ริคพุ่งตัวจากเตียง ตะโกนเรียกฉันที่กำลังทำกับข้าวแก้เครียดอยู่ในครัว แต่เขาเร็วกว่าฉันมาก ไม่กี่อึดใจเขามายืนอยูตรงหน้าและบอกฉันว่า เอเจนซี่ที่เขาเคยทำงานบนเรือสำราญด้วยเมื่อหลายปีก่อนเขียนอีเมลมาถามว่าสนใจไปร้องเพลงบนเรือมั้ย
ฉันนิ่งชะงักไปหลายวินาที และถามกลับไปว่าบนเรือสำราญน่ะเหรอ ริคตอบว่าไม่ใช่
“บนเรือส่วนตัว”
ฉันอยากจะกรี๊ดให้ลั่นเมื่อริคอธิบายเพิ่มเติมว่าเรือลำใหญ่ยักษ์หนักกว่า 40,000 ตันนี้คือ ‘บ้าน’ ของเจ้าของเรือหรือผู้พักอาศัยอยู่บนเรือ 150 คนที่อาศัยอยู่กินบนเรือตลอดทั้งปี โดยมีกัปตันและลูกเรือจำนวน 250 คนทำงานให้บนเรือ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นคอนโดฯ ลอยน้ำนั่นเอง แต่เป็นคอนโดฯ ที่ล่องเดินทางไปทั่วโลก หมดรอบโลกแล้วก็วนใหม่ โดยเดินเรือมากว่า 14 ปีแล้ว และมีเพียงลำเดียวในโลก
เราตกลงตอบรับงานนี้ทันที เพราะโอกาสแบบนี้คงไม่มาบ่อย สัญญามีระยะเพียง 5 อาทิตย์ เราจะได้ไปหลายเมืองของออสเตรเลีย อีกทั้งประเทศปาปัวนิกินี และประเทศหมู่เกาะโซโลมอนอีกด้วย น่าตื่นเต้นสุดๆไปเลย! งานนี้ฉันเป็นกะลาสี Singer at Sea แล้วจริงๆ
—
โครม! ฉันปิดประตูห้องน้ำดังลั่นเคบิน หลังจากที่เข้าไปอาเจียนรอบที่ 3 เรือเดินสมุทรจากประเทศออสเตรเลียมุ่งหน้าไปประเทศปาปัวนิวกินีมาได้ 3 วันแล้ว ฉันกำลังประคับประคองสติอย่างหนัก เพราะตั้งแต่ขึ้นเรือมาได้ 2 อาทิตย์ เรือล่องตามเมืองท่าของออสเตรเลียเท่านั้น ทะเลนิ่งมากบวกกับเรือลำใหญ่ ฉันจึงไม่รู้สึกเลยว่าล่องเรืออยู่ แต่พอเรือออกจากน่านน้ำออสเตรเลียเท่านั้นล่ะ คลื่นมหาโหดกลางมหาสมุทรก็ไม่ปรานีกะลาสีเรือมือใหม่คนนี้เอาซะเลย ฉันเมาเรือหนักมากในขณะที่ริคและลูกเรือคนอื่นๆ ไม่มีอาการเมาเรือแต่อย่างใด
ฉันได้แต่กินโซดา แอปเปิ้ลเขียว และแครกเกอร์ ตามที่กัปตันเรือแนะนำ นั่งนอนเดินพะอืดพะอม มองคนไม่เมาเรือตาปริบๆ แต่พรุ่งนี้เช้าเรือใกล้จะถึงจุดหมายแรกของประเทศปาปัวนิวกินีแล้ว คืนนี้ก็ต้องนั่งเก้าอี้ร้องเพลงอย่างเดิมไปก่อน
8 โมงเช้าวันใหม่ เสียงสมอเรือพุ่งทะยานจากใต้ท้องเรือเพื่อปักลงพื้นทรายใต้ท้องทะเลดังสนั่นจนฉันสะดุ้งตื่น ภาษาเรือเรียกว่า แองเคอร์ (Anchor) หรือการจอดเรือกลางทะเลนั่นเอง การจอดเรือแบบทอดสมอนี้ใช้เฉพาะเวลาไปสถานที่ที่ไม่มีท่าเรือน้ำลึก หรือการหยุดตามเกาะแก่ง ซึ่งเรือใหญ่ต้องจอดกลางทะเลแล้วใช้เรือเล็กนั่งกันออกไป
