‘พลอย’ คือคำที่มีความสำคัญ 2 ประการ (เป็นอย่างน้อย) ในชีวิตของ ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง
หนึ่ง นี่คือชื่อภาพยนตร์ที่เขาชอบที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตผู้กำกับ แม้เขาจะออกตัวเสมอว่าเวลาย้อนดูภาพยนตร์เก่าๆ มักเห็นบาดแผล
สอง นี่คือชื่อเล่นของนักแสดงที่เขาเคยร่วมงานกันถึง 2 ครั้ง แม้เขาจะออกตัวว่าปกติไม่ค่อยใช้นักแสดงซ้ำในภาพยนตร์ของตนเอง
ครั้งแรกคือ เรื่อง เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล (Last Life in the Universe) ที่เข้าฉายเมื่อปี 2546 ครั้งที่สองคือ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับวัย 55 อย่าง Samui Song ที่จะเข้าฉายต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2561
นับนิ้วมือบวกลบก็เกือบ 15 ปี ที่ทั้งสองต่างแยกย้ายไปมีเส้นทางของตัวเองจนเวียนมาบรรจบพบกันอีกครั้ง
จากสถานะดาวรุ่งเมื่อวันก่อน วันนี้ พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ยึดเส้นทางในวงการบันเทิงมาแล้วเกิน 20 ปี มีผลงานละครและภาพยนตร์ออกมามากมายเกินกว่าจะไล่หมดภายในย่อหน้าเดียว แม้จะมีข่าวคราวไม่สู้ดีผ่านสื่อบันเทิงออกมาเป็นระยะจากการปะทะกับสื่อด้วยตัวตน แต่มองในฐานะนักแสดงคนหนึ่งและการยืนระยะมาอย่างยาวนาน เราย่อมปราศจากคำถามในผลงานที่เธอฝากไว้ในวงการ
เมื่อเป็นเอกเขียนบทให้นางเอกในเรื่อง Samui Song เป็นดาราที่ชีวิตในวงการมายาไม่ได้สวยงามและราบรื่นนัก เขาจึงคิดถึงเธออีกครั้ง
ใครจะเหมาะไปกว่านี้-เป็นเอกว่าอย่างนั้นในวันที่เราพบกัน
ไม่ว่าพลอยในภาพจำของคนอื่นเป็นอย่างไร แต่การได้ร่วมวงสนทนาระหว่างเธอกับผู้กำกับที่ชวนคนคุยเก่งที่สุดคนหนึ่ง ทำให้ผมพบว่าเธอก็คือมนุษย์ธรรมดาที่มีรอยยิ้มอันสดใส มีเสียงหัวเราะอันสดชื่น มีเกรี้ยวกราดในช่วงเวลาที่โดนทำร้าย มีน้ำตาในช่วงเวลาที่พังทลาย
ไม่ว่าพลอยในภาพจำของคุณเป็นอย่างไร ผมอยากชวนอ่านบทสนทนาระหว่างเขาและเธอ
ก่อนอื่นอยากรู้ว่าการกลับมาเล่นภาพยนตร์อีกครั้งมันต่างจากการเล่นละครที่ผ่านมาไหม
พลอย : ชีวิตจริง การเล่นละคร การเล่นหนัง 3 อย่างนี้ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เอาชีวิตจริงออกไปก่อนนะ ชีวิตจริงมันก็คือชีวิตจริง มันไม่เหมือนในละคร เล่นหนังก็แบบหนึ่ง เล่นละครก็อีกแบบหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับอยากให้เป็นแบบไหน พลอยแค่รู้ว่าเวลาเล่นหนังพลอยเล่นเบอร์นี้ เวลาเล่นละครพลอยเล่นเบอร์นี้ จริงๆ พลอยก็อยากเล่นละครเบอร์เดียวกับหนังนะ แต่มักจะถูกบอกว่าให้แรงอีกๆ ซึ่งตอนหลังพอมาเล่นซีรีส์ก็ได้แสดงอะไรที่มันดูธรรมชาติมากขึ้น เหมือนหนังมากขึ้น เดี๋ยวนี้มันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
