‘เกาะโซโคตรา’ ตั้งอยู่ในทะเลอาหรับ มหาสมุทรอินเดีย ในอาณาเขตการปกครองของประเทศเยเมน ห่างจากแผ่นดินใหญ่ประมาณ 380 กิโลเมตร และทางด้านตะวันตกของเกาะก็ห่างจากคาบสมุทรโซมาเลีย (Somalia Peninsula) ประมาณ 80 กิโลเมตร โดยมีพื้นที่บนเกาะทั้งหมดประมาณ 3,625 ตารางเมตร มีแนวเทือกเขาทอดยาวตั้งแต่บริเวณกลางเกาะไปจนถึงด้านทิศตะวันออกของเกาะ ซึ่งสร้างภูมิทัศน์ที่แปลกตาและหลากหลายให้กับเกาะแห่งนี้ 

เกาะนี้จัดว่าแปลกประหลาดที่สุดในโลก ทั้งในเรื่องภูมิประเทศ และเป็นที่ตั้งของพืชที่มีรูปร่างแปลกตา ชื่อว่า Dragon’s Blood Tree อีกด้วย แต่การไปนั้นไม่ง่ายเลย แม้ว่าเกาะแห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยเมนแท้ ๆ

ตอนนี้เยเมนโดนแทรกแซงอย่างหนักโดยรัฐบาล UAE ที่เข้ามากดดันการท่องเที่ยวในช่วงที่รัฐบาลอ่อนแออย่างหนัก ตอนนี้จึงไม่มีเที่ยวบินจาก Seiyun มายังที่นี่ได้เลย

DAY 1

เราเดินทางออกจากประเทศเยเมนโดยนั่งเครื่องบินกลับไปที่ประเทศอียิปต์ และเดินทางต่อไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อที่เราจะได้เดินทางไปยังเกาะโซโคตรา 

Air Arabia คือหนึ่งในสายการบินที่ให้บริการไปยังเกาะโซโคตรา บินตรงออกจากสนามบินอาบูดาบีเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็จะได้ยลโฉมเกาะแห่งนี้แล้ว 

เมื่อเดินทางมาถึงสนามบิน ทุกคนก็ลงจากเครื่องและเตรียมเข้าขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองกัน บรรยากาศสนามบินโซโคตราต่างจากสนามบิน Seiyun มาก ที่ชัดเจนเลยก็คือเรื่องการรักษาความปลอดภัย สนามบินที่นี่ไม่ค่อยมีทหารคุม ส่วนมากเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินทั้งนั้น คงเป็นเพราะเกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ไม่ยาก ไม่ต้องขอเอกสารให้ยุ่งยากเลย

หลังจากรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เจอไกด์ที่ติดต่อไว้ก่อนเดินทางมาที่นี่ยืนถือป้ายรอรับอยู่หน้าสนามบิน

ไกด์เริ่มต้นการเดินทางโดยพาพวกเราไปทานอาหารเช้ากัน เขาบอกว่าร้านนี้คือร้านแนะนำ อร่อยทุกอย่าง มื้อเช้ามื้อแรกคือไข่คนและแป้งนาน แม้จะดูธรรมดา แต่บอกเลยว่าพอได้ลองแล้วอร่อยสุด ๆ คงเป็นเพราะเครื่องเทศที่เขาใส่ลงไปด้วยเลยทำให้มีรสชาติที่ดีมาก และได้ทานกับแป้งนานอีกก็ยิ่งลงตัว 

หลังจากนั้นไกด์ก็พาพวกเราไปยังที่พักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากร้านอาหารมากนัก และกำชับว่าให้อยู่แต่ในห้องเท่านั้น ห้ามออกมาเดินกันเองในตอนกลางคืน หรือถ้าต้องการชื้ออะไรในเมือง ต้องเรียกพวกเขาเพื่อรับไปชื้อของด้วยเท่านั้น

ก่อนจะไปสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกของพวกเรา ไกด์พามาทานมื้อเที่ยงที่ร้านเดิมอีกครั้ง มื้อนี้เป็นเมนูไก่ย่าง สลัดผัก แกงมันฝรั่ง และข้าวบาสมาติ เป็นมื้อง่าย ๆ ไกด์บอกว่ากินเยอะ ๆ เพราะวันนี้ต้องไปหลายที่

