ไปทำเลเซอร์ยกกระชับมาค่ะ
แต่ไม่ได้ไปทำให้หน้าตึงแบบที่เขาฮิต ๆ กันนะคะ อุ้มไปทำภายในค่ะ อย่าเพิ่งตกใจ! ภายในที่ว่าคือภายในคอ เพราะนี่เป็นเลเซอร์ที่คลินิกหมอฟัน เพื่อกระชับเนื้อเยื่อคอข้างในให้หายกรนค่ะ
งงกว่าเดิมอีก (หัวเราะ)
ในโลกนี้คงมีคนเดียวที่รู้ว่าอุ้มกรนคือคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ทุกคืนอย่าง พ่อสมคิด ฮีบ่นมานานหลายปีแล้วว่า ยูกรนดังมากกกกกกทุกคืน ดังจนไอนอนไม่หลับ บางทีต้องจับอุ้มพลิกตัว ก็พอช่วยได้บ้าง แต่นาน ๆ เข้า ฮีถึงกับต้องเอาพัดลมมาเปิดเบอร์แรงสุดให้ดังฟู่วว ๆๆๆๆ กลบเสียง อุ้มนี่เป็นพวกชอบห้องนอนเงียบ ๆ แต่จะไปปิดพัดลมของฮีก็มีความกรนเบอร์แรงสุดของตัวเองที่ปิดไม่ได้ค้ำคออยู่ เลยต้องหาฟองน้ำมาปิดหูตัวเอง อิหลักอิเหลื่อจนพาลจะหาเรื่องแยกห้องนอนกันอยู่แล้วเนี่ย
หลายคนคงร้องอุ๊ต๊ะ! ปัญหาเดียวกับบ้านฉันเลย แต่อาจกลับกันตรงสามีเป็นฝ่ายกรน เพราะภาพจำของคนจะเป็นแบบนั้นมากกว่าใช่มั้ยคะ ว่าผู้ชายหรือไม่ก็คนน้ำหนักเยอะ ๆ มักนอนกรน แต่จริง ๆ แล้วผู้หญิงเองก็นอนกรนไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย และหารู้ไม่ว่าผอมกะหร่องอย่างอุ้มนี่ก็ตัวตึงทางนี้กับเขาได้ด้วยเหมือนกัน
งั้นต้องมาคุยกันก่อนค่ะว่าทำไมคนเราถึงกรน
แน่นอนว่าเพศ น้ำหนักตัว การดื่มแอลกอฮอล์ โรคภูมิแพ้หรือไข้หวัด ล้วนมีผลต่อการกรน แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดเสียงดังเวลานอนนั้น เกิดจากสรีระและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อในช่องปากและคอของแต่ละคนค่ะ
รูปข้างบนนี้แสดงให้เห็นถึงเวลาที่ร่างกายของคนเราเข้าสู่ภาวะหลับลึก กล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อน (ตรงที่อยู่หน้าลิ้นไก่) ลิ้น และคอด้านใน จะหย่อนตัวลง จนบางครั้งถึงกับไปปิดทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน บางคนอาจมีกล้ามเนื้อบริเวณนี้ที่หย่อนยานมากกว่าปกติ
ยิ่งช่องลมในคอถูกปิดกั้นมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ต้องยิ่งใช้ความพยายามในการหายใจเข้าออก (ทางปาก) มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทำให้กล้ามเนื้อที่หย่อนเหล่านั้นยิ่งสั่นพั่บ ๆ กลายเป็นเสียงเพลงมโหรีปี่พาทย์ที่ไม่มีใครอยากฟัง
นอกเหนือไปจากสร้างความรบกวนให้คนที่นอนห้องเดียวกัน การกรนยังทำให้เจ้าตัวนอนหลับไม่เต็มที่ ตื่นมาไม่สดใส กลางวันก็ง่วงเหงาหาวนอน หงุดหงิด จำอะไรไม่ค่อยได้ นาน ๆ ไปอาจมีปัญหาความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจตามมา
