หนึ่งในความฝันของคนยุคนี้คือการลาออก
ออกจากภาระงานประจำ ไปตามหาฝัน ทำกิจการของตัวเอง ทิศทางฝันของคนส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น
มีบริษัทอายุเกิน 100 ปีแห่งหนึ่งเชื่อว่า ต้นไม้ความฝันของพนักงานงอกงามได้ด้วยการสนับสนุนขององค์กรอย่างเข้าอกเข้าใจ
SCG คือบริษัทที่ว่า ในยุคสมัยที่ความภักดีต่อองค์กรลดน้อยลง พนักงานพร้อมลาออกหรือทำงานเสริมจนเป็นเรื่องปกติ องค์กรอายุ 110 อย่าง SCG กลับส่งเสริมให้พนักงานของตัวเองทำธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างจริงจัง สนับสนุนทั้งทรัพยากร เงินทุน และเครือข่ายทางธุรกิจ ผ่านโครงการชื่อว่า ‘ZERO TO ONE’ ซึ่งทำต่อเนื่องมาถึง 6 ปีแล้ว
การบริหารคนขององค์กรนี้ก็มีเรื่องน่าสนใจ การเติบโตขององค์กรเก่าแก่จำเป็นต้องอาศัยพลังหนุ่มสาว ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทิ้งคุณค่าที่สั่งสมมายาวนาน
ที่มาของการส่งเสริมพนักงานในเครือทั้งหมดกว่า 50,000 คน จับกลุ่มฟอร์มทีมเสนอโครงการธุรกิจเมื่อ 6 ปีก่อนคืออะไร แป้ง-สุรภี แก้วยศ Head of Business Incubation Corporate Innovation Office ของโครงการ ZERO TO ONE และ อั้ม-วรรณหทัย อุปริรัตน์ Team Leader – People Transformation Corporate Human Resources Division / HRBP – Corporate & JVs / People จองห้องประชุมเล่าให้ฟัง
โครงการ ZERO TO ONE เริ่มจาก SCG อยากมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในช่วงที่กระแส Digital Disruption เพิ่งเริ่มเกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงานของคนในสังคมเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้
SCG เริ่มคิดที่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อโต้ไปกับคลื่นของกระแสความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เชื่อว่าแปลงร่างเปลี่ยนรูป (Transformation) เป็นสิ่งสำคัญต่อการอยู่รอดของทุกธุรกิจ จะทำสิ่งนี้ได้ ต้องเริ่มจากคนหรือทรัพยากรบุคคลเป็นหัวใจสำคัญ
บริษัทนี้มีสิ่งที่เรียกว่า ‘คุณค่าร่วม’ หรือ Core Value ได้แก่ เชื่อมั่นในคุณค่าของคน ตั้งมั่นในความเป็นธรรม มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ และถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม
ไม่ว่า SCG จะทำอะไร สิ่งนั้นต้องไม่หลุดจาก 4 ข้อนี้
ปกติบริษัทที่อยากเปลี่ยนตัวเองเพื่อสู้กระแส Disruption มักจ้างคนนอกเข้ามาเปลี่ยนธุรกิจ แต่ SCG เชื่อในคุณค่าของพนักงานตัวเอง อยากให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากมันสมองขององค์กร โดยที่งานนั้นต้องมีความกล้า บุกเบิกธุรกิจใหม่
อีกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือการทำธุรกิจแบบสตาร์ทอัพ เทรนด์นี้ทำให้คนหนุ่มสาวที่มีไอเดียกล้าออกมาทำสตาร์ทอัพด้วยรูปแบบที่แหวกขนบ ฉีกไปจากการทำธุรกิจแบบเดิม เพื่อแก้ปัญหาที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
เหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้ SCG เริ่มโครงการ ZERO TO ONE สร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กรจากบุคลากรภายในแทนที่จะเป็นคนภายนอก เปิดโอกาสให้พนักงานเสนอความฝันของตัวเองในรูปแบบธุรกิจสตาร์ทอัพ แสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ กลายมาเป็นองค์ประกอบหลักของโครงการเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