หลังจากที่ทานข้าวเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินทางกันเลย โดยที่แรก ไกด์จะพาไปยังจุดที่เรือสินค้าล่มมาเกยตื้นริมชายฝั่งของเกาะ 

ไกด์เดินมาบอกว่าจะอยู่ที่นี่กันสักพัก ไปเล่นน้ำกันได้เลย โชคดีที่พวกเราเตรียมขาสั้นมาพอดี เลยขอสัมผัสกับน้ำทะเลในคาบสมุทรอาหรับสักหน่อย เพิ่งได้เห็นน้ำทะเลชัด ๆ สีน้ำเงินมีทั้งเข้มและอ่อน สีสันตัดกันสวยงามมาก หาดทรายเม็ดขาวละเอียด ถ้าสังเกตในภาพ จะเห็นเนินทรายสีขาวอยู่ไกล ๆ นั่นคือจุดหมายชมพระอาทิตย์ของเราในวันนี้ 

บรรยากาศรอบ ๆ เงียบสงบ ไม่มีนักท่องเที่ยว มองดูวิวจากข้างบนชิลล์มาก มองไกล ๆ จะเห็นจุดเรือล่มที่พวกเราเพิ่งผ่านมา ไกด์บอกว่าเนินทรายอันนี้แค่เด็ก ๆ วันสุดท้ายของทริปจะพาไปเนินใหญ่และสูงกว่านี้อีก

DAY 2

เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง ไกด์นัดเวลาทานข้าว 6 โมงเช้า เพราะวันนี้เราต้องเดินทางไปอีกฝั่งของเกาะซึ่งต้องใช้เวลานานหน่อย

หลังจากเดินทางลัดเลาะตามชายหาดมาสักพัก ผ่านหมู่บ้าน ระหว่างที่มองดูชีวิตและวิวข้างทาง ไกด์ก็หยุดรถแล้วบอกว่า “ฉันมีอะไรจะให้ดู พวกคุณเดินขึ้นเนินไปบนนั้นสิ” เมื่อพวกเราเดินขึ้นไป ภาพหาดทรายและทะเลค่อย ๆ ปรากฏขึ้น Qalensiya Beach หาดทรายสีขาวทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา สีน้ำทะเลกระทบกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาสวยสดใสมาก ไกด์บอกว่าในวันที่อากาศแจ่มใสจะมองเห็นชายฝั่งทวีปของเยเมนได้จากที่นี่เลย 

ช่วงบ่าย ไกด์ขับรถมาจอดยังที่พักของพวกเรา คืนนี้เราจะต้องนอนในเต็นท์กัน เมื่อเก็บของเสร็จไกด์จะพาไปเดินเที่ยวถ้ำและพาไปพบกับ Cave Man ซึ่งอยู่ที่ภูเขาลูกนั้นในภาพ

ระหว่างเดินลัดเลาะชายฝั่งไปเรื่อย ๆ เราเจอต้นไม้หน้าตาแปลก ๆ ไกด์เรียกมันว่า ‘Bottle Tree’

ในที่สุดก็เดินมาถึงถ้ำที่กล่าวถึง พวกเราได้พบกับ ‘Cave Man’ หรือบุคคลที่อาศัยอยู่ในถ้ำจริง ๆ ถ้ำแห่งนี้เหมือนเป็นบ้านของเขา มีทั้งที่นอน ครัว ขาดก็แค่ไฟฟ้า เขาใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติทั้งนั้น หาอาหารจากท้องทะเล เดินลงเขาแป๊บเดียวก็เข้าถึงวัตถุดิบแล้ว

ไกด์บอกว่า Cave Man จะทำอาหารให้ทาน เป็นเมนูที่มาจากท้องทะเลนี่แหละ สักพักเขาก็เรียกพวกเราลงจากถ้ำมายังบ่อน้ำทะเลด้านล่าง แล้วบอกว่า “ฉันจะหาวัตถุดิบจากท้องทะเลมาให้พวกเราทานกัน” แล้วเขาก็เดินวนหาสัตว์ทะเลที่อยู่ใต้น้ำไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักเขาก็จับสัตว์ได้หลายตัว ไม่ถึง 30 นาที เขาได้ทั้งปลากระเบน หมึก และหอย มาไว้เตรียมอาหาร

ไม่นานนัก เราก็ได้อาหารมาทาน จานและช้อนเป็นเปลือกหอย น่าตื่นตามาก ๆ อาหารก็อร่อยมาก ต้องขอเติมอีกเลยทีเดียว