ถ้าให้พูดตรงๆ พลอยก็เบื่อเหมือนกันกับการที่ด่าเสร็จแล้วก็หันมารับกล้องสอง แล้วก็พูดกับตัวเองเหมือนอีบ้า คือนึกออกไหม ใครมันจะไปพูดกับตัวเอง เมื่อก่อนเซ็งมากเลยนะเวลาเจอบทที่พูดกับตัวเองประมาณ 5 บรรทัด พลอยนึกในใจ นี่มึงบ้าแล้ว อยู่กับนางเอกแป๊บหนึ่ง ทำเป็นหวานใส่ พอหันหลังปุ๊บพูดว่า ‘หึ แกโดนชั้นแน่’ เดี๋ยวก่อนนะ นางเอกเขาไม่ได้ยินเลยเหรอที่กูด่า
คือมันก็ต้องปรับ เดี๋ยวนี้ละครเขาก็พัฒนามากขึ้น มันก็ท้าทายเราเหมือนกัน แต่ถ้าให้กลับไปเล่นเหมือนเมื่อก่อนพลอยก็เครียดนะ มีประโยคหนึ่งที่ต้องพูดซึ่งพลอยเกลียดมากเลย ปัจจุบันยังเจออยู่นะ แล้วเวลาเจอเราก็จะบอกว่าเอาประโยคนี้ออกไปเลยนะคะ
ต้อม : ประโยคอะไร
พลอย : ‘คนบ้า คนผีทะเล คนหลอกลวง ฉันจะไม่เชื่ออะไรคุณอีกต่อไปแล้ว’ ยังมีอยู่ประโยคนี้ ไม่เจอมา 6 ปีแล้วมาเจออีกครั้ง เลยมองหน้าผู้กำกับ
ต้อม : ประโยคนี้กูต้องใส่ในหนังกูเรื่องต่อไปว่ะ ช็อตเปิดเลย (หัวเราะ) แต่เราเคยคุยกับกิ๊บซี่ (วนิดา เติมธนาภรณ์) คือกิ๊บซี่ไปเล่นเรื่อง ดอกส้มสีทอง แล้วละครเรื่องนั้นมันดังมาก กิ๊บซี่บอกว่า พี่อย่าไปคิดว่าเล่นละครแบบนั้นมันง่ายนะ มันไม่ง่าย มันใช้ทักษะอีกแบบหนึ่ง
พลอย : ใช่ มันไม่ง่าย แล้วตอนนี้พลอยทำงานถ่ายละคร พลอยมีโจทย์อย่างเดียวเลยว่าทุกครั้งจะเล่นอะไรที่คนไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วก็จะนั่งตื่นเต้นอยู่กับตัวเอง เราพยายามสร้างอะไรที่มันแปลกใหม่อยู่ ซึ่งมันยิ่งยาก เพราะเราไม่อยากเล่นอะไรที่คนเดาได้ว่าเดี๋ยวมันก็ทำอย่างนี้ เดี๋ยวมันต้องพูดอย่างนี้
การทำงานกับพี่ต้อมต่างกับการทำงานกับผู้กำกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมาไหม
พลอย : พลอยว่าทำงานกับพี่ต้อมไม่ยาก ถ้ายังไม่ถูกใจเดี๋ยวพี่ต้อมก็ให้เล่นใหม่เอง ก็เล่นไปเรื่อยๆ อย่างเรื่อง Samui Song ซีนที่ร้องไห้นี่ 13 เทคติดต่อกัน ซึ่งปกติฉากมหกรรมร้องไห้อย่างนี้ มากสุด 5 เทคชั้นก็เอาอยู่แล้ว ซึ่ง 5 เทคนี่คือเผื่อเลือกเลยนะ เหลือเฟือไปเลย แต่นี่ 10 ก็แล้ว 11 ก็แล้ว ช่วง 11 หรือ 12 พลอยต้องบอกว่า ‘พี่ต้อม ขอไปพักก่อน เดี๋ยวกลับมาใหม่’ เพราะว่าหัวมันเริ่มชา แล้วก็คิดว่า เอ๊ะ ทำไมเราทำไม่ถูกใจเขาสักทีวะ เริ่มเสียเซลฟ์ ไปนั่งคิดว่ากูแย่ลงหรือเปล่า หรือว่ายังไง แต่ก็เข้าใจว่าพี่เขากำลังพยายามหาอะไรสักอย่าง ก็ 13 เทคยาวไป
ระดับพลอยยัง 13 เทคเลยเหรอ
ต้อม : ใช่ แต่มันไม่เกี่ยวกับระดับฮะ คือระดับไหนก็โดนอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะเราไม่ได้เป็นผู้กำกับแบบกำกับการแสดง แต่คล้ายๆ กับว่าเราต้องเห็นต่อหน้าว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเราเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง ไม่ได้ใช้เทคนิคการแสดง ซึ่งมันยาก แล้วบอกไม่ได้ เราถึงต้องบอกนักแสดงทุกคนที่มาเล่นหนังเราว่าอย่าไปสนใจตัวเลขบนสเลทที่ตีนะ ตัวเลขจะเป็นเทค 1 หรือเทค 85 อย่าไปสนใจมัน ไม่ได้แปลว่ามึงเล่นเทคเดียวผ่านแล้วมึงเก่ง หรือไม่ใช่ว่าเล่น 20 เทคแล้วไม่ผ่านแปลว่ามึงไม่เก่ง แค่เรากำลังหาอยู่
