Episode นี้ เราคุยกันถึงตัวอย่างธุรกิจครอบครัว ที่เมื่อครอบครัวมีขนาดใหญ่ขึ้น ความต้องการของสมาชิกรุ่นลูกหลานก็หลากหลายขึ้น จนนำไปสู่การแยกทางของทั้งครอบครัวและธุรกิจครอบครัว

ตัวอย่างที่เราจะมาคุยกันวันนี้ คือธุรกิจครอบครัวของตระกูล Pritzker ตระกูลนี้ยิ่งใหญ่มาก เป็นตระกูลที่รวยที่สุดในชิคาโก นอกจากรวยแล้วยังมีบทบาททางการเมืองอีกด้วย สมาชิกตระกูลคนหนึ่ง คือ คุณ J.B. Pritzker ปัจจุบันเป็นผู้ว่าการมลรัฐอิลลินอยส์ สมาชิกอีกคนคือ คุณ Penny Pritzker ก็เป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลประธานาธิบดีโอบามา

ในด้านสังคม ตระกูล Pritzker มีมูลนิธิต่าง ๆ มากมาย และเป็นผู้ก่อตั้งรางวัล Pritzker Architecture Prize ซึ่งถือเป็นรางวัลโนเบลสำหรับสถาปนิก

ถึงแม้ผู้ฟังหลายท่านจะไม่เคยได้ยินชื่อตระกูล Pritzker มาก่อน ผมเชื่อว่าท่านต้องรู้จักธุรกิจครอบครัวของตระกูลนี้ เพราะตระกูล Pritzker เป็นเจ้าของแบรนด์โรงแรม Hyatt ที่มีโรงแรมในเครือหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงเป็นหุ้นส่วนใน Royal Caribbean Cruise Line และเป็นเจ้าของธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมายในอดีต

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจครอบครัว Pritzker ที่สุดท้ายแยกทางกันไป

ก่อนอื่น เราต้องมาคุยกันก่อนว่าธุรกิจของตระกูล Pritzker มีที่มาที่ไปอย่างไร

รุ่นหนึ่ง Jacob Pritzker เป็นชาวยิวอพยพจากยูเครน ตั้งบริษัทกฎหมาย

รุ่นสอง Abram Nicholas Pritzker เป็นนักกฎหมาย ทำงานบริษัทพ่อ

รุ่นสาม เป็นรุ่นที่เริ่มธุรกิจและเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน ลูกของ Abram Nicholas Pritzker 3 คน ได้แก่ Jay, Robert (Bob) และ Donald ที่ตายตั้งแต่ยังหนุ่ม

รุ่นสี่ มีทั้งหมด 11 คน พร้อมอีก 2 คน ซึ่งเป็นลูกของ Bob จากภรรยาคนที่ 2

ความยิ่งใหญ่ของธุรกิจเริ่มต้นเมื่อ Jay ทายาทรุ่นสาม ซื้อโรงแรมใกล้ ๆ กับสนามบิน Los Angeles International Airport ในปี 1957 เป็นจุดกำเนิดของแบรนด์ Hyatt โดยมีแนวคิดที่ว่า นักธุรกิจที่เดินทางโดยเครื่องบิน คงอยากพักโรงแรมดี ๆ ที่ไม่ไกลจากสนามบินนัก

แม่ของ Jay ขอให้เขาหาธุรกิจให้ Bob น้องชาย ก็เลยไปซื้อ Colson Corporation บริษัทผลิตเก้าอี้คนพิการและจักรยาน ซึ่ง Bob ก็ทำให้ธุรกิจมีกำไรมหาศาล รวมถึงไป Take Over บริษัทอื่น ๆ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Marmon Group

Jay กับ Bob ช่วยกันสร้างธุรกิจครอบครัว Pritzker ในอีก 50 ปีต่อมาจนเป็นอภิมหาอาณาจักร พี่น้อง 2 คนนี้รักกันมาก ๆ พวกเขาบริหารธุรกิจครอบครัวด้วยหลักการ One for All โดยเน้นการร่วมกันสร้างความมั่งคั่งให้ตระกูล และเอาประโยชน์จากกงสีเฉพาะเมื่อแต่ละคนมีความจำเป็นเท่านั้น ซึ่งเงินใน Trust Fund กงสีไม่ใช่แหล่งรายได้ของแต่ละคน

