ถ้าตลอดเวลา 1 สัปดาห์ มีอาหาร (ทั้งประเภทและปริมาณ) ให้กินเพียงเท่านี้ตามรูปด้านล่าง คุณผู้อ่านคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้ไหมคะ
ประเทศที่ผลิตอาหารได้เองอย่างเรา คงนึกไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีข้าว ไม่มีผักจากผืนดิน เราจะทำอย่างไร หรือแม้แต่คนเมืองที่ไม่ต้องปลูกผักเลี้ยงหมูกินเอง อยากกินอะไรก็แค่ขับรถออกจากบ้าน หรือกดสั่งจากโทรศัพท์ มีอาหารให้เลือกทุกประเภททุกชาติ อยากทำเองก็ซื้อวัตถุดิบจากตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต จะทำอย่างไรถ้าเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ไม่มีอะไรให้ซื้ออีกต่อไป
แต่เป็นเรื่องน่าทึ่งที่คนอังกฤษยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเมื่อกว่า 80 ปีมาแล้ว เขาอยู่ได้ด้วยอาหารเท่าที่เห็นในรูปจริง ๆ ค่ะ นี่คือปริมาณอาหารสำหรับผู้ใหญ่ 1 คน ต่อ 1 สัปดาห์ ถ้าเป็นเด็ก ๆ (อายุ 5 – 16 ปี) หรือหญิงมีครรภ์ (และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ) จะได้ผลไม้สดเพิ่มเติม ได้นมวันละไพนต์ (Pint คือหน่วยตวงของเหลว เท่ากับ 568 มิลลิลิตร) และได้ไข่เป็น 2 เท่าของที่ผู้ใหญ่ได้ รวมทั้งได้น้ำมันตับปลาและน้ำส้มเพิ่มเติมด้วย
สิ่งที่เกิดในตอนนั้น คือสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยความที่อังกฤษเป็นเกาะ กลยุทธ์หนึ่งที่นาซีเยอรมนีเลือกใช้คือตัดเสบียง ใช้เรือดำน้ำ U-boat ถล่มเรือที่นำสินค้าและอาหารต่าง ๆ มายังอังกฤษเสียเลย
ปี 1939 ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่ม ชาวอังกฤษราวครึ่งหนึ่งยังอยู่ในสภาวะทุพโภชนาการ คือได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และยังนำเข้าอาหารมากถึง 2 ใน 3 ของที่กินกันอยู่ทั้งประเทศ
แต่เมื่อนำเข้าอาหารไม่ได้เพราะเรือเยอรมันคอยเล็งถล่มอยู่ รัฐบาลอังกฤษจึงต้องออกมาตรการรับมือในเรื่องอาหารหลัก ๆ 2 อย่าง คือให้มีระบบปันส่วนอาหารและให้ผลิตอาหาร คือปลูกผักกินเองค่ะ ‘อ่านอร่อย’ วันนี้ จึงจะขอเล่าเรื่องระบบปันส่วนอาหาร ที่ชาวอังกฤษทั้งเกาะร่วมแรงร่วมใจกันอดทนเพื่อชาติ แม้จะไม่ได้ไปออกรบ แต่ทุกคนต้องช่วยกันผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตไปให้ได้
