ธุรกิจครอบครัวหลายแห่งกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ถ่ายเลือดผู้บริหารไปสู่รุ่นใหม่ 

หากใครรักษาสิ่งดี ๆ ของคนรุ่นก่อน และหาทางต่อยอดให้ไปไกลกว่าเดิมย่อมได้เปรียบ   

หนึ่งในครอบครัวที่ทำสิ่งนี้ได้ และเราอยากแนะนำให้รู้จักคือครอบครัวพะเนียงเวทย์ ผู้บริหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ขายดีที่สุดในประเทศ ในนาม บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต ‘มาม่า’ ที่เรารู้จักกันดี 

น้อยครั้งที่ครอบครัวนี้จะเล่าเคล็ดลับการส่งต่อความสำเร็จภายในครอบครัว ทั้งในแง่การทำงานและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจล้วนปรารถนาให้เกิดขึ้น

การรักษาสิ่งดี บวกกับการจัดการที่เป็นระบบ จะทำให้ทุกครอบครัวสานต่อได้สำเร็จ

 

ปัจจุบันไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ส่งบะหมี่ออกไปกว่า 68 ประเทศ มีโรงงานในประเทศไทย 5 โรงงานและโรงงานในต่างประเทศอีก 4 ประเทศ

พจนา พะเนียงเวทย์ ได้รับความไว้วางใจจากคุณพ่อ พิพัฒ พะเนียงเวทย์ ให้พจนามาดูแลการส่งออกบะหมี่ไปยังต่างประเทศ เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ

ด้วยความสามารถในการสื่อสาร พิพัฒจึงให้พจนามาดูแลการส่งออกบะหมี่ในทุกประเทศ พจนาเล่าว่า วัยเด็กคุณพ่อดูแลลูกอย่างเข้มงวด แบ่งเวลาให้ลูกเรียนและฝึกทักษะด้านต่าง ๆ เช่น กีฬา ดนตรี โดยทำเป็นตารางเวลากิจกรรมกำแพงที่บ้านอย่างชัดเจน 

ฟังดูคร่ำเครียด แต่พจนาเล่าว่าวิธีนี้ทำให้เธอรู้จักการแบ่งเวลา ฝึกฝนการลงมือทำจริง ซึ่งสิ่งนี้ต่อยอดมาสู่ลูกของเธอด้วย

กรุงศรีและมาม่า เบื้องหลังการผลักดันบะหมี่ไทยให้เป็น Soft Power ด้วยความเป็นครอบครัว

การทำงานด้านส่งออก ต้องพบปะคนหลากหลายแบบ สิ่งสำคัญที่เธอยึดถือ คือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ประหนึ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน

“ความเป็นครอบครัวมีค่า” พจนาเล่า “การสร้างความไว้วางใจ เชื่อใจสร้างยาก แต่ถูกทำลายง่ายมาก”  

พิพัฒสอนพจนาเสมอว่า ลูกค้าและพนักงานทุกคนคือครอบครัวเรา ต้องดูแลเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเจอปัญหาแบบใด หากทำงานด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ไว้เนื้อเชื่อใจ ย่อมเอาชนะอุปสรรคไปได้ด้วยดี

การที่พจนามองลูกค้าเหมือนคนในครอบครัว ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังช่วยให้เธอเข้าใจบริบทของการทำธุรกิจมาม่าต่างประเทศยิ่งขึ้น นำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ

กรุงศรีและมาม่า เบื้องหลังการผลักดันบะหมี่ไทยให้เป็น Soft Power ด้วยความเป็นครอบครัว

หากจะส่งต่อความสำเร็จให้ทายาท 

เจ้าของธุรกิจครอบครัวก็ควรเข้าใจว่าแก่นของธุรกิจนั้นคืออะไร

พจนาเริ่มเข้ามาทำงานกับมาม่าตอนอายุ 25 ปี แต่ลูกของเธอ กมลพรรณ เลิศประภาพงศ์ ทำงานขายบะหมี่เร็วกว่านั้นอีก