อีกอย่างที่กอดคอกันมากับอาการกรน คือการหยุดหายใจเวลาหลับ เนื่องจากทางเดินหายใจถูกปิดกั้น หรือที่เรียกว่า Obstructive Sleep Apnea (OSA) ค่ะ ถ้าคุณกรนแล้วมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ก็น่าสงสัยแหละค่ะว่านี่เป็นปัญหาสุขภาพที่ใหญ่กว่าแค่นอนเสียงดังสร้างความรำคาญ อาการที่ว่าก็อย่างเช่น
- มีคนช่วยสังเกตได้ว่าหยุดหายใจขณะนอนหลับ
- ง่วงมากตอนกลางวัน
- ไม่ค่อยมีสมาธิ
- ปวดหัวตอนเช้า
- ตื่นมาเจ็บคอหรือปากแห้ง
- นอนหลับไม่ค่อยสนิท
- บางครั้งสะดุ้งเฮือกตื่นมากลางดึก แล้วเหมือนเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำเพื่อหายใจ
- ความดันโลหิตสูง
- เจ็บหน้าอกตอนกลางคืน
- ถ้าเป็นในเด็ก อาจสมาธิสั้น มีปัญหาด้านพฤติกรรม และผลการเรียนไม่ดี บางทีถึงขั้นถูกวินิจฉัยว่าเป็น ADHD
อุ้มนี่เช็กถูกทุกข้อ ยกเว้นเรื่องความดันโลหิตสูงและ ADHD คือบางทีตื่นมาเฮือก ใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกกลัวตายมากเลย แล้วก็ถึงจุดที่คิดว่า ไม่ได้แล้ว ปล่อยไปแบบนี้ไม่ดีแน่ ต้องทำอะไรสักอย่าง
คือจริง ๆ อาการกรนนี่มีมาตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วนะคะ แล้วก็ไปโรงพยาบาลเพื่อทำ Sleep Study มาแล้วด้วย แต่ปัญหาตอนนั้นคือต้องไปนอนในห้องที่โรงพยาบาล ใส่เครื่องวัด มีสายระโยงระยาง แถมมีพยาบาลเดินเข้าเดินออกมาจดนู่นปรับนี่ ผลคือสิริยากรนอนไม่หลับแม้แต่นาทีเดียว ตื่นทั้งคืนทำลายสถิติมาแล้ว เพราะฉะนั้น ผลมันจะไปใช้ได้อะไร เสียเงินเปล่ามากเลย
แล้วตอนนั้นกะว่าได้ผล Sleep Test มาจะได้เอาไปให้หมอสั่งเครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) มาใส่ตอนนอน เพราะค่อนข้างแน่ใจว่า Apnea แน่ ๆ แต่พอไม่หลับ ผลใช้ไม่ได้ ประกอบกับงานยุ่ง ๆ เลยไม่ได้ตามเรื่องนี้ต่อ
พอมาอยู่สหรัฐฯ อาการกรนมากำเริบหนักมากตั้งแต่ท้อง เมตตา แล้วก็กะว่าจะไปทำ Sleep Study อีกแหละ แต่ไป Sleep Center แล้วเขาบอกว่ามีทางเดียว คือยูต้องเข้ามานอนทำที่ตึกเรา อุ้มรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวก็อีหรอบเดิม แถมอุ้ม Co-sleeping และยังให้นมลูกอยู่ จะทำได้ยังไง เลยลากยาวมาจนมีลูกอีกคน รู้ตัวอีกที อนีคา ก็ปาเข้าไป 7 ขวบ! คือนี่ยอมให้ปัญหานี้เรื้อรังมาเกือบ 20 ปีเชียวนะ!