ระบบปันส่วนอาหาร หรือ Rationing ถูกนำมาใช้เพื่อให้ทุกคนมีพอกิน ความหลากหลายของอาหารก็มีแค่เท่าที่เห็นในรูปบวกกับผักผลไม้เท่านั้น แต่ไม่มีให้เลือกเยอะมากนัก ไม่มีกล้วย หอมใหญ่ ไม่มีช็อกโกแลต ต้องกินไข่ผง มันฝรั่งผง หรือแม้แต่เนื้อวาฬ ผักที่พอจะมีเยอะหน่อยอย่างแคร์รอต ก็ถูกนำมาทำเป็นสารพัดเมนูคาวหวาน รวมทั้งใช้เป็นของให้ความหวานแทนน้ำตาลด้วย (เพราะน้ำตาลกำลังขาดแคลน) แต่เดิมที่ชาวอังกฤษเคยปรุงแคร์รอตด้วยวิธีต้มกินเป็นส่วนใหญ่ ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แคร์รอตถูกนำมาใช้ทำซุป สตู อบ ทำพุดดิ้ง คุกกี้ หรือแม้แต่ทำแยม
เรียกว่าอังกฤษผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้ด้วยระบบ Rationing ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนจะได้รับอาหารและสินค้าต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมและเหมาะสม ไม่ว่าจะมีระดับรายได้ต่ำสูงเพียงใด
ทำไมรัฐบาลอังกฤษจึงคิดใช้วิธีปันส่วนอาหาร
คำตอบก็คือ เพราะมีบทเรียนมาแล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีโจมตีด้วยวิธีตัดเสบียงเช่นกัน (คือใช้เรือดำน้ำ U-boat คอยถล่มเรือสินค้า) สถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นที่ในปี 1917 เยอรมนีทำลายเรืออังกฤษทุกชนิด ตั้งแต่เรือขนสินค้าและเรือประมง ประมาณกันว่าจนถึงเดือนสิงหาคม 1917 ชาวประมงและผู้โดยสารกว่า 40,000 คนต้องล้มตายไป เกิดวิกฤตถึงขั้นที่อังกฤษทั้งประเทศมีน้ำตาลเหลือกินได้อีกแค่ 4 วัน มีแป้งเหลือพอใช้อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ประชาชนต่างตื่นตกใจและออกมาซื้อหาอาหารตุนไว้ จนราคาอาหารพุ่งสูงปรี๊ด จนรัฐบาลอังกฤษต้องออกมาตรการปันส่วนอาหารในปีถัดมา (1918)
เมื่อเห็นแววว่าอาจเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย รัฐบาลอังกฤษจึงวางแผน เตรียมทำสมุดคูปองปันส่วนเพื่อเริ่มใช้ระบบปันส่วนอาหารในเดือนมกราคม ปี 1940 เริ่มจากอาหารพื้นฐานอย่างเบคอน เนย น้ำตาล ตามมาด้วยอาหารอื่น ๆ ในปี 1942 เช่น เนื้อสัตว์ ชา แยม ขนมปังกรอบ ชีส ไข่ ไขมันสัตว์ นม ผลไม้กระป๋องและผลไม้แห้ง จนท้ายสุด อาหารแทบทุกอย่างยกเว้นผักสดและผลไม้สด ล้วนเข้าระบบปันส่วนทั้งสิ้น
แม้สงครามจะสิ้นสุดในปี 1945 แต่การปันส่วนยังถูกบังคับใช้ต่อมาจนถึงปี 1954 เพราะแม้สงครามจะสงบแล้ว แต่ระบบเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ยังต้องฟื้นฟูประเทศกันอีกมาก อาหารยังคงขาดแคลนค่ะ เท่ากับคนอังกฤษอยู่ใต้ระบบปันส่วนนานถึง 14 ปี
เมื่อมองย้อนไป นักเขียนและนักประวัติศาสตร์อาหารต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า การตัดสินใจใช้ระบบปันส่วนอาหารและนโยบายให้ประชาชนปลูกผักผลไม้กินเอง (Dig For Victory) ในยุคนั้น ทำให้ชาวอังกฤษมีสุขภาพดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