สมัยเรียนมัธยมต้นในต่างประเทศ กมลพรรณสังเกตว่าในโรงอาหารโรงเรียนมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้ออื่นขายอยู่ 

เธอติดต่อไปหาแม่ ขอเอามาม่ามาขายในโรงเรียนบ้าง ทำโปสเตอร์ขายด้วยตัวเอง เอาไปแปะในโรงอาหาร นั่นคือการขายบะหมี่ส่งออกครั้งแรกสำหรับทายาทรุ่นสาม

ปัจจุบันกมลพรรณเข้ามาเริ่มทำงานคนละแผนกกับแม่ คือดูด้านการลงทุนใหม่ ๆ แต่ยังไม่ละงานฝั่งการส่งออกที่เธอขอมาดูบางประเทศในเอเชีย สิ่งหนึ่งที่เธอทำต่างจากรุ่นสองคือการริเริ่มลงทุนในสตาร์ทอัพโดยไม่จำกัดแค่ในด้านอาหาร และการทำโปรเจกต์กับบริษัทระดับสากล

ในช่วงเริ่มต้น กมลพรรณลงทุนกับกองทุนที่เกี่ยวกับนวัตกรรม (Innovation) ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จากนั้นต่อยอดมาใช้บริการ KRUNGSRI PRIVATE BAKING ที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคลซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเข้ามาดูแล 

กรุงศรีและมาม่า เบื้องหลังการผลักดันบะหมี่ไทยให้เป็น Soft Power ด้วยความเป็นครอบครัว
กรุงศรีและมาม่า เบื้องหลังการผลักดันบะหมี่ไทยให้เป็น Soft Power ด้วยความเป็นครอบครัว

หากจะมองภาพรวมธุรกิจครอบครัววันนี้ให้แจ่มชัด สถาบันการเงินคือองค์กรที่สะสมความรู้และข้อมูลที่น่าสนใจเยอะมาก

วิน พรหมแพทย์, CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธของธนาคารกรุงศรีเล่าว่า พจนาและกมลพรรณคือตัวอย่างลูกค้าที่กำลังสะท้อนเทรนด์โลกวันนี้

เทรนด์ที่ว่า คือหนึ่ง การมีลูกค้าไทยอยู่ต่างประเทศมากขึ้น กล้าลงทุนต่างประเทศมากขึ้น 

สอง ลูกค้าไทยและทั่วโลกที่เป็นบุคคลทั่วไป กล้าลงทุนในสินทรัพย์แบบ Private มากขึ้น 

และสาม เกิดการส่งต่อความมั่งคั่งระหว่างรุ่น Baby Boomer และ Gen X สู่ Gen Y และ Gen Z มากขึ้น

“สังเกตว่าเวลาจัดกิจกรรมหรือเสวนาของ KRUNGSRI PRIVATE BANKING รุ่นพ่อจะเริ่มพารุ่นลูกและหลานมาฟังเอาความรู้ หลายท่านพูดตรง ๆ เลยว่าอยากให้ลูกมาเรียนรู้ เพื่อให้เตรียมตัวที่จะดูแลความมั่งคั่งต่อจากรุ่นพ่อแม่” วินเล่า

คำถามคือจากเทรนด์นี้ KRUNGSRI PRIVATE BANKING ต่อยอดอย่างไร เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่สนใจการรักษาความมั่งคั่ง และสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจคู่ค้า

จุดแข็งของ KRUNGSRI PRIVATE BANKING คือการที่มีบริษัทแม่อย่าง MUFG ซึ่งมีเรตติ้ง Triple A จึงสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังมีทีม Krungsri Investment Intelligence คอยรวบรวมข้อมูลและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญทั้งระดับประเทศและระดับโลกใน Krungsri Group 

ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มนี้เปรียบเสมือน Avengers ด้านการลงทุน ประกอบไปด้วยทีมวิจัยกรุงศรี เชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาคและภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทีมงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ มีฐานข้อมูลและเข้าใจความเคลื่อนไหวของค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยอย่างลึกซึ้ง ทีมงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนและบริษัทหลักทรัพย์ในเครือกรุงศรี เชี่ยวชาญการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สุดท้ายคือมีพันธมิตรอย่าง BlackRock บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลกที่มีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