ริคตื่นเต้นที่จะได้เห็นปาปัวนิกินีเสียยิ่งกว่าตอนแกะของขวัญเช้าวันคริสต์มาส ฉันมองลอดหน้าต่าง porthole เห็นเพียงแค่เกาะเล็กๆ อยู่ไกลลิบตา แล้วประสบการณ์ใหม่ก็เริ่มขึ้นเมื่อฉันต้องลงเรือยางเล็ก (zodiac) ซึ่งมีลูกเรือที่ฝึกมาอย่างโชกโชนเป็นคนคัดหางเสือ แล้วลูกเรือก็ซิ่งเรือยางออกไปสู่เจ้าเกาะเล็กๆ ที่เห็นอยู่อยู่ไกลๆ
เรือแล่นเร็วมาก แถมทั้งกระแทกผิวน้ำเด้งกระโดดเป็นจังหวะ ฉันจับเชือกแน่นหลับตาปี๋ตลอดทาง จนกระทั้งความเร็วเริ่มช้าลง ฉันได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงแว่วมา เมื่อลืมตาขึ้นก็แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า
เด็กน้อยผิวดำขลับคนหนึ่งนุ่งผ้าผืนเล็กๆ ยืนเท้าเปล่าอยู่บนโขดหินปะการังขนาดใหญ่กลางทะเลเพื่อรอต้อนรับเรือยางของเรา แล้วเขาก็วิ่งกะโดดไปตามโขดหินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่ยืนร้องรำทำเพลงเหมือนเป็นการต้อนรับเราสู่บ้านของเขา ช่างน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เรือยางล่องผ่านน้ำทะสีฟ้าอ่อนใสแจ๋วเห็นปะการัง และลงจอดหน้าหาดที่มีกลุ่มชาวเกาะนับร้อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลากหลายวัย บ้างใส่เสื้อผ้า บ้างใส่ชุดชาวเกาะเป็นพู่ใบใม้ ต่างพรั่งพรูกันมาต้อนรับขับสู้พวกเรา
ฉันลืมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เสมือนดั่งถูกต้องด้วยมนตร์สะกดของความบริสุทธิ์แห่งรอยยิ้มของทุกคนที่อยู่ที่นี่ เขาตื่นเต้นไม่แพ้เราเลย เกาะจิ๋วแต่แจ๋วแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าเกาะอีวา (Iwa Island) เป็นเกาะที่มีมนุษย์อยู่อาศัยแบบสันโดษทั้งหมด 900 คน แต่ฉันว่านับด้วยตาเปล่า เป็นเด็กๆ เกือบ 300 ได้มั้ง! เกาะแห่งนี้มีกฎและลัทธิเป็นของตัวเอง ปกครองตัวเอง มีผู้นำ มีโรงเรียน มีชุมชนหมู่บ้านซึ่งอยู่บนเขาซึ่งต้องปีนผาขึ้นไปเท่านั้น ไม่มีทางลัด! หากใครบนเกาะเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องรักษากันเอง แต่หากร้ายแรงจริงๆ ก็ต้องส่งผู้นำนั่งเรือเพื่อไปเอายาจากเกาะที่ทันสมัยแล้ว ซึ่งเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ต้องนั่งเรือถึง 3 วันเต็ม
