรางวัล Album of the Year (จากอัลบัม 1989) ที่งาน GRAMMY Awards ในปีเดียวกันนั้น

ร้อนถึงลิ่วล้อคนสำคัญของคานเย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Kim Kardashian เมีย (ในตอนนั้น) ของฮีนี่เอง เธอรีบปล่อยวิดีโอที่แอบอัดไว้ตอนคานเยกับเทย์เลอร์คุยกัน ฟังดูเหมือนกับว่าจริง ๆ แล้วเทย์เลอร์ตอบตกลง (4 ปีให้หลัง เรื่องถึงมาแดงว่าสองผัวเมียเอาวิดีโอมาตัดต่อเพื่อโกหกทุกคน)

สังคมที่พร้อมกระหน่ำซ้ำเติมไม่รอช้า พากันแคนเซิลและเรียกเทย์เลอร์ว่า Snake หรือนังตอแหล แฮชแท็ก #snake และ Meme รวมทั้ง Hate Speech ถาโถมเข้าใส่ จนเทย์เลอร์กระเด็นออกจากกระดาน ประหนึ่งอาชีพการงานถูกกระชากไปจากมือ สภาพจิตใจเธอดิ่งลงถึงขีดสุด จนต้องหนีออกนอกประเทศไปเช่าบ้านอยู่ที่อื่นเป็นเวลา 1 ปีเต็ม หายไปจากสังคม จากโซเชียลมีเดีย ไม่มีใครได้ข่าวเธออีกเลย

จนกระทั่งเธอออกอัลบัม reputation ที่ปะผุไปด้วยเพลงแรง ๆ ขื่น ๆ อย่าง Look What You Made Me Do, …Ready for It? และ Delicate (2 เพลงแรกกำกับโดย Joseph Kahn ส่วน Delicate เทย์เลอร์กำกับเอง)

ดูไปจนจบจะเห็นความพยายามในการทำลาย Identity เดิม ๆ เอาตัวเองมาล้อเลียน ด่ากันนักใช่ไหม นี่ไง จะทำทุเรศทุรังให้ดูมันเสียเลย อุ้มดูแล้วรู้สึกว่ามันมีทั้งความตลกร้ายและเศร้าปน ๆ กันอยู่

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็มาสู่เทย์เลอร์อีกครั้ง เมื่อเธอย้ายสังกัด จาก Big Machine Records มาอยู่กับ Republic Records แล้วออกอัลบัมแรกคือ Lover เมื่อปี 2019

อยู่ดี ๆ ค่ายเก่าก็ขายแค็ตตาล็อกงานเพลงมูลค่า 140 ล้านเหรียญของเธอให้กับค่าย Ithaca Holdings ซึ่งมีหัวเรือใหญ่คือ Scooter Braun ซึ่งเป็นซี้เก่าของคานเย! 

ผลพวงจากดีลนั้น ทำให้มาสเตอร์และลิขสิทธิ์เพลงทั้ง 6 อัลบัมแรกไปตกอยู่ในมือของสกูตเตอร์ แม้แต่เทย์เลอร์ยังเอาเพลงที่ตัวเองแต่งกับมือมาร้องในที่สาธารณะไม่ได้ และหากมีใครจะเอาเพลงของเธอไปใช้ คนที่ได้เงินทั้งหมดคือสกูตเตอร์ เทย์เลอร์จะไม่ได้อะไรสักแดงเดียว

เป็นคนอื่นคงร่ำไห้กับชีวิตที่เจอเรื่องห่วยแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เทย์เลอร์ไม่ยอมแพ้ และโฟกัสพลังงานของเธอไปที่การหาทนายมาดูสัญญาและข้อกฎหมาย ควบคู่ไปกับการโพสต์ข้อความอธิบายผ่าน Tumblr และ Rally ให้แฟน ๆ ของเธอช่วยกันกดดันขุดคุ้ยสกูตเตอร์ ใช้ตัวเองเป็นกรณีตัวอย่าง เพื่อต่อสู้แทนศิลปินทุกคนที่ถูกกระทำในลักษณะเดียวกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับผู้มีอำนาจและเงินในวงการธุรกิจ เทย์เลอร์พยายามทุกหนทาง แต่ก็ยังดูเหมือนจะไม่ได้งานของตัวเองกลับคืนมา

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ถูกจุดโดย Kelly Clarkson เพื่อนศิลปินหญิงของเทย์เลอร์ ในทวีตนี้ค่ะ

ฟังครั้งแรกอาจดูเป็นไปได้ยากใช่ไหมคะ แต่เทย์เลอร์กล้าและบ้าพอที่จะทำค่ะ หลังจากออกอัลบัมมาอีก 2 ชุดในช่วงโควิด (folklore กับ evermore) ปี 2021 เธอก็ปล่อย fearless กับ Red (Taylor’s Version) ออกมา กลับไปทำอัลบัมที่ตื๊ดมากออกมาอีกหนึ่ง (Midnights) แล้วก็ปล่อย Speak Now กับ 1989 (Taylor’s Version) ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ปล่อยแบบไม่ธรรมดาด้วยจ้า อย่างอัลบัม 1989 มีให้เลือกสะสมตั้ง 11 แบบ ไวนิลสีเขียว เหลือง ฟ้า มีแคสเซ็ตเทปด้วยอ้ะ! 

ผลก็คือทุกอย่างขายเกลี้ยงตั้งแต่เปิดตัวบนเว็บไซต์ จะเหลือเหรอ รับรองได้เลยว่าคนที่บ้าจริง ๆ ต้องซื้อเก็บหลายสีแน่ ๆ

คือขยันมาก แรงเยอะมาก และมีหัวการค้ามากด้วย!

