Episode นี้ เราคุยกันถึงตัวอย่างธุรกิจครอบครัวที่ขึ้นชื่อมากเรื่องการรักษาความเป็นส่วนตัว คนภายนอกจึงไม่ทราบเกี่ยวกับธุรกิจและครอบครัวนี้มากนัก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจยอมทำตัวโปร่งใสกับภายนอกมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่บริษัทก็ไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลมากมายขนาดนี้

ทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจ

ธุรกิจที่ว่าคือของครอบครัวของตระกูล Mars ผู้ผลิตช็อกโกแลต m&m, Snickers, Three Musketeers, Milky Way และ Twix รวมถึงผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอย่าง Pedigree, Whiskas, Nutro และ Royal Canin ทั้งยังซื้อธุรกิจหมากฝรั่งจากตระกูล Wrigley ในปี 2008 อีกด้วย

เห็นรายชื่อธุรกิจยาวเรียงราย จึงไม่น่าแปลกใจที่ Mars จะเป็นบริษัทใหญ่อันดับ 6 ในบรรดาบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Privately Held Company) ของอเมริกา และตระกูล Mars ยังเป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

อาณาจักรธุรกิจของตระกูลนี้มีรากเหง้าพื้นเพมาอย่างไร

ธุรกิจช็อกโกแลตของ Mars เกิดขึ้นโดย Frank Mars ซึ่งเรียนการทำช็อกโกแลตแคนดี้จากแม่ระหว่างเติบโตในรัฐมินนิโซตา

ต่อมา Frank และภรรยาคนที่ 2 ชื่อ Ethel เริ่มก่อตั้งกิจการช็อกโกแลตปี 1911 ในเมืองทาโคมา รัฐวอชิงตัน ก่อนจะย้ายสำนักงานใหญ่ไปเมืองมินนีแอโพลิส เมืองชิคาโก และเมืองแมคลีน รัฐเวอร์จิเนีย ในเวลาต่อมา

ในปี 1923 ได้คิดค้นช็อกโกแลตแท่ง Milky Way ซึ่งว่ากันว่าไอเดียมาจาก Forrest Mars ลูกชายจากภรรยาคนแรกที่อยากได้ขนมที่ผสมระหว่าง Milkshake กับ Candy และโฆษณาว่าเป็น “Chocolate malted milk in a candy bar”

ต่อมาปี 1930 เริ่มผลิต Snickers และปี 1932 ผลิต Three Musketeers

Forrest ขัดแย้งกับพ่อ เนื่องจาก Frank ไม่ยอมขยายธุรกิจไปประเทศแคนาดาอย่างที่เขาขอ เลยออกจากบริษัทพร้อมเงิน 5 หมื่นเหรียญฯ และลิขสิทธิ์ในการผลิต Milky Way นอกสหรัฐอเมริกา

Forrest เดินทางข้ามมหาสมุทรไปตั้งธุรกิจในสหราชอาณาจักร คิดค้น The Mars Bar และยังขยายกิจการไปขายอาหารสัตว์เลี้ยงกระป๋องอีกด้วย

Frank เสียชีวิตในปี 1934 ด้วยวัยเพียง 50 ปี ธุรกิจในอเมริกาสืบทอดต่อไปยังภรรยาคนที่ 2 และน้องชาย จนในปี 1945 ภรรยาของ Frank เสียชีวิต Forrest จึงกลับมารับช่วงธุรกิจต่อ

ระหว่างนั้นในปี 1941 Forrest เริ่มผลิตช็อกโกแลตแคนดี้ที่ “Melts in your mouth, not in your hand” ออกขายในชื่อ m&m ซึ่งย่อมาจากนามสกุลของ Forrest Mars และ Bruce Murrie ลูกชายของ William Murrie ประธานบริษัทช็อกโกแแลต Hershey ที่ถือหุ้นอยู่ 20%

ระหว่างนั้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงก็ขยายกิจการจนกลายเป็นแบรนด์ Whiskas Cat Food

Forrest ให้ความสำคัญกับคุณภาพที่สุด เล่ากันว่า m&m ไม่ผ่านมาตรฐานเขา เพราะตัว mไม่พิมพ์อยู่ตรงกลางเม็ด

มาถึงรุ่นที่ 3 ลูกของ Forrest มี 3 คน Forrest Jr, John และ Jacqueline ซึ่งคำสอนที่ Forrest Sr สอนลูก ๆ คือ ให้ประหยัด ไม่เชื่อคนนอกครอบครัว และอย่าไว้ใจสื่อ

ตระกูลนี้จึงให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของธุรกิจและครอบครัวเป็นอย่างมาก

Forrest Sr. ไม่ยอมเลิกทำงานจนแก่ ในที่สุดลูกชาย John ที่อายุ 60 ปีหมดความอดทน เลยถามว่าจะต้องทำงานให้พ่อไปอีกนานเท่าไหร่ Forrest Sr. จึงยอมเกษียณตัวเอง แต่ก็ยังไม่วางมือจากการทำงานเสียทีเดียว เขาไปสร้างแบรนด์ใหม่ชื่อ Ethel M ผลิตช็อกโกแลตระดับ Gourmet Premium จำหน่าย

ปัจจุบันธุรกิจครอบครัวของตระกูล Mars อยู่ภายใต้การบริหารของทายาทรุ่น 3 และ 4 หุ้นบริษัทแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กัน โดย John กับ Jacqueline ทายาทรุ่น 3 ถือคนละส่วน ในขณะที่ส่วนสุดท้ายแบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กันระหว่างลูกสาว 4 คนของ Forrest Jr. ที่เสียชีวิตไปแล้ว คือ Victoria, Valerie, Pamela และ Marijke