เกาะอีวาอยู่กันแบบมนุษย์หินจริงๆ คือไม่มีไฟฟ้า ยังใช้ตะเกียงและหินเพื่อจุดไฟ กระต๊อบหรือบ้านของแต่ละครอบครัวเป็นเพิงเล็กๆ มีใบไม้มุงเป็นหลังคา ฉันอึ้งและทึ่งที่ในโลกนี้ยังมีดินแดนบริสุทธิ์ขนาดนี้หลงเหลืออยู่ ชาวเกาะที่นี้ตื่นเต้นมากๆ ที่เรามาเยี่ยม เพราะครั้งสุดท้ายที่มีเรือนักท่องเที่ยวผ่านมาคือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว สำหรับเด็กที่ยังเล็กมากๆ นี่เป็นการเห็นฝรั่งมังค่า เห็นนักท่องเที่ยว ครั้งแรกในชีวิตของพวกเขาด้วยซ้ำ! พวกเขาจึงต้อนรับเราอย่างอบอุ่นที่สุด มีทั้งโชว์ระบำและการแสดงทั้งจากเด็กและผู้ใหญ่ มีตลาดเล็กๆ ริมหาดที่ชาวบ้านนำสินค้าพื้นเมือง handmade สร้อยคอ เครื่องประดับ ที่ทำจากเปลือกหอยและปะการัง มีกระเป๋าสานสีสดใสขายด้วยราคาที่แสนถูกจนฉันต้องให้เงินเพิ่มไปอีกเท่า เพื่อให้เหมาะสมกับคุณภาพ
เด็กๆ บ้างวิ่งไล่จับ บ้างเดินตามช่วยถือของ บ้างจ้องมองส่งยิ้มหวานให้ฉัน หลังจากที่คนจากเรือของเราได้ปีนผา (ซึ่งสูงชันพอปะมาณ) ไปเยี่ยมชมหมู่บ้าน ชมการแสดง สัมผัสวัฒนธรรมอันแสนวิเศษแห่งเกาะอีวาอย่างอิ่มอกอิ่มใจแล้ว ก็ถึงเวลาต้องกลับเรือ ในขณะที่ทุกคนทยอยลงเรือยางเล็ก ฉันกลับถูกเด็กๆ ทั้งหญิงชายห้อมล้อม พวกเขาสงสัยว่าฉันมาจากที่ไหน ทำไมฉันไม่ขาวเหมือนคนอื่นที่มาจากเรือ แต่ไม่ผิวดำขลับแบบพวกเขา หน้าฉันดูคล้ายเขา แต่ก็ไม่น่าใช่พวกเดียวกัน เขาถามกันอย่างน่ารักน่าชัง ริคพยายามอธิบายว่าฉันเป็นนักร้องบนเรือ แล้วก็ยุให้ฉันร้องเพลงให้เด็กๆ ฟัง
ฉันไม่รีรอเลือกเพลงที่เหมาะที่สุด Somewhere Over the Rainbow ฉันมองหน้าเด็กๆ ที่มาห้อมล้อม ในขณะร้องเพลงนั้นฉันรู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่สุด พอจบเพลงเด็กๆ ปรบมือส่งเสียงเชียร์กันลั่นแล้วเข้ามากอดฉัน แต่พอได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่นักสำรวจจากเรือประกาศให้เด็กๆ มาเอาน้ำแข็งที่เหลือจากคูลเลอร์ วงฉันแตกอย่างรวดเร็ว เด็กๆ ต่างรีบวิ่งหน้าตั้งกรูกันไปเอาน้ำแข็ง ทุกคนดูตื่นเต้นมากกับน้ำแข็ง บ้างเอามาอม บ้างรีบตักใส่ผ้าเหมือนจะห่อกลับบ้าน เจ้าหน้าที่บอกฉันว่าพวกเขาไม่เคยเห็นน้ำแข็ง จะได้กินครั้งนึงเมื่อมีเรือใหญ่ผ่านมาเยี่ยมแบบนี้ ฉันได้แต่อึ้ง แล้วเรือยางรอบสุดท้ายก็ล่องมารับฉันและริคกับเจ้าหน้าที่ที่เหลือ
ฉันโบกมือลาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มายืนรอส่ง เจ้าหน้าที่ขับเรือยางเป็นชาวอเมริกันที่พูดภาษาปาปัวพื้นเมืองได้ เขาเป็นตัวแทนกล่าวลาว่า