กล่าวคือ แม้จะเป็นภาวะข้าวยากหมากแพง โน่นไม่มี นี่ไม่พอ อาหารที่มีกินก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่ชาวอังกฤษทั่วประเทศมีสุขภาพดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะบริโภคเนื้อสัตว์ ไขมัน และน้ำตาลน้อยมาก (เนื่องจากไม่มีให้กิน!) แต่กินผักผลไม้เยอะกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในช่วงเดียวกัน ปี 1943 คนฝรั่งเศสได้รับพลังงานเพียงราว 1,500 แคลอรีต่อวัน แต่คนอังกฤษได้มากถึงเกือบ 3,000 แคลอรีต่อวันในปี 1944 (มาตรฐานแบบตัวเลขกว้าง ๆ คือ ผู้หญิงต้องการพลังงานประมาณ 2,000 แคลอรีต่อวัน และผู้ชายต้องการ 2,500 แคลอรีต่อวัน)
นอกจากสุขภาพดีแล้ว Marguerite Patten หนึ่งในนักโภชนาการของ Ministry of Food ยังระบุว่า เธอคิดว่าชาวอังกฤษก็คงภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Home Front หรือ ‘แนวหน้าที่บ้าน’ ที่ช่วยให้ชนะสงคราม
Ration Book หรือสมุดคูปองเบิกอาหารปันส่วน หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ ชาวอังกฤษจะมีสมุดคูปองแบบนี้ประจำตัว ของใครของมัน
วิธีใช้ก็คือ เมื่อจะซื้อของ ต้องนำสมุดที่ว่านี้ไปให้พนักงานร้านขายของฉีกคูปองตามรายการที่สั่ง (อย่างในรูปด้านบนคือคูปองสำหรับซื้อเบคอน) แต่วิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยากสำหรับพนักงาน ในปี 1941 จึงเปลี่ยนวิธีเป็นให้พนักงานประทับตราบนคูปองแทน
แม้แต่สมาชิกราชวงศ์อังกฤษก็ต้องใช้สมุดคูปองปันส่วนอาหารเช่นกัน หน้าตาไม่ต่างจากสมุดของประชาชนเลยค่ะ
ชาวอังกฤษชื่อ Terry Vardy เล่าไว้ในเว็บไซต์ของ BBC ว่า ครอบครัวไหนมีสมาชิกเยอะก็ยิ่งดี เพราะหมายถึงจะได้อาหารปันส่วนมามากหน่อยสำหรับทำกินทั้งครอบครัว และทุกคนต่าง ‘ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารพิเศษ’ เช่น อาจได้ผักผลไม้จากสวนของเพื่อนบ้าน หรือบางครั้งชาวนาก็จะเอาพืชผลออกมาแอบขาย ลูกค้าก็จะบอกกันปากต่อปาก และอาจต้องเดินทางไปไกลมากเพื่อให้ได้ผัก 1 ถุงหนัก ๆ กลับมาบ้าน แต่ก็คุ้มค่า
นอกจากสมุดคูปอง รัฐบาลยังใช้ระบบแต้ม (Points System) สำหรับอาหารบางอย่าง ทุกคนจะมีแต้มประจำตัว และใช้แลกอาหารได้ตามจำนวนแต้มที่กำหนด เช่น เนื้อกระป๋อง ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าว มันสำปะหลัง