แล้วมันมาถึงจุดที่ก่อนนอนต้องกอดสมคิด 1 ที คิดในใจว่าพรุ่งนี้ขอให้ตื่นมาเจอกัน อย่าไหลตายไปกลางดึกนะสิริยากร… หนักขนาดนั้นน่ะค่ะ ก็ควรไปจัดการได้แล้วล่ะแม่ ลากมายาวเกิ๊น
แต่ทีนี้กำลังจะทำเรื่องนัด Sleep Center อยู่พอดี๊ ก็มีอันไปคุยจิ๊จ๊ะกะผู้ปกครองที่โรงเรียนคนหนึ่ง ไอ้เราก็เป็นพวกชอบถามคนว่า ยูทำอะไร เพราะมักได้คำตอบใหม่ ๆ เปิดโลกไปทีละประตู 2 ประตู คุณแม่คนนั้นตอบมาว่า ไอทำงานที่คลินิกหมอฟันแห่งหนึ่ง ซึ่งมี Mission คือการให้คนเลิกใช้ CPAP
คือ?!?!
ไอกำลังมุ่งหน้าไปทางนั้นนะยูวว ทำไมจู่ ๆ มาบอกว่าให้เลี้ยวไปทางอื่นแบบนี้
อุ้มนั่งลงคุยกับเขาจริงจัง ถึงได้รู้ว่ามีวิธีรักษาอาการกรนแบบอื่นที่ได้ผล และไม่ต้องถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ต้องผูกติดกับเครื่องช่วยหายใจยามนอนไปทุกคืนแบบนั้น
เป็นที่มาของการตัดสินใจไปทำเลเซอร์ที่เพดานอ่อนในคอมาค่ะ
เลเซอร์นี้ทำงานยังไง ลองนึกถึงเวลาคนไปทำหน้า ใช้เลเซอร์กระตุ้นผิวให้ผลิตคอลลาเจนเองตามธรรมชาติ จนหน้ายกกระชับดูเต่งตึงขึ้นแบบนั้นน่ะค่ะ เลเซอร์อันนี้ก็เหมือนกัน คือยิงไปที่เนื้อเยื่อที่หย่อนยานตรงคอด้านใน เพื่อกระตุ้นให้กระชับขึ้น เพิ่มความกว้างของโพรงในคอให้ลมไหลผ่านสะดวกขึ้น หน้าตาเครื่องเลเซอร์เป็นแบบนี้ค่ะ
อุ้มไปทำครั้งแรก ไม่ได้พ่นยาชาเฉพาะจุดด้วยนะคะ ไม่เจ็บเท่าไหร่ เหมือนกินลูกอม Pop Rocks ที่มันเปรี๊ยะ ๆ ในปากน่ะค่ะ แต่อันนี้เปรี๊ยะ ๆ ตรงคอข้างใน (มีควันเหม็นไหม้ออกมาด้วยค่ะ ไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็แอบหลอนนิดหนึ่ง) โดน Zap ไปประมาณ 10 จุดได้มั้งคะ พอทำเสร็จก็ไม่เจ็บนะคะ รู้สึกเหมือนเวลาดื่มอะไรร้อนจัด ๆ แล้วลวกคอน่ะค่ะ แต่ก็เป็นอยู่แค่วันเดียว
คุณหมอฟันซึ่งเป็นชายสูงวัยใจดีบอกว่าบางคนทำครั้งแรก คืนนั้นก็เห็นผลเลย บางคนต้องทำ 2 ครั้ง แล้วแต่ว่าร่างกายจะตอบสนองอย่างไร อุ้มกลับมาบ้าน สมคิดยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยอมปิดพัดลมพิสูจน์รักแท้ว่าคืนนั้นจะได้ยินอุ้มกรนน้อยลงไหม
ตื่นเช้ามารีบถามนางก่อนสิ่งอื่นใดว่า ไอกรนน้อยลงไหมยู สมคิดนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วบอกว่า “ไอแทบไม่ได้ยินยูกรนเลยแฮะ”
บิงโก!!!