หลังออกมาจากถ้ำ เราก็เดินเท้าต่อไปยังอีกด้านหนึ่งของทะเลเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน เราเดินมายัง Detwah Lagoon เป็นทะเลสาบบนชายฝั่ง Socotra ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใกล้กับ Qalansiya ทะเลสาบน้ำเค็มเชื่อมต่อกับอ่าวเอเดน

เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกเราเดินกลับมายังที่พัก ไกด์ได้จัดเตรียมชาและขนมทานเล่นไว้ให้ พอถึงเวลากลางคืน อากาศเริ่มหนาว ไกด์ก็เริ่มก่อกองไฟและจัดเตรียมเต็นท์ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราจะได้นอนเต็นท์ในต่างประเทศ บรรยากาศริมทะเล และที่ประเทศเยเมนอีกด้วย เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากจริง ๆ ในชีวิต

DAY 3

เช้าวันที่ 3 เปิดเต็นท์ออกมาพบกับวิวตรงหน้าคือคาบสมุทรอาหรับอันกว้างใหญ่ บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบมาก เป็นคืนที่ได้นอนหลับเต็มอิ่มเลยทีเดียว

อาหารเช้าง่าย ๆ ของพวกเราคือไข่เจียวและแผ่นแป้งคล้าย ๆ แป้งนาน รสชาติคล้ายแพนเค้ก กินคู่กับครีมชีส น้ำผึ้ง และชาร้อน

วันนี้แพลนของพวกเราต้องล่องเรือไปยัง Sandy Beach ซึ่งระหว่างทาง ถ้าโชคดี เราจะได้เห็นโลมามาต้อนรับ และจะได้ถ่ายรูปตอนพวกมันขึ้นมาเหนือน้ำด้วย 

นั่งเรือมาสักพัก ไกด์ตะโกนเรียกแบบตื่นเต้นว่า นั่นไง ๆ โลมา ถ่ายรูปเลย ณ ตอนนั้นคือโลมาประมาณ 4 – 5 ตัวว่ายตามเรือเร็วของพวกเราพร้อมกระโดดทักทาย 

ไกด์พาไปพักผ่อนเล่นน้ำทะเลที่ Sandy Beach ไม่น่าเชื่อเลยว่าเยเมนจะมีทะเลที่สวยขนาดนี้ น้ำใสและคลื่นสงบมาก ทั้งหาดไม่มีใครเลย ธรรมชาติสดใหม่มาก เป็นการพักผ่อนเล่นน้ำที่ฟินสุด ๆ

พอไปถึง พวกเราเห็นน้ำทะเลสวยมาก เลยหันไปถามไกด์ว่าอยู่ได้นานแค่ไหน ไกด์นิ่งและยิ้ม แล้วตะโกนว่า “Anything you want!!” แล้วไกด์ก็เดินไปนอนพักผ่อนที่เต็นท์และปล่อยให้พวกเราดื่มด่ำกับธรรมชาติไป

หลังจากที่เล่นน้ำทะเล พักผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็นั่งเรือกลับไปที่รถกัน ขับต่อไปสักพักใหญ่ เลาะริมทะเลแล้วก็เปลี่ยนเป็นทางขึ้นเขาเรื่อย ๆ ไม่นานนักเราก็จะเข้าอุทยานแห่งชาติ Homhil แหล่งของต้นไม้ Dragon’s Blood Tree ไฮไลต์สำคัญของเกาะนี้

เริ่มเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่อุทยาน Homhil สภาพแวดล้อมบนภูเขาแห้งแล้ง อากาศร้อนชื้น ดีที่พกน้ำดื่มมาด้วย เดินไปสักพักเราก็ได้เจอกับต้น Dragon’s Blood Tree ปกติจะเห็นตอนอยู่บนรถไกล ๆ รูปร่างต้นไม้แปลกตามาก ทั้งต้นและใบดูแข็งแรงจริง ๆ ขนาดที่ไกด์บอกว่าปีนขึ้นไปถ่ายรูปได้เลย

  จากนั้นเราก็มาชมแคนยอนของเกาะแห่งนี้บ้าง Dirhur Canyon เป็นหุบเขาที่ยิ่งใหญ่มาก และมีต้น Dragon’s Blood Tree อยู่บริเวณนี้เยอะพอสมควร