แล้วตัวปัญหามันไม่ใช่มึง (หัวเราะ) ตัวปัญหามันคือโมเมนต์ที่จะเจอกัน ยังไม่นับว่าบางทีไอ้นี่เล่นดีฉิบหายแต่อีกคนเสือกไม่รอด หรือบางทีอีกคนดีฉิบหายแต่ไอ้นี่ดันเสือกไม่รอด หนังมันกี่องค์ประกอบล่ะ บางที 25 เทคผ่านไป โห ทั้งสองคนเพอร์เฟกต์แล้ว ตากล้องบอกขออีกเทค เมื่อกี้ out focus เราเลยบอกนักแสดงทุกคนที่เล่นหนังเราเลยว่าอย่าไปสนใจตัวเลขบนสเลท ตัวเลขบนสเลทไม่ได้บอกความเก่งของคุณเลย
คือชื่อชั้นของนักแสดงไม่ได้ส่งผลต่อความเกรงใจในการสั่งคัตในแต่ละเทคเลย
ต้อม : (หัวเราะ) ไม่มีผลครับ เกรงใจไม่ได้ เพราะเกรงใจปุ๊บเราจะมานั่งเสียใจกันทีหลังตอนเข้าไปห้องตัดต่อหรือตอนหนังเสร็จออกมาแล้ว เพราะมึงเสือกไปเกรงใจเขา เราเอาหนังสือของนักประพันธ์ระดับพี่วินทร์ เลียววาริณ, พี่วัฒน์ วรรลยางกูร มาทำเป็นบทหนัง เราไม่เคยเคารพหนังสือเขาเลยนะ แต่นั่นคือการเคารพที่สุด เพราะเราจะทำสิ่งที่เป็นหนังแล้วมันจะดีในแบบของมัน
เราเกรงใจใครไม่ได้ อาชีพผู้กำกับเป็นอาชีพที่ต้องมีความเห็นแก่ตัวสูงมาก ซึ่งเราไม่ได้ภูมิใจนะ ออกจะอายนิดๆ ในการทำอาชีพนี้ แต่มันเป็น fact ว่าถ้าเราเข้าใจทุกคนและไม่เห็นแก่ตัวมาก เราจะทำอาชีพนี้ไม่ได้ มันต้องไปทำอาชีพอื่น อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ไม่ว่าใครจะตายลงไปตรงไหนกูก็ต้องเอาคัตนั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นตอนจบทุกคนก็จะเสียใจกันหมด แต่ถ้าสุดท้ายหนังออกมาดี แล้วนักแสดงเขาได้รางวัลขึ้นมานะ โอ้โห เขาลืมหมดฮะ ไอ้ความโหดร้ายของเรา บางคนบอกด้วยว่า ‘พี่ อย่าลืมเอาหนูเล่นอีกล่ะ’
แล้วทำไมพี่ต้อมถึงเอาพลอยกลับมาเล่นอีกครั้งใน Samui Song หลังจากเคยร่วมงานกันตอน Last Life in the Universe
ต้อม : คือน้อยครั้งนะที่เราจะใช้นักแสดงซ้ำ แต่เราก็ถือว่า Last Life in the Universe พลอยเขาได้รับบทเล็กมาก บทมันเล็กไป และเดี๋ยวถ้าดู Samui Song ก็จะรู้ว่าทำไมเราเลือกพลอย เพราะว่าบทของนางเอกในเรื่องเขาเป็นดาราละครที่ชีวิตไม่ได้ราบรื่นนัก ซึ่งใครจะเหมาะไปกว่านี้
พลอย : เรานี่แหละ (หัวเราะ)
ต้อม : คือที่บอกว่าชีวิตไม่ได้ราบรื่นนักในเรื่อง Samui Song มันเป็นเรื่องความรักของตัวนางเอก แต่เราคิดว่าชีวิตจริงของพลอย ไอ้ความไม่ราบรื่นนักมันคือ เขาก็ไม่ใช่ที่รักของ…
พลอย : ทุกๆ คน
ต้อม : (หัวเราะ) ใช่ การเป็นนักแสดงในระดับท็อปขนาดนี้ในเมืองไทย เขาก็ไม่ได้มีชีวิตที่แฮปปี้กับสื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เราคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจความ suffer ของตัวละคร
จริงมั้ยที่พี่ต้อมเข้าใจอย่างนั้น
พลอย : โอ๊ย ไม่ต้องตอบค่ะ จริงไม่จริงทุกคนเขาก็รู้กันหมดว่าเราก็ suffer เหมือนกัน มันไม่ง่าย
ต้อม : ถามหน่อยสิ อันนี้อยากรู้เองนะ มันพูดได้มั้ยว่าปัญหาคืออะไร หรือพูดแล้วจะมีปัญหาหนักกว่าเดิม