คลังข้อมูลเหล่านี้ทำให้บริษัทกลั่นออกมาเป็นคำแนะนำด้านการลงทุน ช่วยปรับพอร์ตการลงทุนของลูกค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาด ที่สำคัญคือกระจายข้อมูล ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ไปในทิศทางเดียวกันได้แบบเป็น Single Message เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

ด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และองค์ความรู้ด้านการลงทุนดังกล่าว ทำให้ KRUNGSRI PRIVATE BANKING ออกแบบคำแนะนำและคัดสรรผลิตภัณฑ์ลงทุนครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ตอบโจทย์พฤติกรรมการลงทุนของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ทั้งการลงทุนต่างประเทศ หุ้นต่างประเทศ สินทรัพย์ที่เป็นตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Products) หรือบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ รวมไปถึงสินทรัพย์แบบ Private ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 – 3 กอง และจะยังพัฒนาต่อไปในอนาคต 

ในแง่ของการบริการ KRUNGSRI PRIVATE BANKING เริ่มคำนึงถึงการลงทุนในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในรุ่นสองและสามมากขึ้น 

คนกลุ่มนี้จะสนใจการลงทุนมากกว่าคนรุ่นก่อน ทำการซื้อขายได้ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เพียงอยากได้ความสะดวกในการซื้อขาย ทีมผู้จัดการการเงินส่วนบุคคล (RM) จะต้องให้ข้อมูลได้อย่างครบถ้วน รอบด้าน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

การรักษาสิ่งดี ๆ ของคนรุ่นก่อน และหาทางต่อยอดให้ไปไกลกว่าเดิม ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในวงการธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปอีกหลายศาสตร์

โลกปัจจุบัน หลายครอบครัวกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านรุ่น หากใครส่งต่อปณิธานและแนวคิดของคนรุ่นก่อนได้ดีย่อมได้เปรียบ โตต่อไปได้อย่างยั่งยืน 

ปี 2024 มีหลายปัจจัยผันผวนต่อเศรษฐกิจโลก ไม่แปลกถ้าคนทำธุรกิจจะเผชิญช่วงเวลายากลำบาก

หากคุณทำธุรกิจแนวนี้ รู้สึกว่างานตัวเองถึงทางตันและอยากหาทางออกด้วยการไปต่างประเทศ

มีอยู่ 2 ข้อที่คุณควรคิด คือจะสานต่อความรู้จากธุรกิจครอบครัวอย่างไร และควรหาใครเป็นที่ปรึกษาเพื่อฝ่าคลื่นลมนี้ให้รอดพ้นไปได้ด้วยดี

จะทำอย่างไรถึงจะสานต่อความรู้ ปณิธาน และปัญญาของคนรุ่นก่อนสู่รุ่นใหม่

นี่จะเป็นจุดหักเหสำคัญในการวัดว่าธุรกิจครอบครัวใดจะรักษาจิตวิญญาณให้เข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของโลกไปได้

กรุงศรีและมาม่า เบื้องหลังการผลักดันบะหมี่ไทยให้เป็น Soft Power ด้วยความเป็นครอบครัว

Writer

ศิวะภาค เจียรวนาลี

ศิวะภาค เจียรวนาลี

บรรณาธิการที่ปั่นจักรยานเป็นงานหลัก เขียนหนังสือเป็นงานอดิเรก

Photographers

Avatar

นินทร์ นรินทรกุล ณ อยุธยา

นินทร์ชอบถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ซื้อฟิล์มให้ไม่ยั้ง ตื่นเต้นกับเสียงชัตเตอร์เสมอต้นเสมอปลาย เพื่อนชอบชวนไปทะเล ไม่ใช่เพราะนินทร์น่าคบเพียงอย่างเดียวแน่นอน :)

Avatar

เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

ปัจจุบันกำลังหัดนอนก่อนเที่ยงคืน