คืนถัดมา อุ้มรีบเอาแหวน Sleep Study มาใส่ เพราะลืมเล่าไปว่าที่คลินิกให้อุปกรณ์ Home Sleep Study มาด้วย เป็นแหวนยาง มีจอด้านบน ประหนึ่งใส่ Apple Watch ไว้ที่นิ้วเลยค่ะ แล้วเครื่องนี้จะเชื่อมกับแอปพลิเคชันในโทรศัพท์ พอจะนอนก็ใส่แล้วกด Start มันจะบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจและปริมาณออกซิเจนในร่างกายตลอดทั้งคืน พอเช้าตื่นมาก็กด Stop มันจะอัปโหลดผลส่งไปให้ที่คลินิก ตีความเป็นรายงานออกมา ที่คลินิกบอกว่าให้อุ้มทำ 3 คืน จะได้มีผลเปรียบเทียบกัน
นี่คือหน้าตาการนอนของอุ้มค่ะ
การจะตัดสินว่าคนคนหนึ่งมี Obstructive Sleep Apnea หรือไม่ ต้องดูที่ค่า Apnea-hypopnea Index (AHI) ซึ่งจะบอกว่าใน 1 ชั่วโมง คุณหยุดหายใจนานเกิน 10 วินาทีกี่ครั้ง (ถ้ามากกว่า 5 ครั้งต่อชั่วโมง ถึงจะถือว่ามี Sleep Apnea อย่างอ่อน ๆ ส่วนคนที่หยุดหายใจมากกว่า 30 ครั้งต่อชั่วโมง ถือว่ามีอาการหนักมาก)
ผลบอกว่าอุ้มหยุดหายใจเวลานอนจริงดังคาดค่ะ แต่ไม่มากถึงขั้นจะเรียกว่ามี Apnea เพราะแค่ประมาณ 2 – 3 ครั้งต่อชั่วโมงเท่านั้น และหยุดหายใจอยู่ในราว ๆ ครั้งละ 10 – 54 วินาที เพราะฉะนั้น หมออาจจะไม่สั่ง CPAP ให้ด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่เป็นตัวแดงและมีผลต่อคุณภาพการนอน (และคุณภาพชีวิต) ของอุ้ม คือการตื่นตลอดคืน หรือหลับไม่ลึก ไม่เต็มอิ่มต่างหากค่ะ
การที่กล้ามเนื้อในคออุ้มหย่อนลงมา รวมถึงเพดานปากและขากรรไกรล่างที่เล็ก ทำให้ลิ้นไม่มีที่อยู่ และเคลื่อนลงไปด้านใน ปิดทางเดินหายใจอยู่ตลอดคืน พอเริ่มจะมีอาการขาดอากาศ (อันจะนำไปสู่การหยุดหายใจ) สมองอุ้มก็รีบส่งสัญญาณให้ร่างกายตื่นตัว อาจเปลี่ยนท่านอน กัดฟันเพื่อขยับตำแหน่งของลิ้น โดยที่อุ้มไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ จึงจำไม่ได้ว่าตัวเองตื่น หรือบางครั้งหนักหน่อยก็อาจกระตุ้นให้รู้สึกปวดฉี่ จนต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก
เหตุการณ์กระตุ้นของสมองบ่อย ๆ ทั้งคืนแบบนี้ ทำให้ค่า Fragmentation ของอุ้มสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น (เขาบอกว่าไม่ควรเกิน 15% ของการนอน แต่ของอุ้มทะลุไปที่ 32% ก็มี บางคืนตื่นแบบไม่รู้ตัวถึง 20 ครั้งแหนะค่ะ) และประสิทธิภาพการนอน หรือ Sleep Efficiency อยู่ที่แค่ 80% (จริง ๆ คือควรเกิน 85%) และภาวะหลับลึก (REM) ของอุ้มอยู่ที่แค่ 18 – 20% เท่านั้นเอง ซึ่งน้อยมาก
มิน่า ตื่นมาถึงรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่มและเหนื่อยทุกวันเลย