พลอย : (หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ คือมันมีปัญหาหลายอย่าง ปัญหามันอยู่รอบๆ ตัวเรานี่แหละ เป็นร้อยเป็นพัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการปัญหานั้นให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดได้ยังไง ซึ่งมันก็ยากมากกับมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องมารับมือทุกอย่างให้ราบรื่นด้วยตัวคนเดียว ด้วยพลังสมองของคนคนเดียว พลอยก็ทำพลาดบ้าง หรือบางทีก็ทำได้ดีบ้าง บวกๆ ลบๆ กันไป แต่เป็นอะไรไม่รู้ ทำไมคนชอบตีกรอบหรือสร้างภาพว่าดาราเรื่องมาก ขี้วีน ขี้เหวี่ยง เหมือนดาราเป็นคนเลว
ต้อม : ไม่ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่น่ารักมากกับสื่อไง นึกออกไหม หมายถึงเธอไม่ใช่คนที่แบบ ‘ได้ค่ะพี่ ได้ค่ะพี่’
พลอย : พลอยก็เป็นคนกลางๆ ไม่ใช่คน sweet อะไร คือไม่ใช่เสียงเบอร์สองแบบ ‘ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ อ่อ ไม่พร้อมค่ะวันนี้ เครียดมากเลยค่ะ ตอนนี้ไม่เหมาะกับความรักค่ะ ขอเวลาไปเรียนหนังสือก่อนนะคะ แล้วก็ต้องดูแลพ่อแม่ค่ะ’ คือตอบเป็นดาร้าดารา แต่พลอยไม่เป็น
ต้อม : จากคนข้างนอกอย่างเรามองเข้าไป ด้วยความที่ไม่รู้ข้อมูลทั้งหมดนะ เราอยากรู้ว่าสื่อเขาต้องการอะไรจากพลอย
พลอย : เขาคงต้องการให้เราโมโหมั้ง แต่ตอนนี้คือเอาตัวออกห่างดีที่สุด ถ้ามีปัญหาวิธีดีที่สุดคือที่ไม่พูด เงียบดีที่สุด ไม่ต้องออกความคิดเห็นอะไรเลย คือเราอยู่ในจุดที่พยายามพูดก็แล้ว พยายามดีด้วยก็แล้ว ไกล่เกลี่ยก็แล้ว ประนีประนอมก็แล้ว มันก็ยังคงมีปัญหาอยู่ คือการจะให้ทุกคนเข้าใจเรามันเป็นไปไม่ได้เลย จะให้คนมารักพลอยหรือพร้อมที่จะเปิดใจมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนไม่ได้สัมผัสพลอยเท่าๆ กันหมด
ต้อม : แล้วโดนสื่อแบน ถูกแอนตี้ขนาดนี้ มันมีผลกับชีวิตไหม
พลอย : มันก็มีผล งานโฆษณาก็ถูกถอดออก เพราะคนเขาคิดว่าเราจะไม่มีงานแล้ว หรืออะไรต่างๆ มันก็ถาโถมเข้ามาหมด ถามว่าทรุดมั้ยในเรื่องสุขภาพจิต ทรุด เพราะรู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรม แต่เราก็ต้องเผชิญกับมันไป ต้องรักษาตัวเอง
ดูจากบุคลิกของพลอย หลายคนนึกภาพตอนทรุดไม่ออก
พลอย : ใครๆ ก็เป็นทุกคนเหรือเปล่าคะ
ต้อม : เห็นร้องไห้แล้วถ่ายรูปลงอินสตาแกรม
พลอย : ทีเดียว นานแล้ว ให้คนรู้บ้างว่าเราร้องไห้เป็น เพราะว่าปกติไม่ค่อยร้องให้ใครเห็น อันนั้นคือสุดจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พลอยก็เหมือนผู้หญิงทุกๆ คน เหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป คนเราต่อให้แข็งขนาดไหนก็มีจุดที่อ่อนเหมือนกัน แต่ว่าพลอยไม่ชอบแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็นนอกจากคนที่สนิทจริงๆ ทุกวันนี้เวลาเครียดอะไรก็เก็บไปร้องไห้ที่บ้านคนเดียว แล้วขังตัวเองอยู่สองวันสามวันกว่าจะออกมา แม่ก็รู้ คนอื่นก็เริ่มรู้แล้ว ถ้าเราหายปุ๊บแสดงว่ามีเรื่อง เขาจะรู้ว่าพลอยเป็นคนที่เครียดปุ๊บจะไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย อยากจะร้องไห้ร้องไปเลย ร้องแล้วก็หยุดนะ แล้วก็คิดด้วยว่าจะทำยังไงให้ตัวเองหายดี
ชีวิตช่วงที่โดนแบนถือเป็นช่วงที่ชีวิตแย่ไหม