Clarissa Dickson Wright นักประวัติศาสตร์อาหารอังกฤษ วิเคราะห์ในหนังสือ A History of English Food ว่านี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาด เพราะรัฐบาลอยากให้อาหารอะไร ‘ขายออก’ มาก ๆ (อาจด้วยเหตุผลว่ามีปริมาณเยอะ หรืออยากให้ประชาชนกินเพื่อเหตุผลทางสุขภาพ) ก็แค่กำหนดแต้มให้ต่ำเข้าไว้ เธอยกตัวอย่างว่า เมื่อครั้งมีไส้กรอกหมูจากสหรัฐอเมริกา ชาวอังกฤษยังไม่ค่อยกล้ากิน แต่เมื่อรัฐบาลกำหนดแต้มให้ต่ำลงจาก 16 แต้มเป็นแค่ 8 แต้ม ก็จูงใจให้คนเลือกกินไส้กรอกแบบนี้มากขึ้น
นอกจากนี้ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาทำกับข้าวกินเอง (เช่น หนุ่มโสดหรือคนเดินทาง) รัฐบาลยังจัดการให้มีร้านอาหารราว 2,160 ร้านทั่วประเทศ ขายของกินร้อน ๆ ในราคาถูก ประกอบด้วยซุปร้อน ๆ มันฝรั่งต้ม เนื้อบด มีของหวานเป็นพุดดิ้งและคัสตาร์ด เพื่อให้มีเรี่ยวแรงไปทำงานต่อ
ผักสดและผลไม้สดนั้นไม่ถูกปันส่วน แต่หายากหรือไม่มีเลย ผลไม้บางอย่างต้องนำเข้า เช่น ส้ม เลมอน กล้วย ช่วงสงครามที่เรือสินค้ามาส่งไม่ได้ อังกฤษจึงแทบไม่มีผลไม้พวกนี้กินเลย ลองนึกสภาพที่วันนี้เราเดินเข้าซูเปอร์ฯ ในเมืองไทยแล้วไม่มีกล้วยกับส้มให้ซื้อสิคะ
ขอเล่าถึงกล้วยสักนิดค่ะ เพราะเป็นผลไม้ยอดนิยมแบบสุด ๆ ของคนอังกฤษ
• หนังสือพิมพ์ Financial Times ปี 2009 ระบุว่ากล้วยเป็นสินค้าขายดีที่สุดอันดับ 3 ของอังกฤษ โดยมีมูลค่าซื้อขายรองจากน้ำมันเชื้อเพลิงและลอตเตอรี่
• รายงานปี 2015 ของ Banana Link องค์กรไม่แสวงผลกำไรในอังกฤษเพื่อการค้ากล้วยที่เป็นธรรมระบุว่า กล้วยเป็นผลไม้ยอดนิยมอันดับ 1 ของคนอังกฤษ (ปริมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของผลไม้ทั้งหมดที่บริโภค รองลงมาคือแอปเปิล) และอ้างว่าปริมาณการบริโภคกล้วยต่อหัวในอังกฤษสูงที่สุดในยุโรป
• เว็บไซต์ Produce Business UK ตีพิมพ์รายงานเมื่อต้นปี 2021 ว่า ตลอดปี 2020 วัดจากยอดขาย กล้วยยังคงสถานะเป็นผลไม้ยอดนิยมอันดับ 1 ของคนอังกฤษแม้ในช่วงเวลาล็อกดาวน์
อย่างไรก็ดี คนอังกฤษยุคนี้ที่ไม่เคยผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 คงนึกไม่ถึงว่า ในปี 1943 ศิลปิน Harry Roy ถึงกับแต่งเพลง When Can I Have a Banana Again? เพราะตั้งแต่ปี 1940 – 1945 ไม่มีกล้วยและส้มมาถึงเกาะอังกฤษเลยสักลูก (บางแหล่งข้อมูลระบุว่ามีเหมือนกัน แต่แพงจับจิต) ฤดูหนาวปี 1945 เด็ก ๆ ชาวอังกฤษหลายร้อยคนที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นกล้วย ถึงกับไปยืนดูเรือสินค้าด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นเรือที่ขนกล้วย 10 ล้านผลมาจากจาเมกา เป็นกล้วยเขียว ๆ ที่ยังดิบอยู่ และต้องเก็บไว้อีกราว 1 สัปดาห์กว่าจะจัดจำหน่ายได้