สำหรับการทำงานในธุรกิจครอบครัวของสมาชิกตระกูล Mars นั้น แต่ละคนจะต้องเริ่มงานที่ตำแหน่งเริ่มต้น Entry Level และยังสนับสนุนให้ออกไปมีประสบการณ์จากธุรกิจอื่นนอกครอบครัวก่อนอีกด้วย

Victoria Mars ทายาทรุ่น 4 ให้สัมภาษณ์ว่า ความท้าทายอย่างหนึ่งของการทำงานในธุรกิจของครอบครัวคือ ไม่ทราบว่าเราทำดีพอและได้รับการประเมินตามความสามารถจริง ๆ รึเปล่า ดังนั้น การได้รับความสำเร็จจากธุรกิจนอกครอบครัวมาก่อนจึงช่วยสร้างความมั่นใจได้

สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่รุ่นต่อไป คือการทำให้สมาชิกครอบครัวรุ่นที่ 5 ยังอยากทำธุรกิจครอบครัว ซึ่งคนรุ่นปัจจุบันต้องเริ่มปล่อยวาง เพราะโลกจะเปลี่ยนไป ธุรกิจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในรุ่นหน้า

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ตระกูล Mars ได้สนับสนุนให้ทายาทรุ่นหลังทำอะไรที่ตนเองชอบ ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจครอบครัว ต่างจากอดีตที่สมาชิกครอบครัวรุ่นก่อน ๆ ที่จะเลือกทำงานในบริษัทครอบครัวเท่านั้น

“They have a stewardship responsibility to Mars, but their job does not have to be in the family business”

Mars ยึดหลักว่า สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว แต่ไม่จำเป็นต้องทำงานกับธุรกิจครอบครัว

ดังนั้น ในช่วงกว่า 110 ปี ธุรกิจครอบครัวของ Mars จึงได้เปลี่ยนผ่านจากการก่อตั้ง (Founding) ไปสู่การดำเนินกิจการ (Operating) ไปสู่การกำกับดูแล (Governing)

แต่ยังตั้งใจคงความเป็นบริษัทครอบครัว ไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ก่อหนี้ ทำให้รักษาความเป็นอิสระในการตัดสินใจไว้ได้เพราะไม่มีข้อผูกมัดทางการเงิน

การให้สัมภาษณ์ของ Victoria เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจครอบครัวของตระกูล Mars ที่เราคุยกันมานี้อาจจะเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่สำหรับ Mars นั้นถือเป็นสิ่งแปลกใหม่

เพราะตระกูลนี้ขึ้นชื่อมากในเรื่องการรักษาความเป็นส่วนตัว คนภายนอกจึงไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและธุรกิจของเขามากนัก

แม้ตอนที่ Forrest Mars Sr. เสียชีวิตในปี 1999 บริษัทก็ไม่ได้ออกข่าว

แต่ปัจจุบัน Mars ได้เปิดเผยและยอมทำตัวให้โปร่งใสกับภายนอกมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่บริษัทครอบครัวอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลมากมายก็ได้

กลับมาที่คำถามในตอนแรก ทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจ

เหตุผลก็คือโลกเปลี่ยนแปลงไป

สมัยปู่ของ Victoria ผู้บริโภคสนใจแต่ผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว ผู้บริโภคสนใจเรื่องราวและบุคคลที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ด้วย หรือก็คือเรื่องราวของ ‘ธุรกิจ’ และของ ‘ตระกูล’ นั่นเอง

ซึ่ง Victoria บอกว่า ถ้าเราไม่เล่าเรื่องของเราเอง คนอื่นก็จะเล่า ดังนั้น เราเล่าเองก่อนดีกว่า

อีกตัวอย่างที่สำคัญคือ Mars โดนโจมตีเรื่องแรงงานเด็ก แรงงานทาส และการทำลายป่าไม้ในอุตสาหกรรมโกโก้ แต่บริษัทก็ยืนยันว่ากำลังดูแลเรื่องเหล่านี้อยู่

ในปี 2017 มีการเริ่มโครงการ Sustainable in a Generation โดยโฟกัสที่ Healthy Planet (Climate Change และการกำจัดขยะ) Thriving People (เพิ่มรายได้และโอกาสให้เกษตรกรขนาดเล็กและผู้หญิง) และ Nourishing Wellbeing (สุขภาพคนและสัตว์) ซึ่งสอดคล้องกับ UN Sustainable Development Goals อีกด้วย

หากเราถอดบทเรียนจากธุรกิจครอบครัวนี้ จะได้เรียนรู้ว่าหลายธุรกิจให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว บางธุรกิจถึงขนาดไม่ยอมขยายเพราะไม่ต้องการกู้เงินจากภายนอก หรือระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ที่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ

แต่ประสบการณ์จาก Mars ก็แสดงให้เห็นว่า Private Firm ก็ดำรงความเป็นส่วนตัวไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านรสนิยมของผู้บริโภค และเทคโนโลยีการเข้าถึงข่าวสาร

และการเปิดเผยข้อมูลเองอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่ารอให้คนอื่นพูดถึง

Host

Avatar

ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์

ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ University of California, San Diego นักวิชาการผู้หลงใหลเรื่องราวจากโลกอดีต รักการเดินทางสำรวจโลกปัจจุบัน และสนใจวิถีชีวิตของผู้คนในโลกอนาคต