พลอย : แย่ คือไม่ใช่ว่าไม่มีงานแล้วแย่นะ แต่ว่าเรื่องความคิดของเรา เรื่องหัวใจของเรา มันค่อนข้างแย่มาก
ต้อม : เสียความมั่นใจด้วย
พลอย : เสียความมั่นใจมันไม่สำคัญหรอกพี่ มันเสียใจมากกว่า เสียใจว่าทำไมเราต้องโดนขนาดนี้ เหมือนโลกไม่ใช่ของเรา เหมือนโลกนี้ถ้าฉันก้าวขาออกไปนอกบ้านมีคนพร้อมเอามีดไล่แทง เรารู้สึกกลัวโลกภายนอกไปเลย กลัวการที่จะต้องเจอคน กลัวว่าออกไปแล้วจะเจอปัญหา กลายเป็นคนที่ไม่กล้าออกไปไหน ไม่กล้าสัมภาษณ์อะไร เพราะไม่อยากมีเรื่อง หลังจากมีเรื่องมีราวคนก็เอาประเด็นมาจะสัมภาษณ์พลอย พลอยก็บอกไม่สัมภาษณ์ค่ะ ไม่สะดวกค่ะ คือใครจะพูดอะไรว่าไปเลยค่ะ
เรื่องทุกอย่างบางทีมันต้องใช้เวลาจริงๆ เรื่องมันเยอะเหมือนกันนะ มันเหมือนถาโถมเข้ามา คนเราโดนมีดเล่มเดียวแทงพลอยทนได้ โดนแทงสิบเล่มพลอยทนได้ แต่ถ้าโดนแทงเป็นร้อยครั้ง พลอยก็ต้องมีร้องบ้าง แต่การที่พอโดนร้อยครั้งแล้วพูดแค่ครั้งเดียวว่า ‘กู เจ็บนะเว้ย’ มันกลายเป็นแบบ อีนี่เลว อีพลอยเลว ทำไมทุกคนทำให้เรารู้สึกไม่มีพื้นที่ที่จะยืนในสังคมนี้เลย บางครั้งทำดีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ทำอะไรผิดนิดหน่อยหาว่าเป็นคนชั่ว
ต้อม : แต่มันแปลกนะ ตรงที่ว่าเวลาคนดูพลอยเล่นหนัง เขาเอนจอยที่จะดูพลอยเล่นเป็นคาแรกเตอร์ร้ายๆ เหี้ยๆ แต่ชีวิตจริงห้ามเหี้ยนะ เวลาดูในจอนี่แบบกูอยากเห็นมันด่าคน กูอยากเห็นมันแซ่บ แต่ชีวิตจริงมึงด่าใครไม่ได้นะ มึงอารมณ์เสียไม่ได้นะ โคตรแปลก เป็นอาชีพที่แปลกฉิบหายเลย
แล้วดาราไทยเป็นดาราชาติเดียวในโลกที่เราเห็นว่าต้องออกมาขอโทษประชาชนอยู่เรื่อยเลย กูไม่เห็นแองเจลิน่า โจลี่ จะขอโทษใครเลย เขาเลิกกับผัวมีใครไปขุดคุ้ยอะไรเขาก็ fuck you (พลอยหัวเราะเสียงดัง) คือดาราไทยเอะอะตั้งโต๊ะขอโทษตลอดเวลา เลิกกับแฟนก็ต้องมาขอโทษประชาชน จะมาขอโทษประชาชนทำไมวะ
พลอย : เรื่องที่พี่พูดหนูก็พูดกับเพื่อน แต่หนูพูดออกสื่อไม่ได้ เดี๋ยวคนด่า ลองพูดสิ โดนเลยมึง (หัวเราะ) บ้านเราไม่ใช่ประเทศเสรี พูดทุกอย่างมันยาก มันต้องอ้อมๆ ให้คนอื่นพูดแทน
ต้อม : เป็นผู้กำกับง่ายกว่านะ พูดอะไรคนก็บอกว่า พี่เขาติสท์ พี่เขาติสท์ (หัวเราะ) สบายกู พี่เขาติสท์
พลอย : (หัวเราะ) อยากเป็นอย่างนั้นบ้างนะ อย่างเราจะทำอะไรบางทีก็อยู่ในจุดที่ผิดง่ายไปหมด
ต้อม : แล้วเราว่ายิ่งโลกมีโซเชียลฯ ดาราที่เป็นอย่างนี้ยิ่งต้องระวังตัวหนักเข้าไปอีก
พลอย : ไม่ต้องเป็นดาราหรอก แค่เป็นคนธรรมดายังแย่เลย เดี๋ยวนี้ข่าวในโซเชียลฯ มันจริงบ้างไม่จริงบ้าง คนก็แค่ copy paste แค่แคปรูปลง แคปข้อความลง มันง่าย มันไม่มีการคัดกรอง ไม่มีการไตร่ตรอง ซึ่งพลอยว่าเราเสียเวลากันกับเรื่องพวกนี้ทำไมไม่รู้
ในขณะที่พลอยเล่นอินสตาแกรมมีคนตามหกล้าน แต่พี่ต้อมก็ไม่เอาเลย
พลอย : ฝากร้านทั้งนั้นแหละ ร้านค้าประมาณ 5 ล้าน (หัวเราะ)