Clarissa Dickson Wright ยังเล่าความทรงจำส่วนตัวไว้ในหนังสือ A History of English Food ว่า ตัวเธอเองเกิดปี 1947 คือหลังสงครามสงบ 2 ปี (แต่ระบบปันส่วนอาหารยังคงใช้อยู่จนถึงปี 1954) และมีเพื่อนรุ่นพี่ที่จำเรื่องราวยุคสงครามได้ (ซึ่งสมัยนั้นก็ยังเด็ก ๆ กันอยู่) เพื่อนของเธอเล่าว่า เด็ก ๆ จะได้ส่วนแบ่งเนยคนละเล็กละน้อยต่อวัน จึงใช้วิธีอดใจไม่กินเนยเลย เพื่อจะได้มีเนยสดหอม ๆ มากพอปาดหน้าขนมปังปิ้งให้สะใจสัก 1 ครั้งต่อสัปดาห์
เรื่องขนมไม่ต้องพูดถึง ในปี 1942 ขนมหวานของเด็ก ๆ และน้ำตาลก็หนีไม่พ้น ต้องเข้าระบบปันส่วนเช่นกัน กว่าจะยกเลิกก็ปาเข้าไปปี 1953 คงเป็นเรื่องสุดแสนทรมานของเด็ก ๆ เหมือนกันนะคะ
ภาพด้านบนนี่อาจเรียกได้ว่าเป็นภาพที่มีเสียง ที่เห็นแล้วก็พลอยดีใจไปด้วยนะคะ BBC รายงานข่าววันนั้นไว้ว่า ทันทีที่มีประกาศยกเลิกการปันส่วนขนมหวานและน้ำตาล เด็ก ๆ ทั่วอังกฤษต่างพากันทุบกระปุกออมสินแล้วพุ่งตรงไปที่ร้านขนมใกล้บ้าน ของหวานที่ขายหมดในพริบตาคือทอฟฟี่แอปเปิล (ผลแอปเปิลเคลือบน้ำตาล) รวมทั้งนูกัต (Nougat – ถั่วเคลือบน้ำตาล) และลิเคอริซ (Liquorice – ตังเมรสชะเอม)
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า บริษัทผลิตขนมหวานบางแห่งร่วมฉลองโอกาสนี้ด้วยการแจกขนมให้เด็ก ๆ ฟรี ส่วนผู้ใหญ่ที่ชอบกินของหวานก็ดีใจไม่น้อย และมีภาพคนต่อคิวซื้อขนมกลับไปฝากคนที่บ้าน
แน่นอนค่ะว่าในภาวะที่สินค้ามีน้อยแต่ความต้องการมีเยอะย่อมมีตลาดมืด เพราะประชาชนบางกลุ่มยังพอมีเงินอยู่บ้างและต้องการซื้อหาอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกเหนือจากอาหารปันส่วน จึงมีเหตุการณ์ผู้คนแอบขโมยอาหารจากโกดังออกมาขายในตลาดมืด บางครั้งชาวนาชาวไร่จะแกล้งทำเป็น ‘ลืม’ และแจ้งปริมาณพืชผลที่ตนผลิตได้แบบผิด ๆ หรือพนักงานร้านขายเนื้ออาจแอบขายเศษเนื้อที่แอบขยักไว้ให้ลูกค้าที่มีเงินพอจับจ่าย Clarissa Dickson Wright กล่าวว่า บางวัน พ่อของเธอซึ่งทำงานเป็นหมอ เอาเนื้อกลับมาบ้านเพราะคนไข้นำมามอบให้เป็นของขวัญ แต่แม่เชื่อว่าเนื้อเหล่านั้นได้มาจากตลาดมืด (ซึ่งแม่ไม่เห็นด้วย) แม่จึงไม่ยอมกินเลยแม้สักคำเดียว
ในเมื่อทรัพยากรสำหรับปรุงอาหารมีจำกัดเหลือเกิน Ministry of Food พยายามช่วยประชาชนด้วยการให้คำแนะนำ จัดให้มีอีเวนต์สาธิตการทำอาหาร ออกใบปลิว นิตยสาร และสปอตทางวิทยุ เพื่อให้ความรู้คุณแม่บ้าน เช่น โปสเตอร์ด้านล่างแนะนำวิธีจัดการกับอาหารเหลือ และวิธีทำเค้ก บิสกิต และสโคนโดยไม่ต้องใช้ไข่
ใบปลิวให้คำแนะนำประชาชนจาก Ministry of Food