ใครที่มีอาการต่าง ๆ ที่อุ้มเล่ามาตอนต้น อยากแนะนำให้ทำ Sleep Study นะคะ จะได้รู้ว่าคุณภาพการนอนของตัวเองเป็นอย่างไร หยุดหายใจในระหว่างหลับบ่อยและนานแค่ไหนด้วย เดี๋ยวนี้ในเมืองไทยมีบริการทำ Sleep Study ให้ที่บ้าน อุ้มว่าน่าจะง่ายและให้ผลใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่หลับยากเวลาต้องไปนอนที่ไม่คุ้นชิน
กลับมาที่การรักษาของอุ้ม หลังจากที่ทำเลเซอร์ไปครั้งแรก อุ้มเล่าให้คุณหมอฟังใหญ่เลยว่าเห็นผลทันตามาก ตอนนี้สามีไอไม่ต้องเปิดพัดลมสร้าง White Noise แล้ว ยังต้องทำเลเซอร์อีกครั้งไหม คุณหมอบอกว่า ยังต้องทำอีกครั้ง เพราะเป็นมาตรฐานการรักษาสำหรับคนเพิ่งทำเป็นครั้งแรก ต่อไปค่อยกลับมาทำปีละหนก็เพียงพอ
ใครอยากฟังคุณหมออุ้มพูดเรื่องนี้ ดูในวิดีโอนี้ก็ได้ค่ะ คุณหมอใจดี๊ดีเนอะ
เดือนต่อมา อุ้มกลับไปให้คุณหมอทำเลเซอร์ในคออีกเหมือนเดิม แต่ต่างไปคือตอนนี้โพรงในคออุ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม คุณหมอเลยยื่นแท่งเลเซอร์เข้าไปได้ลึกขึ้นอีก
นี่ทำมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว เดี๋ยวนี้สมคิดไม่ต้องเปิดพัดลม และรายงานทุกเช้าว่าเมื่อคืนไม่ได้ยินอุ้มกรน มันดีงาม!!! และแปลว่าอุ้มไม่ต้องใช้เครื่อง CPAP
คือการนอนแล้วต้องมีเครื่องครอบหัว ครอบจมูก (หรือเสียบอยู่ในจมูก) และต้องเสียบปลั๊กตลอดคืน ทุกคืน คงไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากให้เกิดกับตัวเองอยู่แล้ว แต่ CPAP ยังเป็น Gold Standard หรือมาตรฐานการรักษาความผิดปกติในการนอนของคนทั้งโลกอยู่ดี อุ้มถามคุณหมอว่าข้อเสียของการใช้ CPAP คืออะไร
คุณหมอบอกว่า คนเราควรหายใจทางจมูก เพราะ
– อากาศที่เข้าไปในโพรงจมูกจะได้รับการกรองฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปสู่ปอด
– อากาศนั้นจะมีความชื้นเพิ่มขึ้นและอุ่นขึ้นเท่ากับอุณหภูมิร่างกาย ปอดจึงนำไปใช้งานได้ดีขึ้น
– เวลาเราหายใจเข้าผ่านโพรงจมูก บริเวณไซนัสจะปลดปล่อย Nitric Oxide ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้นและร่างกายได้รับออกซิเจนไปใช้งานมากขึ้น ภูมิคุ้มกันของร่างกายและสุขภาพโดยรวมก็จะดีขึ้นด้วย
ทีนี้การใส่เครื่อง CPAP นั้นคือการดึงอากาศในห้องมาเพิ่มความดันด้วยเครื่อง แล้วส่งผ่านท่อเข้าสู่ทางเดินหายใจของเรา เป้าหมายก็เพื่อเปิดทางเดินหายใจที่ปิดอยู่ ทำให้คนใส่ได้รับอากาศและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็บรรลุผลนั้นนะคะ แต่ทีนี้ถ้าเครื่องเป็นแบบครอบปากครอบจมูก โอกาสที่คนใส่จะหายใจทางปากย่อมมีมากกว่า