ต้อม : แต่เราไม่ได้แอนตี้นะ หมายความว่าเราไม่ได้ต่อต้านสิ่งเหล่านี้ เราแค่ไม่มีความสนใจในมัน แล้วเผอิญว่าเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีมัน แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่เราต้องขายรองเท้ามือสองก็จะมีทันที หมายถึงว่าถ้ามันจะช่วยทำธุรกิจ หรือว่าวันหนึ่งเราอยากเสือกเรื่องชาวบ้าน เราก็จะมีทันทีนะ เพียงแต่เราไม่ได้ต้องการตอนนี้
ทุกวันนี้เวลาพลอยใช้โซเชียลฯ ต้องคอยระวังดราม่ามั้ย
ต้อม : เห็นมีรูปหนึ่งเป็นมือพลอยแล้วมีคนมาคอมเมนต์ว่ามือเหี่ยว แล้วพลอยบอกตีนก็เหี่ยว
พลอย : พลอยไม่ได้ใช้คำว่าตีน คือมันจะมีคนที่มาคอมเมนต์ก่อกวน เห็นคอมเมนต์ทุกรูปเลยว่า มือเหี่ยว นมยาน แก่แล้ว แล้วนี่พื้นที่ของพลอย พลอยก็คิดว่าพลอยจะตอบอะไรก็ได้ถูกมั้ย
ต้อม : นมยานเลยเหรอ กูว่าอันนี้แย่กว่าโดนสื่อแบนอีก กูยอมโดนแบนอีก 5 ปี แต่อย่าบอกว่ากูนมยานนะ (หัวเราะ)
พลอย : (หัวเราะ) มือเหี่ยวกับนมยานนี่ท็อปฮิตมาก มีมาตลอดเลย เราอุตส่าห์ข้ามไปแล้ว รำคาญ แต่ก็ยังมีเข้ามา ‘ใช่ๆ มือเหี่ยว’ พลอยก็เลยรู้สึกว่า ก็เห็นแคร์เรานัก เลยถามกลับไปว่า อยากดูเท้าด้วยมั้ยล่ะ ก็เห็นเป็นห่วงเป็นใยมาก แค่นี้ ก็เป็นเรื่องเลย
คือมองว่ามันธรรมดาที่เราจะตอบกลับไป
พลอย : ใช่ ธรรมดา
ต้อม : ธรรมดาห่าอะไรล่ะ กูยังว่าแรงเลย (หัวเราะ)
พลอย : แรงอะไร (หัวเราะ) ก็พลอยเห็นเขาแคร์ เป็นห่วงเป็นใย ก็เลยแค่ถามเขา ว่าอยากดูเท้าด้วยมั้ย
ต้อม : ชีวิตนักแสดงนี่มันโหดนะ คือแค่มายืนหน้ากล้องแล้วต้องแสดงเป็นตัวละครที่ผัวตายไปตอนอายุ 30 เราว่ามันก็ยากตายห่าแล้วนะ นี่ยังมีเรื่องการวางตัวในชีวิตจริงผสมเข้าไปอีก
กลายเป็นว่าในชีวิตจริงพลอยก็ห้ามเป็นตัวเองอย่างนั้นไหม ต้องแสดงไปเรื่อยๆ
พลอย : ไม่ๆ ชีวิตพลอยก็เป็นตัวเองไง ก็เลยโดนด่า
ต้อม : แต่ถ้าจะให้ราบรื่น มันก็ต้องแสดงไปเรื่อยๆ ใช่มั้ย
พลอย : ถ้าจะให้ราบรื่นมันอาจจะไม่ต้องแสดงก็ได้ แต่ต้องอดทนอดกลั้นให้มากที่สุด เหมือนถ้าเราอดทนอดกลั้น เราก็จะมีสติ แล้วก็จะมีปัญญา อย่างแรกเลยคือต้องอดทนอดกลั้นให้แน่นๆ ก่อน เหมือนเวลาเขาเอาไม้ฟาดหัวเราแล้วเราต้องบอกว่า ขอบคุณค่ะ อีกทีสิคะ ยินดีค่ะ
ต้อม : ฟาดหน้ากูอีกสักครั้ง (หัวเราะ)
พลอย : เอาเท้ามายันหน้าเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ คือเราต้องมีสติมากๆ ต้องอดทน แต่คงไม่ต้องถึงกับแสดงหรอก ถ้าแสดงเราคงเสียความเป็นตัวเอง ซึ่งมันไม่มีอะไรเสียไปเท่ากับการสูญเสียความเป็นตัวเองนะ มันเหมือนโดนย่ำยีศักดิ์ศรีเหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที พลอยว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่วิเศษมาก มนุษย์ถูกแยกออกจากสัตว์เพราะว่ามนุษย์มีสมอง มีหัวใจ มีศีลธรรม เพราะฉะนั้น มนุษย์เกิดมาเราถูกอนุญาตให้รัก โลภ โกรธ หลง นี่คือมนุษย์ มันเป็นเรื่องธรรมดามาก
หรือว่าอยากเป็นสัตว์ เราไม่อยากเป็นสัตว์ เราอยากเป็นมนุษย์ พลอยว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่เรารู้สึกกับสิ่งเหล่านี้ มันเป็นธรรมชาติ แต่บางทีเราก็เป็นธรรมชาติมากไม่ได้ เราต้องควบคุม แต่การควบคุมไม่ได้หมายความว่าเราต้องแสดงเป็นคนอื่น หรือแสดงเป็นคนดี หรือแสดงให้โลกรู้ว่าฉันเป็นคนอดทน ไม่ใช่ แต่เราต้องฝึกตัวเองนี่แหละ ให้มันอยู่กับสิ่งที่รายล้อมเราให้ได้