สุรภีเล่าว่า ตอนเริ่มโครงการ ทุกอย่างเต็มไปด้วยความท้าทาย ในขณะเดียวกันก็เป็นความเสี่ยง เพราะตัวงานถือว่าใหม่มากทั้งกับทีมงาน ผู้ร่วมโครงการ รวมถึงพาร์ตเนอร์ที่เข้ามาช่วย แต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กรของ SCG ที่เปิดกว้าง ทำให้งานเดินหน้าได้
ZERO TO ONE ปีแรกปักธงเป้าหมายปลายทางไว้ที่การสร้างธุรกิจใหม่ พร้อมกับการพัฒนาให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เรียนรู้เข้าใจเทคโนโลยีและตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เปิดตัว พนักงานส่งโครงการเข้ามาไม่น้อย ส่วนมากทุกคนปรารถนาอยากทำธุรกิจ มีทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของ SCG เช่น ทำแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องประดับ ฯลฯ
พนักงานที่สมัครเข้ามามีคุณสมบัติ 2 อย่างที่เหมือนกัน คือมีความกล้าและความมุ่งมั่น (Passion) เดิมพนักงานในองค์กรทุกคนมีเส้นทางอาชีพ (Career Path) ที่ชัดเจน แต่การเข้าร่วมโครงการนี้ไม่มีอะไรการันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จเลย
โครงการคัดเลือกโดยดูจากผู้สมัครเป็นหลัก ทีมงานเชื่อว่าจุดเริ่มของทุกโครงการเป็นไอเดียที่ยากจะตัดสินว่าดีหรือไม่ดี หรือจะทำสำเร็จหรือไม่ บอกได้เพียงแค่ว่าพอจะมีศักยภาพว่าจะทำได้ “เราเชื่อว่าถ้าเราได้คนที่มีศักยภาพและมีความมุ่งมั่นกับเรื่องนั้นจริง ๆ เข้ามา เขาจะทำให้ระหว่างทางเป็นไปได้ ไม่ว่าผลลัพธ์ปลายทางจะเป็นสิ่งที่เขาเสนอมาเหมือนเดิมหรือมีการเปลี่ยนไประหว่างทาง” สุรภีเล่า
จาก 100 ทีม คัดเหลือ 20 ทีมในขั้นตอนที่เรียกว่า HATCH ช่วงนี้จะมีพาร์ตเนอร์เข้ามาช่วยดูแล SCG จัด Bootcamp 4 เดือนให้ความรู้ว่าการทำธุรกิจต้องรู้อะไรบ้าง การเป็นสตาร์ทอัพต้องเริ่มจากตรงไหน ทุกวันนี้โลกเดินไปในทิศทางใด
พนักงานจะมาร่วมกิจกรรมนอกเวลางาน ทุกคนต้องทำงานประจำเป็นหลัก เสียสละเวลาส่วนตัวทุ่มเทให้กับโครงการอย่างจริงจัง
จาก 20 ทีมเหลือ 10 ทีมในขั้นตอนที่เรียกว่า WALK ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมเริ่มทำสินค้าและบริการขึ้นมาทดลองใช้ ช่วงนี้กินเวลาประมาณ 1 ปี ทุกโครงการจะประเมินด้วยระบบ OKRs หรือ Objective Key Results เพื่อวัดผลของงาน ซึ่งปัจจุบัน SCG ใช้การการประเมินแบบนี้กับพนักงานเช่นกัน
แนวทางใหม่นี้เปลี่ยนจากการวัดผลลัพธ์การทดลอง มาเป็นการวัดสิ่งที่ต้องการทดลองและออกแบบการทดลองให้สมเหตุสมผล เพื่อให้แต่ละโครงการวัดได้ว่าสินค้าและบริการใช้ได้จริง ทำให้ทุกคนไม่กลัวการทดลอง ไม่กลัวล้มเหลว เห็นผลชัดเจนมากว่าสินค้าและบริการนั้นจะไปต่อได้หรือไม่
ล้มได้ล้มไป ล้มจนกว่าจะเจอจุดที่ใช่ SCG มองว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรม Fail Fast, Learn Fast หรือ ล้มเร็ว เรียนรู้เร็ว ให้กับพนักงานเช่นกัน
สุดท้ายทุกทีมจะเข้าสู่ขั้นตอนที่เรียกว่า FLY โบยบินแยกออกไปตั้งธุรกิจจริง
ในระยะสุดท้าย ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับบริษัท SCG จะเปลี่ยนสถานะจากนายจ้างกับลูกจ้าง มาเป็นผู้ลงทุนกับเจ้าของธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 9 ธุรกิจโบยบินได้แล้ว คือ
‘Dezpax’ ธุรกิจจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ เชี่ยวชาญการทำกล่องบรรจุอาหารทุกประเภท ธุรกิจนี้ใกล้เคียงกับธุรกิจแพ็กเกจจิ้งของ SCG สิ่งที่ต่างออกไปคือกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นผู้บริโภคในกลุ่มร้านอาหาร ร้านกาแฟ Dezpax เป็นธุรกิจแบบ B2C หรือทำธุรกิจกับผู้บริโภคที่ใช้สินค้าโดยตรง
ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งของ SCG เป็นลักษณะค้าขายกับธุรกิจใหญ่แบบ B2B ซื้อไปขายหรือผลิตต่อ มีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกับการทำธุรกิจกับผู้บริโภคแบบ B2C Dezpax ช่วยเข้ามาเสริมตรงจุดนี้ ปัจจุบันเติบโตถึงขั้นนักลงทุนภายนอกอย่าง PTTOR ก็เข้ามาร่วมลงทุน
‘Rudy’ เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรู้ได้ว่าแต่ละโครงการก่อสร้างต้องการสินค้าอะไรบ้าง เพราะวงจรการสั่งซื้อของโครงการก่อสร้างแต่ละโครงการไม่เหมือนกัน แพลตฟอร์มนี้ช่วยเสริมธุรกิจหลักของ SCG ได้เป็นอย่างดี เหมาะกับองค์กรที่ต้องการบริหารทีมขายแบบ Real Time
‘Urbanice’ แพลตฟอร์มช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนิติบุคคลของหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมกับลูกบ้านในการรับส่งพัสดุและสร้างคอมมูนิตี้ภายในกันเอง เพื่อให้การใช้ชีวิตของคนเมืองยุคนี้สะดวกยิ่งขึ้น
สุดท้ายคือ ‘Roots’ แพลตฟอร์มซื้อ-ขายสินค้าอุตสาหกรรม ปัจจุบัน Roots กลายมาเป็นแอปพลิเคชันสั่งอุปกรณ์ความปลอดภัยที่พนักงาน SCG ทุกคนสั่งได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านการจัดซื้อตามปกติ ธุรกิจของ SCG เองก็มีโรงงานจำนวนมาก ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ การอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสั่งซื้ออุปกรณ์ความปลอดภัยได้โดยตรงเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก
ล่าสุดมีธุรกิจที่ผ่านเกิดจาก ZERO TO ONE เพิ่มเติม ได้แก่ NaYoo แพลตฟอร์มหาที่อยู่อาศัยที่มีข้อมูลครบที่สุด ครอบคลุมทุกความต้องการ ZUPPORTS แพลตฟอร์มที่ทำให้การขนส่งระหว่างประเทศเป็นเรื่องง่าย ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบ End-to-end ZYCODA ระบบ SaaS บริหารจัดการงานซ่อมบำรุงครบวงจร สร้าง AI ดูแลเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม Wake Up Waste แพลตฟอร์มและรถบีบอัดขยะที่ช่วยให้การรีไซเคิลมีประสิทธิภาพดีขึ้น และ Ant HR แพลตฟอร์มช่วยบริหารจัดการพนักงานแบบ Outsource และสัญญาระยะสั้นแบบ Subcontractor ในโรงงาน
ถ้าดูภาพใหญ่ จะเห็นว่า ZERO TO ONE ตอบโจทย์ทั้งให้พนักงานได้ทำตามฝัน เปิดกิจการของตัวเอง ในขณะที่ทุกองค์กรก็กลับมาช่วยให้องค์กรแม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ พัฒนาธุรกิจออกไปไกลและดียิ่งขึ้น
เรื่องหนึ่งที่เราสงสัย คือ ถ้า ZERO TO ONE ไปได้ดี ไม่เป็นการกระตุ้นให้พนักงานลาออกกันหมดหรือ
วรรณหทัยเล่าว่า จากมุมมองของฝ่ายดูแลคนหรือ HR โครงการนี้เป็นเหมือนกิจกรรมส่งเสริมพนักงาน สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างคนกับบริษัท มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
คุณค่าหรือประโยชน์หลัก ๆ ที่ SCG ได้จากโครงการชวนพนักงานออกไปเปิดกิจการตัวเอง พอจะสรุปได้ 3 ส่วน
หนึ่ง สร้างวิธีคิดใหม่ ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนโฉม (Transform) การทำงานของพนักงาน ทั้งเรื่องความรับผิดชอบและการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ในโครงการ วรรณหทัยและสุรภีเล่าตรงกันว่า ทีมเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ชัดเจนมาก พนักงานทั้งหมดที่เข้าร่วมทำงานดีขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น หลายคนกลับเข้าไปเป็นดาวเด่นของสายงานธุรกิจ ไปดูแลบริหารโครงการใหญ่ ๆ ของหน่วยงาน
สอง สนับสนุนบรรยากาศและกระแสของสตาร์ทอัพในเมืองไทยให้ไปได้ไกลยิ่งขึ้น ยกระดับการสนับสนุนที่มากกว่าการให้เงินลงทุนหรือ Angle Fund
ZERO TO ONE พิสูจน์ว่า SCG ให้ได้มากกว่านั้น มีทั้งเครือข่ายธุรกิจและทรัพยากรอื่น ๆ ในเครือที่คอยสนับสนุน