Marguerite Patten หนึ่งใน Food Advisor ของ Ministry of Food เล่าว่า หน้าที่โดยตรงของเธอคือสาธิตการทำอาหารให้แม่บ้านอังกฤษ เพื่อสอนตำรับอาหารที่จะช่วยให้ทำกินได้นานที่สุดและอุดมคุณค่าทางอาหารมากที่สุด
Marguerite ยังเล่าด้วยว่าบางครั้งเหล่าแม่บ้านประสบการณ์สูงก็ไม่ฟังเธอเท่าไร เพราะถือว่าตนเองทำครัวมาทั้งชีวิต เช่น บางคนพูดกับเธอว่า “แม่สาวน้อย ฉันทำแยมมาตั้งแต่เธอยังไม่เกิดนั่นแน่ะ” แต่หน้าที่ของเธอคือต้องยืนยันให้ทุกคนทำตาม เธอสอนตำรับทำแยมที่ใช้น้ำตาล 60 เปอร์เซ็นต์ (เพื่อประหยัดน้ำตาลแต่ยังคงรสอร่อย) และมีกรรมวิธีบรรจุที่ถูกต้องเพื่อให้เก็บไว้กินได้นาน
BBC นับว่าเป็นสื่อที่บันทึกประวัติศาสตร์สังคมช่วงนั้นไว้เป็นอย่างดี เพราะมีการจัดให้ประชาชนเข้าไปเล่าประวัติศาสตร์ของครอบครัว จึงขอรวบรวมเรื่องที่น่าสนใจมาไว้ให้อ่านกันนะคะ
• Stanley Jones บันทึกไว้ในปี 2004 ว่า จำได้ว่าพ่อแม่ต้องใช้ความพยายามกันอย่างสุดฤทธิ์ และเสียสละอาหารปันส่วนของตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าลูก ๆ จะได้กินอิ่ม ยุคนั้นยังไม่มีอาหารฟาสต์ฟู้ด เด็ก ๆ เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน บรรดาแม่ ๆ ก็ทำอาหารกันอย่างจริงจัง เขาได้กินสตูกระต่าย (เมนูหนึ่งที่หายไปจากตำราอาหารอังกฤษสมัยใหม่แล้ว) และผักที่พ่อปลูกเอง แม่จะเก็บรวบรวมทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อไว้ทำมื้อพิเศษวันอาทิตย์ เมนูวันจันทร์ที่เขาจำได้จะเป็นเนื้อเย็น มันฝรั่งและหอมใหญ่ต้ม และมีพุดดิ้งข้าวเป็นของหวาน ไม่มีขนมหวานให้กินนอกจากช่วงคริสต์มาส ที่นอกจากขนมแล้ว จะเป็นช่วงพิเศษที่ครอบครัวจะได้กินไก่ย่างกันเพียงปีละครั้ง เป็นไก่ที่ครอบครัวเขาเลี้ยงเอง
อาหารเช้า ถ้าโชคดีก็จะได้กินเกล็ดข้าวโพดกรอบหรือ Cornflakes แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็น Milksop (ขนมปังแช่ในนมร้อนและโรยน้ำตาลเล็กน้อย) ไม่มีกล้วยหรือส้มให้กิน แต่เพื่อนบ้านบ้านข้าง ๆ มีต้นแอปเปิลต้นใหญ่ (ที่บางครั้งผลแอปเปิลก็ร่วงอยู่ในเขตบ้านเขา) เวลาน้ำชาจะมีเพียงแค่ขนมปังกับแยม วันไหนพิเศษหน่อยก็จะมีแซนด์วิชไส้แฮม
• Joan Styan เล่าว่า แม่จะใช้วัตถุดิบทุกอย่างอย่างคุ้มค่าที่สุด และบังคับให้ลูก ๆ กินอาหารทุกอย่างในจานให้หมด แทบไม่มีผลไม้ให้กินนอกจากแอปเปิลที่ปลูกเอง และเธอไม่เคยเห็นกล้วยหรือส้มเลย แม่มักจะเอาคูปองชาไปแลกกับคูปองน้ำตาลของเพื่อนบ้านเพื่อเอามาเลี้ยงลูกเล็ก ๆ 3 คน เนยมีน้อยมาก แม่ต้องใช้เนยเทียมแทน (Joan กล่าวว่ารสชาติแย่มาก!) ได้กินไข่ 1 ฟองทุก ๆ 2 สัปดาห์