ต้อม : เรื่อง Samui Song ก็พูดเรื่องนั้นแหละ ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเลือกพลอย อย่างที่บอก เรารู้ว่าพลอยน่าจะเข้าใจด้านที่ไม่ค่อยสวยงามมากของชีวิตดารา อย่างเราทำงานกันก็ไม่ได้ราบรื่นนะ ก็มีทะเลาะกัน เราก็ทำพลอยฉุน พลอยก็ทำเราฉุน แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราชื่นชมพลอยมากก็คือเรื่องนี้ คือมึงอย่ามาคิดว่ากูเป็นดาราแล้วต้องแบบว่า ‘ค่ะๆๆ’ เราชื่นชมตรงนี้ เพราะเรารู้ไงว่าอุตสาหกรรมบันเทิงบ้านเรามันโคตรใจแคบเลย
พลอย : ใช่ แล้วเมื่อก่อนการเป็นนักแสดงหมายความว่าต้องเป็นแม่พิมพ์ของชาติด้วยนะ ซึ่งไม่ยุติธรรม ทำไมต้องมาโยนหน้าที่หลักนี้ให้กับนักแสดงว่าต้องเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชน แล้วอาชีพอื่นล่ะ ทำไมไม่ร่วมด้วยช่วยกัน ทุกคนก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับมนุษย์เหมือนกัน
ต้อม : แต่กูไม่ได้เป็นแม่พิมพ์ใช่มั้ย กูแค่มีความสามารถในการแสดง กูไม่ได้มาเคลมว่ากูเป็นคนดี (หัวเราะ)
พลอย : เราก็หม่นๆ เหมือนกัน คนเรามันเทาๆ จะเป็นคนดีทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ แต่หน้าตาพลอยมันดูร้ายด้วยไง หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตร (หัวเราะ) ทำไงได้ หน้าอยู่เฉยๆ ก็ร้ายแล้ว คือพลอยเป็นผู้หญิงที่เราสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ต้องเผชิญปัญหามาด้วยตัวเอง แก้ปัญหาด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 12 เราต้องดีลกับอะไรมาเยอะมาก เพราะฉะนั้น จะให้พลอยเป็นผู้หญิงใสๆ ทุกอย่างบวกไปหมดเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเจออะไรที่มันดาร์กมาเยอะ เพียงแต่บางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่ได้พูดออกไปว่าเราเจออะไรมาบ้าง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังอยู่ คนอื่นเขาไปไหนกันแล้ว
ต้อม : แถวบ้านเราเรียกว่าดักดาน (หัวเราะ)
พลอย : พลอยเป็นผู้หญิงทึนทึกและถึก รุ่นนี้ฉีดไบกอนไม่ตาย (หัวเราะ)
แล้วทำไมพลอยยังอยู่ตรงนี้ทั้งที่ฟังดูก็ทุกข์ทรมาน บาดเจ็บ หรือเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรอย่างอื่น
พลอย : ที่ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรเป็นไปไม่ได้ เพราะมีอะไรหลายอย่างให้ทำเยอะมาก
ต้อม : เปิดร้านหมูกระทะก็ได้