การหายใจทางปากเป็นเวลาติดต่อกันยาวนานนั้นย่อมไม่ส่งผลดีต่อร่างกายแน่ เพราะอากาศที่ผ่านเข้าไปไม่ได้รับการกรอง ต่อมทอนซิลต้องทำงานหนักขึ้น จนทำให้เจ็บคอบ่อย ๆ อากาศไม่ได้รับการปรับอุณหภูมิและความชื้นผ่านจมูก ปอดจึงทำงานหนักขึ้น และร่างกายนำออกซิเจนไปใช้ได้น้อยลง รวมทั้งไม่มีการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งจำเป็นต่อสุขภาพโดยรวมของมนุษย์
นอกจากเรื่องการหายใจทางปาก ยังมีเรื่องความไม่สบายในการใส่ ลมรั่วออกมาจากหน้ากากทำให้ตาแห้ง หรือผิวบริเวณที่ใส่หน้ากากมีอาการระคายเคือง บางคนใส่หน้ากากแล้วรู้สึกอึดอัด นอนไม่สบายหรือนอนไม่หลับ จนเราได้ยินบ่อย ๆ ว่ามีคนเลิกใส่ CPAP หลังจากลองใช้ไปได้ไม่นาน
หรือถึงแม้จะเป็นเครื่อง CPAP แบบที่สอดท่อใส่เข้าไปทางจมูกโดยตรงอาจทำให้จมูกแห้ง เพราะมีอากาศที่มีแรงดันสูงกว่าปกติและมีความชื้นน้อยพ่นเข้าไปในจมูกตลอดเวลา บางคนเลือดกำเดาไหล หรือถ้าทำความสะอาดเครื่องและท่อไม่ดีพอ อาจมีเชื้อราหรือแบคทีเรียทำให้เป็นโรคทางเดินหายใจได้อีก
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยค่ะ ลองนึกว่าสามีภรรยาหรือแฟนกัน คนหนึ่งใส่หน้ากากใส่ท่อนอนทุกคืน มันจะเซ็กซี่ชวนให้มีอารมณ์ขนาดไหน
เล่ามาขนาดนี้ โรงพยาบาลและศูนย์นิทราเวชทั้งหลายก็จะพากันมาถล่มอุ้ม เพราะอย่างที่บอกว่า CPAP นั้นเป็นมาตรฐานสากลในการบำบัดความผิดปกติจากการนอนหลับ (Sleep Disorder) ที่ทั่วโลกใช้เหมือนกันหมด ถ้าเป็นที่หสรัฐฯ ประกันจ่ายค่าเครื่องให้ด้วยซ้ำ ในขณะที่การรักษาแบบใช้เลเซอร์ที่อุ้มไปทำมานั้นต้องจ่ายเอง เพราะถือเป็นการรักษา ‘ทางเลือก’ และทำทีละครั้งก็ไม่ใช่ถูก ๆ (ครั้งละประมาณ 800 เหรียญฯ หรือเกือบ 30,000 บาท)
แต่อุ้มมาเล่าให้ฟังเพราะไปทำมาแล้วได้ผลดีจริง ๆ และอยากมาบอกว่าโลกนี้มีทางเลือกอื่นในการรักษาอาการกรนที่ไม่ใช่แค่ใส่ CPAP เวลานอน ทันตแพทย์และผู้ให้การดูแลรักษาเรื่องนี้น่าจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้กับคนที่สนใจ และอุ้มว่าน่าจะเป็นแนวโน้มใหม่ที่ได้ผลดีกว่าด้วยในระยะยาว
อุ้มเห็นคนที่รู้จักไปทำเลเซอร์ผิวหน้ากันทีละ 40,000 – 50,000 ขนาดเพื่อความสวยเรายังทำกันได้ แล้วนี่เป็นเรื่องความเป็นความตาย (ไม่ได้พูดเกินจริงนะคะ เพราะรู้สึกมาเองกับตัว) หรือเรื่องคุณภาพชีวิตของเราในระยะยาว อุ้มว่าคุ้มค่ะ
ใครสนใจเรื่องนี้ หาอ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์เหล่านี้ค่ะ