“ขอบคุณทุกชีวิตและทุกวิญญาณแห่งเกาะอีวา รอยยิ้มและน้ำใจของพวกท่านจะอยู่ในความทรงจำเราตลอดไป ขอท่านจงอวยพรให้เราโชคดี”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็รีบวิ่งลุยน้ำมาหยุดเรือเอาไว้ เขาพุ่งตัวมาหาฉันแล้วยื่นเข็มขัดที่ร้อยจากเปลือกหอยหลายสีมาให้ฉันเก็บไว้เป็นที่ระลึก เขากุมมือฉันแล้วพูดอะไรสักอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ซึ้งใจจนน้ำตาไหล ฉันบอกเขาว่าฉันไม่มีอะไรตอบแทน แต่ในกระเป๋ามีแอปเปิ้ลและลูกพีช ฉันมอบให้ชายหนุ่มผู้ยิ้มกว้าง ส่วนริคยื่นปิ๊กดีดกีตาร์ให้เขา
เขาปล่อยมือจากเรือเรา แล้วกระโดดตามหินปะการังตามมาส่งเรือยางจนสุดสายตา เจ้าหน้าที่บอกฉันว่า
“รู้รึเปล่าว่าถ้าผู้หญิงรับเข็มขัดจากผู้ชาย แปลว่าเขาได้หมั้นคุณไว้แล้ว”
ฉันส่งเสียงร้องตกใจ ทุกคนบนเรือยางต่างหัวเราะกันท้องแข็ง ค่ำคืนนี้ฉันเตรียมตัวทำงานอย่างมีความสุขมากๆ การได้สัมผัสประสบการ์ณจากเกาะอีวา เสมือนฉันได้ชาร์จพลังจากจักรวาลอย่างแท้จริง ฉันแต่งเพลงสั้นๆ และให้ริคลองใส่คอร์ดกีตาร์ แล้วมอบให้ทุกๆ คนบนเรือที่มีความทรงจำนี้ด้วยกัน ชื่อเพลงว่า อีวา
ไม่ใช่แค่เกาะอีวาเท่านั้นที่มีความมหัศจรรย์ ทุกๆ เกาะและเมืองเล็กๆ ในปาปัวนิกินีมีเสน่ห์และเรื่องราวที่สวยงาม แปลก และแตกต่างกัน เช่น หมู่บ้านภูเขาไฟราบาล ที่ยังมีภูเขาไฟปะทุอยู่เป็นระยะ หาดทรายเป็นสีดำเหมือนสีภูเขาไฟ ราบาลมีความเป็นเมืองเล็กๆ เปรียบได้กับเมืองตามต่างจังหวัดของบ้านเรา มีโทรศัพท์ มีไฟฟ้าใช้ ริคตื่นเต้นกับเมืองราบาลมากเพราะเขาชอบอ่านประวัติศาสตร์ เขาตื่นเต้นมากกับอนุสรณ์ซากปรักหักพังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะญี่ปุ่นมาตั้งฐานที่เมืองนี้
นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านจระเข้ หรือซีปิค ริเวอร์ (Sepik) หมู่บ้านใหญ่อยู่ริมแม่น้ำซีปิคที่ขึ้นชื่อเรื่องจระเข้เป็นพันๆ หมื่นๆ ตัว เด็กหรือคนหนุ่มสาวสังเวยชีวิตให้จระเข้ไม่เว้นแต่ละวัน หมู่บ้านนี้จึงต้องมีพิธีบวงสรวงจระเข้ที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โตทุกปี ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเด็กผู้ชายเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มจะต้องทำพิธีสักยันต์ ตัดเนื้อเป็นลวดลายเหมือนจระเข้อีกด้วย!