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าของไม่ดีจริง จะหีบห่อน่าซื้อยังไงก็ไม่มีทางขายเกลี้ยงแผงแบบนี้หรอก จริงไหมคะ ที่แทบทุกอัลบัมของเทย์เลอร์ขายดีและฮิตติดอันดับต้น ๆ บนบิลบอร์ดเป็นเดือน ๆ เพราะเพลงของเธอถูกใจทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น วัยทำงาน วัยเกษียณ ขนาดเพื่อนผู้ชายบางคนที่อุ้มรู้จัก หน้าตานี่อย่างหมี แต่เพลงโปรดคือ seven ไรงี้ ได้ยินแล้วเอ็นดู๊เอ็นดู

บางคนอาจมีพรสวรรค์ มีรสมือทำกับข้าวเก่งอะไรแบบนี้ใช่ไหมคะ แต่พรสวรรค์ของเทย์เลอร์คือแต่งเพลงเพราะ! คืออย่างน้อยต้องมีท่อนฮุกที่ฟังแล้วร้องตามได้ทันที หรือไม่ก็เพราะฟังครั้งแรกน้ำตาแทบไหลอย่าง This Love

แล้วอย่างสุดท้ายที่จะบอก คือเทย์เลอร์มีรสนิยมการฟังเพลงที่ดีด้วย ดูจากคนที่เธอเลือกมา Featuring แต่ละคน อย่าง Brendon Urie ในเพลง ME! หรือ Ed Sheeran ในเพลง Everything Has Changed

และ 2 คนนี้!!! คนแรกคือข้าพเจ้ารักมากกกกกก Gary Lightbody จากวง Snow Patrol ในเพลง The Last Time

กับสวดยอดเจ้าพ่ออินดี้โฟล์ก Justin Vernon (Bon Iver) ในเพลง exile ซึ่งอุ้มถือว่าเป็นที่สุดของที่สุดของที่สุดแห่งการดูเอ็ต ประวัติศาสตร์หน้านี้โลกต้องจำ!

แล้วลองดูเรนจ์เสียงของแต่ละคนสิคะ สูงปรี๊ดปรอทแตกอย่างเบรนด้อน หรือต่ำแบบจัสตินที่ลูกกระเดือกจะหล่นไปอยู่ในปอดอยู่แล้วน่ะ แสดงให้เห็นว่าเสียงเทย์เลอร์เองก็กว้างมาก ใครเคยพยายามร้องตามจะรู้ว่าไม่ได้ร้องง่ายเลย (แต่อุ้มก็เอากีตาร์มานั่งเล่นอยู่ทุกวันนะ ลูก ๆ ส่ายหัวเป็นพยาน)

การเขียนถึง Taylor Swift นั้น อุ้มรู้สึกว่าเป็นน้อง ๆ ตาบอดคลำช้างกันเลยทีเดียว เพราะว่าเรื่องมันเยอะมาก และไม่ว่าเธอจะขยับตัวทำอะไรก็อยู่ในสายตาประชาชี มีบทสัมภาษณ์ TikTok คลิปโน้นนี้เยอะแยะไปหมด แต่อุ้มเลือกมาเล่าเฉพาะผลงานจริง ๆ และจะเข้าใจผลงานเทย์เลอร์ก็ต้องเข้าใจเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในชีวิตเธอด้วย

อุ้มอยากจะจบบทความนี้ด้วยการบอกว่า Taylor Swift เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และมนุษย์คนสำคัญที่เธอต่อสู้เพื่อ ก็คือตัวเธอเอง โชคดีที่เธอเป็นนักเล่าเรื่อง เรื่องของเธอจึงเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง สร้างแรงผลักดันให้คน โดยเฉพาะผู้หญิง ไม่ยอมจำนนต่ออุปสรรคและการย่ำยี เทย์เลอร์คือคนที่ฮึดสู้ทำงานแม้ขณะเดียวกันต้องลุยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก จนเธอมาถึงอีกฝั่ง และกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ขึ้นปก TIME ในฐานะ Person of the Year ถึง 2 ครั้ง

นี่คือคนที่สร้างแรงสั่นสะเทือน (จริง ๆ) อันวัดได้เป็นแผ่นดินไหวขนาด 2.3 แมกนิจูดที่ซีแอตเทิล ตอนเธอไปเล่นคอนเสิร์ต The Eras Tour เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และคือคนที่เพียงแค่ทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาไม่กี่เดือนก็ดึงเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศได้ถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ! (350,000 ล้านบาท! แม่เจ้า)

อ้อ ขอเฉลยว่าเทย์เลอร์ทั้งร้องทั้งเต้น 3 ชั่วโมงได้ยังไงไม่หยุด เธอซ้อมวิ่งบนสายพานแล้ว ร้องทุกเพลงในคอนเสิร์ตไปด้วยตามเวลาจริง! เพลงช้าวิ่งเหยาะ ๆ เพลงเร็ววิ่งเต็มที่ ทำแบบนี้ 6 เดือนก่อนเริ่มทัวร์

ไม่รักก็ต้องเคารพน้องเขานะ วินัยกับพรสวรรค์มันต้องมาคู่กันถึงจะประสบความสำเร็จแบบนี้แล

Writer

สิริยากร พุกกะเวส มาร์ควอร์ท

สิริยากร พุกกะเวส มาร์ควอร์ท

อดีตนักแสดงและพิธีกร จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้ายมาเป็นพลเมืองพอร์ตแลนด์ ออริกอน ตั้งแต่ปี 2012 ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูกสองของน้องเมตตาและน้องอนีคา เธอยังสนุกกับงานเขียนและแปลหนังสือ รวมทั้งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในเมืองนอกกระแสที่ชื่อพอร์ตแลนด์