ส่วนสุดท้าย คือการสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งได้มาทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของ SCG ในส่วนของธุรกิจที่สอดคล้องกับธุรกิจหลักก็เหมือนเป็นยานลูกที่แยกออกไปจากยานแม่ ทางทีมงานมั่นใจว่าสักวันยานลูกเหล่านั้นจะกลับมาสนับสนุนยานแม่ และเติบโตไปเป็นยานลำใหญ่อยู่อย่างอิสระได้ด้วยตัวเอง
หากมองอีกด้าน พนักงานที่เข้าร่วม ZERO TO ONE แต่ไม่ได้ไปต่อ มีเส้นทางที่แตกต่าง บางคนเข้าร่วมแต่ไม่ได้ไปถึงขั้น FLY ก็ลาออกไปทำธุรกิจเอง ส่วนใหญ่เกิดจากพวกเขาอยากทำธุรกิจจริง ๆ ในอุตสาหกรรมที่ไกลออกไปจากเครือข่ายธุรกิจที่ทาง SCG สนับสนุนได้
แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีใครลาออกเพราะรู้สึกว่าการตกรอบโครงการนี้คือความล้มเหลว
สุรภีเล่าว่าก่อนจบโครงการ 3 เดือน ทีมจะคุยกับทุกคนที่เข้าร่วมว่ามองปลายทางไว้อย่างไร กรณีที่โครงการไม่ได้ไปต่อ อยากกลับไปทำงานในส่วนงานใดในเครือข่ายของ SCG หลังจากนั้นทีมจะคุยกับสายงานธุรกิจนั้นว่าสนใจรับผู้ที่กำลังจะจบโครงการไปร่วมงานอีก 3 เดือนข้างหน้ามั้ย ส่วนคนที่ยังทำงานตำแหน่งเดิม หัวหน้าแผนกนั้นจะสังเกตและให้กำลังใจหากผลลัพธ์ทำให้พนักงานรู้สึกผิดหวัง
หัวใจของขั้นตอนนี้คือการรับฟังความรู้สึกของพนักงาน เพื่อให้การทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกันในองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะใด
ZERO TO ONE เติบโตทุกปี ในปีล่าสุดมีการเปิดรับคนภายนอกเข้าร่วมโครงการด้วย มีจำนวนผู้สมัครถึง 300 คน แต่ละปีจะมีระยะเวลา รูปแบบโครงการ และจำนวนเงินที่ใส่ไปในโครงการแตกต่างกัน แต่แก่นหลักเหมือนเดิม คือความตั้งใจอยากสร้างและลงทุนในธุรกิจใหม่ ให้ความรู้และทักษะต่าง ๆ กับผู้เข้าร่วมโครงการ เพื่อพัฒนาศักยภาพคนให้มีความรู้และทักษะในการทำงานที่หลากหลายขึ้น
ผลพลอยได้อีกข้อ คือการรักษาพนักงานรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพไว้กับองค์กร แทนที่พนักงานจะออกไปแสวงหาความท้าทายใหม่ ๆ พวกเขามาร่วมโครงการ ZERO TO ONE ได้ ประหนึ่งเหมือน SCG ทำตัวให้เป็นตัวเลือกที่ดีให้พนักงานในวันที่เขาอยากลาออก ให้เขาได้กางตัวเลือกออกมาแล้วพบว่าภายในองค์กรเองก็ยังมีตัวเลือกที่ดีสำหรับเขาในเวลานั้น
กลายเป็นกลยุทธ์ด้าน HR ที่ยอดเยี่ยม ช่วยพัฒนาและรั้งคนเก่ง ๆ ไว้ให้ร่วมงานกับองค์กรต่อไป ตอบทั้งโจทย์ธุรกิจและโจทย์คนทำงาน
SCG เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่เผชิญความท้าทายด้านการบริหารคน
ช่องว่างระหว่างวัยเป็นประเด็นสำคัญ บริษัทพยายามยืดหยุ่นในหลายเรื่อง พยายามให้หัวหน้าแผนกเป็นคนสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ให้พนักงานหนุ่มสาวทำงานอย่างมีสุข ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทิ้งคุณค่าร่วมของบริษัทที่สั่งสมมานับร้อยปีด้วย
พนักงานกว่า 50,000 คนในเครือมีความหลากหลายสูงมาก ทั้งเพศ วัย ความสนใจ และความฝัน
องค์กรนี้ให้ความสำคัญกับทีมที่มีความหลากหลาย เชื่อว่าทีมจะทรงพลังบนความหลากหลาย ทำให้เกิดธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากองค์กรนี้ คือการให้ความสำคัญกับความฝันของคน รับฟัง ส่งเสริม สร้างสรรค์ และเปลี่ยนให้กลับมาเป็นประโยชน์ในทางธุรกิจที่ดีกับทั้งองค์กรและตัวเขาเอง
หากองค์กรไหนมองว่าพนักงานคือคน รู้ว่าความฝันเขาคือใคร
ลองช่วยปลูกความฝันนั้นด้วยกัน ช่วยกันมองในแว่นทางธุรกิจ เพื่อให้ฝันนั้นยืนระยะต่อไปได้ องค์กรนั้นจะได้ใจคนในไม่ช้า