Jay กับ Bob บิน Economy Class เข้าคิวเช็กอินที่โรงแรม Hyatt ของตัวเองเหมือนคนทั่วไป

ต่อมา Jay Pritzker วางมือในปี 1995 ในจดหมายที่ Jay และ Bob เขียนให้สมาชิกครอบครัวรุ่นต่อไป ซึ่งเหมือนกับพินัยกรรมว่าด้วยการจัดการมรดก เนื้อความมีดังนี้

เขาต้องการมอบหมายให้ Tom ลูกชาย Jay เป็นผู้นำธุรกิจรุ่นต่อไป โดยมีลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน คือ Nick กับ Penny ช่วยเป็นมือซ้ายมือขวา

Tom จึงเริ่มเข้ามาดูแลธุรกิจตั้งแต่ปี 1980 ด้วยวัยเพียง 29 ปี ซึ่งพื้นฐานของเขาไม่ได้สนใจธุรกิจ เขาสนใจกฎหมายและมีแพสชันเรื่องประวัติศาสตร์วัฒนธรรมหิมาลัยและทิเบต ถึงขั้นมีงานเขียนที่ได้ตีพิมพ์

Jay ณ ตอนที่ส่งมอบธุรกิจก็คาดหวังว่าทุกอย่างจะสืบทอดต่อไปอย่างราบรื่น

แต่ผิดคาด

Tom คิดว่าสมาชิกครอบครัวที่เข้ามาช่วยทำงานในธุรกิจ สมควรได้ส่วนแบ่งทรัพย์สินมากกว่าสมาชิกที่ทำงานส่วนตัวหรือไม่ทำงาน เพราะลูกพี่ลูกน้อง 11 คนมีความสนใจต่างกัน

แต่ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง ลูก ๆ ของ Jay และ Bob ยังไม่ปะทุออกมา จนกระทั่ง 4 ปีต่อมาที่ Jay เสียชีวิตในปี 1999

ปี 2000 Danny กับ John ลูกของ Jay ร่วมมือกับ Tony และ JB ลูกของ Bob เขียนจดหมายถึง Tom, Nick และ Penny ว่าต้องการแบ่งสมบัติ แต่ตกลงกันไม่ได้เลยจ้างทนาย สุดท้ายก็ล็อบบี้ลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ มาเข้าพวกได้ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทะเลาะกันเอง

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ Jay วาดฝันไว้

ปี 2001 ผู้ตรวจบัญชีพบว่าครอบครัว Pritzker ไม่ได้เป็นเจ้าของ 2 ธุรกิจ (ประกันภัยกับชิปปิ้ง) อีกต่อไป แต่ทรัพย์สินถูกโอนไปให้กองทุนของ Abigail Marshall แม่ยายของ Tom โดยคนที่ได้รับประโยชน์จากกองทุนนี้ก็คือ Tom ภรรยา และลูก ๆ ของเขา

และยังพบว่า Tom, Nick และ Penny ได้หุ้นมากกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ มาตั้งแต่ปี 1995 ที่ Jay วางมือ

เขาทั้งสามโต้แย้งว่า พวกเขาควรได้มากกว่าเพราะทำงานมากกว่าคนอื่น และยังสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยที่คนอื่น ๆ ในตระกูลก็ได้รับประโยชน์ด้วย ซึ่งคนอื่นก็เห็นด้วยในประเด็นนี้ แต่ก็ไม่น่าจะได้มากกว่าขนาดนี้ เช่น ในธุรกิจ Grand Victoria Casino นั้น ทั้งสามถือหุ้นกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมดของตระกูล Pritzker ส่วนสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ถือเพียง 3 เปอร์เซ็นต์