เอกลักษณ์ของหมู่บ้านซีปิคอีกอย่างหนึ่งคืองานศิลปะฝีมือเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการแกะสลักไม้หลากหลายแบบด้วยราคาแสนถูก ฉันและริคได้กลองไม้สลักพื้นบ้าน หน้ากากวูดู และของที่ระลึกอีกหลายชิ้น แทบขนกันไม่หมด เด็กๆ ที่นั่นถูกเกณฑ์มาเต้นระบำโชว์อย่างน่ารักน่าชังในชุดใบไม้
อีกสองหมู่บ้านที่ฉันประทับใจมากๆ คือ หมู่บ้านเบอร์เกนวิล (Bergainville) ที่นี่ขึ้นชื่อหลายเรื่อง ทั้งซากเครื่องบินจากสงครามโลกที่มีเหลือให้เห็นมากที่สุด ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทีมฟุตบอล และผู้คนที่มีสีผิวที่มืดดำที่สุดในโลกเหมือนสีถ่าน อีกที่คือเกาะนอกทะเลชื่อทาลาเปีย ซึ่งอยู่สุดเขตแดนปาปัว ติดกับอินโดนีเซีย คนที่นั่นหน้าเหมือนคนเอเชียมากๆ และผู้หญิงไม่สวมเสื้อกันทั้งหมด
ส่วนประเทศหมู่เกาะโซโลมอนก็สวยงามและบริสุทธิ์เหมือนปาปัวนิวกินี คนที่นี่มีพันธุกรรมที่แปลกมาก พวกเขาผิวดำแต่ผมบลอนด์ เลี้ยงหมูริมทะเลน้ำใสกิ๊ง ทุกๆ ที่มีการร้องรำทำเพลงประจำเผ่าหรือที่เรียกว่า Sing sing เหมือนกันหมด
ตลอดเดือนที่ผ่านมา สัญญาแรกของฉันบนเรือลำนี้ให้คุณค่าทางจิตใจเหนือสิ่งอื่นใด ประสบการณ์ที่ได้รับเป็นสิ่งที่เงินที่ซื้อไม่ได้ ฉันได้รับแรงบันดาลใจในการร้องเพลงทุกค่ำคืนจากคนแห่งดินแดนอันไกลโพ้นที่เรือลำอื่นๆ ไปไม่ถึง
ฉันไม่เคยคาดคิดว่าเสียงเพลงจะพาฉันไปเห็นโลกทั้งที่ที่ศิวิไลซ์และที่ที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความทรงจำครั้งนี้จะตราตรึงฉันตลอดไป และฉันเชื่อว่านี่แค่จุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิต ฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นดินแดนแบบนี้อีก แต่จะร้องเพลงให้ตัวโน้ตพาฉันไปทุกที่ในโลกนี้ให้ได้
—
ฉันและริคชนแก้วไวน์ดังคลิ้งที่สนามบินบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย เราไม่ใช่แค่ฉลองการจบสัญญาบนเรือ แต่วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน แม้เราจะติดอยู่สนามบินเพื่อรอต่อเครื่อง แต่เป็นวันเกิดที่มีเรื่องเล่าเยอะที่สุดในชีวิต ฉันอยากกลับถึงเมืองไทยใจจะขาดเพื่อเล่าทุกๆ อย่างที่ผ่านมา 5 อาทิตย์ให้ครอบครัวฉันฟัง ข่าวดีคือเราได้รับสัญญาใหม่จากเรือลำนี้ และอีก 2 เดือนข้างหน้า เราจะมาเจอเรือลำเดิมที่เกาะฮ่องกง