พลอย : เออใช่ หรือเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ได้ (หัวเราะ) แต่คือเราทำงานตรงนี้มาตั้งแต่อายุ 12 พลอยเริ่มตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ก สมัยนั้นมีแค่เพจเจอร์ พลอยเคยมาแคสต์โฆษณากับพี่ทาทา ยัง ด้วย เราอยู่ในยุคที่ต้องดิ้นรน แล้วทำงานมาตลอด คือเด็กทุกคนก็คงอยากมีชีวิตที่ไม่ต้องมานั่งแคสต์งานทุกศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ต้องมาหยุดเรียน ไม่ต้องมาโดนเขาเขียนกอสซิป เขียนด่า ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ราบรื่น ไม่มีใครมารบกวน แต่ว่าพอทำๆ ไปเราก็เริ่มรู้ว่าเราชอบอะไร เรารักอะไร แล้วพอเรารู้ ต่อให้มันเจอเรื่องหนักขนาดไหน พลอยก็คิดว่ากับสิ่งที่เรารัก เราจะไม่มีวันยอมแพ้ เหมือนกับเรารักคนคนหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ดีขนาดไหน ต่อให้เขาทำไม่ดีกับเรา แต่ถ้าเรารัก เราก็พร้อมจะแก้ไข พร้อมจะลุยกับมันต่อ งานก็คงคล้ายๆ กับคนที่พลอยรัก พลอยก็ยังคงอยู่ต่อจนทุกวันนี้
นอกจากเรื่องราวที่เจอ วงการนี้มันมีมุมสวยงามบ้างไหม
พลอย : มันมีความสุขเยอะแยะนะ ในเรื่องของการทำงานพลอยเชื่อว่าทุกคนมีความสุขแน่นอนถ้าเรามีแพชชันกับงาน อย่างที่บอก พลอยทำงานเหมือนคนรัก เหมือนพลอยรักแม่ เหมือนพลอยรักแฟน พลอยรู้สึกสนุกกับมัน รู้สึกตื่นเต้นกับมันตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เราก็แก่แล้ว อยู่มานานแล้ว จะตื่นเต้นอะไรหนักหนา แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ รู้สึกสนุกอยู่ ความสุขมันมีแน่นอน แต่ที่ไม่สุขเลยคือเวลาออกอีเวนต์ แต่งตัวสวยชุดสวยแล้วยังไง วันนี้จะเจออะไรก็ไม่รู้ แต่ในวงการบันเทิงมีเรื่องดีเยอะมาก แค่ไม่ได้ถูกหยิบจับมาให้คนได้รู้
แต่ถามว่าอยากทำอย่างอื่นมั้ย ก็อยากทำนะ จริงๆ มีช่วงที่เบื่อเหมือนกันที่ชีวิตต้องเป็นระบบแบบตื่น 7 โมง กลับถึงบ้าน 5 ทุ่ม อีกวันตื่น 6 โมงเช้า อาบน้ำ ออกไปอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เราทำมาทั้งชีวิต แล้วไหนจะเจอเรื่องบั่นทอนจิตใจอีก ก็มีเหมือนกันที่อยากจะอยู่ง่ายๆ อยากสบายแล้ว อยากจะไปใช้เงินที่หามา อยากจะนั่งแล้วก็เอาเงินโปรย (หัวเราะ) แต่ว่าไม่ได้หรอก สิ่งที่เรารักเราต้องไม่ยอมแพ้ เราต้องลุยไปให้ถึงที่สุด ก็คงทำอีกสักพักแล้วคงจะหาทางแลนด์แล้วแหละ
ต้อม : จะทำอีกกี่ปี
พลอย : ตอนนี้ก็อายุ 35 แล้ว ให้อีกสัก 5 ปี
ต้อม : แต่เราว่าอาชีพนี้เราไม่ได้เป็นคนกำหนดหรอก ว่าเราจะหมดอายุเมื่อไหร่ คนอื่นเป็นคนกำหนด คือวันนึงเขาเลิกจ้างก็คือจบ กำหนดไว้ 5 ปีอาจจะโดนเลิกจ้างใน 3 ปีก็ได้ หรือพอถึง 5 ปี ไอ้ปีที่กูมีฐานการเงินมั่นคงแล้ว กูจะออกแล้ว ดันเจอบทที่ดังขึ้นมา คราวนี้ไปต่อได้อีก 3 ปี ก็ไปนะ
พลอย : ถูก คือต้องดูอนาคตด้วย แต่พลอยแค่แพลนไว้ว่าน่าจะไม่เกินนี้ แล้วเดี๋ยวคงไปทำงานที่บ้าน เก็บค่าเช่าอพาร์ตเมนท์สวยๆ ถือกระเป๋าหนีบสบายๆ พาแม่ไปเที่ยว ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น แค่นี้ จบแล้ว ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่แต่ว่าเป็นสิ่งที่เราชอบนะ
ต้อม : ซึ่ง 5 ปีไม่นานหรอก
พลอย : ก็ไม่นาน คงสบายๆ แหละ ชีวิตนี้เจออะไรที่พีกมาเยอะแล้ว เราคงไม่ต้องการอะไรที่พีกไปกว่านี้
ต้อม : พีกกว่านี้เดี๋ยวหัวใจวายแล้ว (หัวเราะ)