สุดท้ายในปีถัดมาคือปี 2001 ทุกคนตกลงกันได้ว่าจะแบ่งสมบัติกัน แต่ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก

เวลาเดินไปอีกปีเดียว ในปี 2002 Liesel ลูกของ Bob กับภรรยาคนที่ 2 ที่แยกทางกันไปแล้ว ซึ่งขณะนั้นอายุ 19 ปี (นักแสดงที่รับบทลูกสาว Harrison Ford ในหนัง Air Force One ในปี 1997) กับพี่ชาย Mathew อายุ 20 ฟ้องพ่อตัวเองในวัย 76 ปี และคนในตระกูล Pritzker อื่น ๆ ว่าโกงเงิน

พี่น้องคู่นี้ไม่ลงรอยกับพ่อมาโดยตลอด เพราะพ่อกับแม่แยกทางกัน จึงผูกพันกับแม่และพ่อเลี้ยงใหม่มากกว่าญาติพี่น้องตระกูล Pritzker ที่อายุห่างกันมาก

ปกติตระกูล Pritzker ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมาก ๆ เรื่องความขัดแย้งภายในตระกูลไม่เคยเล็ดลอดออกสู่สาธารณชน แต่ความขัดแย้งครั้งนี้ร้ายแรงจนเป็น Talk of the Town

สุดท้าย ปี 2005 ก็ยอมความกันว่า สองพี่น้องนี้ได้ไปคนละ 500 ล้านเหรียญฯ แลกกับการสละส่วนแบ่งในทรัพย์สินของตระกูล Pritzker ส่วนลูกพี่ลูกน้องอีก 11 คนก็แบ่งสมบัติที่เหลือ โดย Tom ตกลงแบ่งทรัพย์สินของตระกูลรวมถึง 2 บริษัทที่อยู่ใต้กองทุนของแม่ยาย ให้ลูกพี่ลูกน้องรุ่นที่ 3 ของตระกูล และตกลงที่จะรายงานสถานะทางการเงินของธุรกิจครอบครัวให้โปร่งใส

ครอบครัวขายหุ้นบางส่วนของ Hyatt ให้ Goldman Sachs ในปี 2007

ขาย Marmon Group ให้ Berkshire Hathaway 60 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2007 และ 40 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือในปี 2013

และโอนเงิน 50 เปอร์เซ็นต์ ของ Pritzker Family Foundation ไปให้มูลนิธิที่พี่น้องแต่ละคนก่อตั้ง

สุดท้าย สิ่งที่ Jay วาดฝันไว้ให้ธุรกิจครอบครัว เป็นธุรกิจของสมาชิกทุกคนในตระกูลอย่างยั่งยืนยาวนานก็พังทลายลง

Jay สามารถรวมคนในครอบครัวได้ แต่หลังจากที่เขาตาย ครอบครัวและธุรกิจก็แตกแยก แม้ว่าภรรยาของ เขาจะพยายามเป็นกาวเชื่อมสมาชิกครอบครัวไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ

บทเรียนที่เราได้จากครอบครัว Pritzker ประการแรกก็คือ พ่อแม่อาจคาดหวังเกินไปว่าลูกหลานจะอยู่ร่วมกันได้ แต่กลับลืมนึกถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความต้องการที่แตกต่างกันไป ยิ่งครอบครัวใหญ่ สมาชิกมาก ก็แตกต่างกันมาก สุดท้ายก็อาจทะเลาะกันในที่สุด

เป้าหมายของธุรกิจครอบครัวจึงไม่ใช่การบังคับให้ทุกคนต้องอยู่แบบฝืนความต้องการร่วมกัน แต่จะทำอย่างไรให้แต่ละคนได้รับความเป็นธรรม ไม่โดนเอารัดเอาเปรียบ และมีความสุขจากการเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจครอบครัว

Host

Avatar

ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์

ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ University of California, San Diego นักวิชาการผู้หลงใหลเรื่องราวจากโลกอดีต รักการเดินทางสำรวจโลกปัจจุบัน และสนใจวิถีชีวิตของผู้คนในโลกอนาคต