เป็นการเดินทางที่หนักเอาการ ขับรถขึ้นเขา ลงเขา และเดินขึ้นเขามายังจุดชมวิวต่ออีก เพื่อที่จะได้มาเห็น Dracena cinnabari (Dragon’s Blood Tree) แบบเต็ม ๆ ตา

พอได้เดินทางมาถึงเกาะโซโคตราและมายังป่าแห่งนี้ มันเหมือนเราเพิ่งผ่านเรื่องเศร้าที่เพิ่งได้รับฟังมาจากแผ่นดินใหญ่เยเมน แม้ว่าทุกอย่างในแผ่นดินใหญ่จะหยุดนิ่งเพราะภัยสงคราม แต่ที่นี่กลับมีภาพของการเติบโต เป็นเหมือนวันที่มีแดด อากาศกำลังเย็นสบาย และดอกไม้แข่งกันผลิบาน

จะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่ได้มานอนแคมป์ใต้ต้น Dragon’s Blood Tree ป่าผืนสุดท้ายของโลกที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ Firming Forest วันที่ไปเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงเลยเห็นดวงดาวไม่ชัด รวมทั้งมีเมฆด้วย ถ้าเป็นช่วงที่อากาศดี ๆ ไร้เมฆ แล้วยิ่งมีดาวเยอะ ๆ มุมนี้จะสวยขนาดไหน

DAY 4

เช้าวันที่ 4 เราเดินทางมายัง Hoq Cave ซึ่งเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในเกาะโซโคตรา มีทางเดินลึกหลายกิโลเมตร ภายในถ้ำมีทั้งหินงอกหินย้อยที่สวยงามและน่ามหัศจรรย์ มุมที่เราถ่ายเป็นมุมสวยที่สุดที่จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของปากถ้ำ และมองเห็นวิวได้ถึงทะเลเลย

ข้างนอกถ้ำมีอากาศร้อน แต่พอมานั่งอยู่ข้างในถ้ำจะรู้สึกเย็นขึ้นมาทันที ถ้ามาถูกช่วงเวลาอาจจะเจอค้างคาวที่อาศัยอยู่ในถ้ำด้วย

เราได้เดินชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งของทะเลทรายซาเฮก (Zahaq Sand Dune) และได้ปีนเขาระหว่างเนินทรายไปจนถึงทะเลอีกด้วย ไกด์บอกว่าหากเดิน ๆ อยู่แล้วพบเครื่องปั้นดินเผาโบราณก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เคยอยู่ใต้ทะเลมาก่อน

เรานั่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่ทะเลทรายซาเฮกอยู่นาน ดีใจที่ได้ชมความสวยงามในเย็นวันนี้ก่อนจะถึงวันเดินทางกลับ

วันนี้คือวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับไทย ไกด์บอกว่าวันนี้คือวันสำคัญ เพราะเราจะไปยังที่ที่เป็นสุดยอดของเกาะแห่งนี้

เนินทรายขาวที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะ Socotra อยู่ชิดกับริมหาด เห็นทะเลทอดยาว ส่วนใหญ่คนที่มาจะมาตั้งแคมป์เล็ก ๆ นั่งชิลล์ริมหาดกับดูเนินทรายกัน แต่เราเลือกจะขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกข้างบน ไกด์ให้เลือกว่าจะขึ้นอันไหน มีเล็ก กลาง ใหญ่ เราอยากได้เนินสวย ๆ มุมสูง ๆ เลยเลือกอันใหญ่

สรุปคือเดินขาลาก แต่ก็ไม่ยากเกินไป มีตกหลุมทรายระหว่างทางบ้าง สนุกดี พอขึ้นมาถึงบนเนินได้ วิวคือดีมาก รูปทรงของวิวภูเขาทับซ้อนไปมา เห็นทะเลเต็ม ๆ หน้า และทั้งสองสิ่งอยู่ชิดกัน เป็นช่วงเวลาที่ชวนผ่อนคลายดีมากจริง ๆ

เยเมนเป็นประเทศที่เราไม่เคยคิดว่าจะเดินทางไปเลยในชีวิตนี้ แต่พอได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ จากในทีวี เรื่องความขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนาน เลยอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วประเทศนี้น่ากลัวหรือไม่ และทำให้เราต้องออกไปเดินทางเพื่อไปหาว่าความจริงคืออะไร

หวังว่าบทความนี้จะให้คำตอบแก่ทุกคนได้บ้างนะครับ