สมัยนั้นอยากได้อะไรก็ต้องเข้าคิว เข้าคิวทุกอย่าง คำถามยอดฮิตของลูกค้าที่เธอได้ยินก็คือ “Is there anything under the counter?” หรือมีอะไร (นอกระบบปันส่วน) ให้ฉันไหม แม้จะอยู่อย่างค่อนข้างลำบาก แต่ Joan และครอบครัวก็รู้สึกขอบคุณในทุกอย่างที่ได้รับ
• ส่วน Anne Butcher เล่าว่า บรรดาแม่ ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้อาหารแต่ละมื้อมีความหลากหลาย และเธอจำไม่ได้เลยว่าต้องทนหิวแม้สักครั้งเดียว เพราะแม่จะทำทุกอย่างให้ลูก ๆ กินอิ่มเสมอ อย่างไรก็ตาม อาหารหลายอย่าง ‘แปลก’ เช่น ไม่มีน้ำตาลมาใส่ชา บางครั้งก็ต้องใช้แซกคาริน (ขัณฑสกร) น้ำผึ้ง หรือแม้แต่แยมแทน แต่ Anne กล่าวว่าคนก็ทนดื่ม ๆ ไป ขนมปังไม่อร่อยแถมยังแข็ง แต่ทุกคนก็กินไป แคร์รอตขูดถูกนำมาใช้แทนผลไม้ ต้องกินไข่ผงแทนไข่ของจริง (ซึ่งเธอบอกว่าไม่อร่อยเลย) แทนที่จะเป็นไข่คนฟู ๆ นุ่ม ๆ แต่เมื่อเอาไข่ผงมาทำก็ให้ความรู้สึกเหมือนกินยาง
นอกจากนี้เธอยังเล่าว่า มีร้านขายเนื้อม้าที่แต่เดิมขายเพื่อให้คนซื้อไปให้สุนัขกิน แต่ช่วงสงคราม เธอเห็นป้าย Fit for Human Consumption แขวนไว้หน้าร้าน เนื้อม้าไม่ได้ถูกปันส่วน แต่ต้องไปต่อคิวซื้อ เนื้อม้านั้นปรุงยาก แม้จะต้มเคี่ยวอยู่นานก็ยังไม่หายเหนียว แต่แน่นอนว่าไม่มีใครทิ้งอาหาร
เนื้อปลาหายากมากเพราะชายฝั่งถูกปิด หากได้ปลาสดมาสักตัวก็ถือว่ามีค่าอย่างยิ่ง แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่รัฐบาลพยายามให้ประชาชนกินเนื้อวาฬ (ซึ่ง Anne กล่าวว่าไม่รู้เหมือนกันว่าวาฬตัวนี้ถูกจับและนำมาถึงเกาะอังกฤษได้อย่างไร!) แต่หนังสือพิมพ์และรายการวิทยุต่างช่วยกันโปรโมตให้ประชาชนนำไปทำสเต๊กเนื้อวาฬ Anne กล่าวว่าเนื้อวาฬนั้นกินไม่ได้เลย ทั้งเหนียวและคาว
Anne ยังกล่าวอีกว่า สำหรับเธอ เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นเรื่องตลกในครอบครัวไปแล้วเมื่อนำมาเล่าให้ลูก ๆ หลาน ๆ ฟัง แต่เธอได้นิสัยหนึ่งติดมาจากช่วงสงคราม คือจะไม่กินทิ้งกินขว้างและจะไม่ทิ้งอาหารเป็นอันขาด (ยกเว้นเนื้อวาฬ!)
เล่ามาถึงตรงนี้ ลองนึกสภาพกันดูนะคะว่าหากวันหนึ่งเราซื้อทุกอย่างที่อยากกินไม่ได้เหมือนเคย แต่ต้องถือสมุด 1 เล่มไปที่ร้าน เอาคูปองไปแลกอาหารพื้น ๆ เพียงไม่กี่อย่างกลับมา ต้องทำอย่างนี้เป็นปี ๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กินของโปรดอีก เราจะรู้สึกอย่างไร
เรียกได้ว่าแม้สงครามจะโหดร้าย แต่ระบบปันส่วนอาหารก็ยังมีความดีอยู่ เพราะเป็นวิธีจัดการให้คนอังกฤษมีอาหารการกินที่ ‘ถูกหลักโภชนาการ’ และช่วยเพาะนิสัยใช้ทรัพยากรอาหารอย่างประหยัดและรู้คุณค่าให้ชาวอังกฤษตลอด 14 ปีค่ะ