ธรรมชาติที่แท้คือสิ่งที่ปรุงแต่ง จัดตั้ง หรือบังคับกันไม่ได้ ความอยากรู้อยากเห็น อยากเล่น อยากทดลอง ก็เป็นธรรมชาติที่เราไปบังคับเด็กๆ ไม่ได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตอนชื่นใจเกือบๆ 2 ขวบ พวกเราเคยมาที่ National Museum of Nature and Science หรือ KAHAKU ของโตเกียวแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นจะเรียกว่าชื่นใจยังไม่เข้าใจอะไรๆ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ว่าได้ ยังสนุกที่จะเดินไปเดินมาทั่วๆ อยากเอามือไปแตะไปจับ ไปกดปุ่มนั้นปุ่มนี้ ให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ได้เข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือข้อมูลอะไรเท่าไรนัก จะเรียกว่ามาแล้วไม่ได้เนื้อหาสาระอะไรก็ไม่ถูกซะทีเดียว เรายังมีความเชื่อส่วนตัวว่า อย่างน้อยในการเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ เด็กๆ ก็จะได้รับอะไรแล้วจัดเก็บไว้ในตัวเขาบ้างไม่มากก็น้อย อาจจะไม่ใช่ข้อมูลเนื้อหาวิชาการ แต่อาจจะเป็นบางความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดจากที่ใหม่ๆ เข้าสู่ตัวเขา แล้วมันจะอยู่ในนั้นไปชั่วขณะหนึ่งหรือยาวนาน
ทริปโตเกียวล่าสุดชื่นใจอายุ 5 ขวบกว่าๆ ในฤดูหนาวเดือนธันวาคมชื่นใจบอกว่า อยากไปพิพิธภัณฑ์ค่ะ แม่ว้าวมากที่ชื่นใจขออยากไปเอง เรามีตัวเลือกให้ชื่นใจ สุดท้ายชื่นใจเลือก National Museum of Nature and Science เพราะอยากไปดูไดโนเสาร์ ซึ่งกำลังอินมากช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้
ครั้งนี้เราใช้เวลาในแต่ละมุม แต่ละโซน กันนานเลย ซึ่งที่นี่เขาแบ่งส่วนการจัดแสดงเป็น 2 ส่วน คือ Global Gallery และ Japanese Gallery ตึกแรกที่เข้ามาเลยจะเป็นส่วนนิทรรศการที่จัดแสดงเกี่ยวกับธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ความดึกดำบรรพ์ต่างๆ นานา ไล่ไปตั้งแต่การกำเนิดชนชาติญี่ปุ่น สัตว์น้ำ สัตว์บก ไดโนเสาร์ และเจ้าหมาฮาจิโกะ หมาสัญลักษณ์ประจำชิบูย่าก็มีสตัฟฟ์ไว้อยู่ที่นี่ด้วยค่ะ
ส่วนนี้อยู่ในตึกเก่า เราจะเห็นสถาปัตยกรรมของเขาประกอบกันไปด้วย อย่างการใช้กระจกสีเข้ามาตกแต่ง พื้นไม้ และกรอบลายต่างๆ ในอาคาร ให้ความรู้สึกย้อนยุคไปกับเนื้อหาสาระของพิพิธภัณฑ์ได้ดีเชียวค่ะ
ถัดมาที่ตึกด้านหลัง Global Gallery ที่ตึกนี้ชื่นใจให้ความสนใจมาก ด้วยว่ามีการใช้มัลติมีเดียเข้ามาเป็นสื่อในการนำเสนอเนื้อหา อีกทั้งกราฟิกก็สวยงามเข้าใจง่ายสำหรับเด็กๆ เริ่มตั้งแต่การเกิดโลกใบนี้ ดำเนินมายังไง คนยุคโบราณหาเลี้ยงตัวเองยังไง มีรูปร่างลักษณะทางกายภาพแบบไหน ก่อนจะพัฒนามาจนถึงยุคเทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้ ตามทางเดินมีสัตว์ต่างๆ ประดับไว้เรียกความสนใจของเด็กๆ ในส่วนของการจัดแสดงแต่ละตู้ก็สวยงามน่าดูไปหมดค่ะ เด็กๆ ที่ชอบสัตว์หรือสนใจสัตว์ตัวไหนเป็นพิเศษรับรองจะต้องว้าว
ในส่วนของ Global Gallery มีด้วยกันถึง 6 ชั้นเลย ตอนเข้ามาเราหยิบโบรชัวร์แล้วให้ชื่นใจดูว่าอยากจะไปชั้นไหนก่อน (ในโบรชัวร์มีรูปภาพให้เด็กเข้าใจได้ง่ายค่ะ) ชื่นใจจิ้มที่รูปโซนเล่นของชั้น 3 เรียกว่าโซน ComPaSS เราเลยลองขึ้นไปกัน แต่น่าเสียดายที่วันนั้นบัตรเข้าเต็มแล้ว เราเลยไม่ได้เข้าไปเล่น ได้แต่เดินดูรอบๆ ซึ่งมันน่าสนใจมาก เดี๋ยวจะมาใหม่ในครั้งต่อไปแล้วจะมาเขียนเล่าให้ฟังกันอีกทีค่ะ และจากที่ดูในส่วน ComPaSS จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กๆ ได้เข้าไปเล่น ค้นคว้า หาคำตอบ โดยมีผู้ปกครองคอยช่วยดูแลความเรียบร้อยด้วยอีกที เราชอบมุมเล่นที่เขาวางจังหวะของสัตว์ต่างๆ ให้โผล่มาจ๊ะเอ๋เด็กๆ ชื่นใจมองตาละห้อยด้านนอก อยากเข้าไปมากๆ เลยล่ะ
จากส่วน ComPaSS เดินเข้าไปทักทายบรรดาสัตว์สตัฟฟ์ทั้งหลาย เขาจัดดิสเพลย์รวมเหล่าสัตว์ได้น่าดูมาก เห็นสัตว์แต่ละตัวอย่างชัดเจน ดึงดูดความสนใจของชื่นใจและเราเป็นอย่างมาก เพราะส่วนตัวแล้ว แม่นี่แหละที่ชอบมาพิพิธภัณฑ์แนวนี้ ^v^
ไล่เรียงลงมาที่ชั้นใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยโครงกระดูกและฟอสซิลไดโนเสาร์ นอกจากให้ความรู้ได้ดีแล้ว ยังช่วยให้เด็กๆ เห็นภาพที่เคยอ่านจากในหนังสือได้ดีขึ้นอีกด้วย อย่างไดโนเสาร์ไทรเซราทอปส์ (Triceratops) ที่ชื่นใจจำได้ว่ามี 3 เขา ก็ได้เห็นของจริงจากโครงกระดูกในครั้งนี้ล่ะ
นอกจากที่เด็กๆ ได้เดินดู สำรวจ ชีวิตมนุษย์ สัตว์ และธรรมชาติแล้ว ยังมีมุมให้เด็กๆ ได้ลงมือปฏิบัติและทดลอง ใช้เครื่องมือต่างๆ แบบของจริง โซนนี้ผู้คนล้นหลามพอควรค่ะ เพราะสนุกในการได้ลงมือและสมมติบทบาทในแบบของตัวเอง
กว่าเราจะออกมากันก็ตอนที่พิพิธภัณฑ์ปิดเรียบร้อย ตอนนั้นยังรู้สึกว่าไม่เต็มอิ่มเลยนะ ชื่นใจยังคงสนุก และคุกรุ่นความอยากเล่น อยากทดลอง และสมมติบทบาทนักวิทยาศาสตร์ที่หลงป่ากันอยู่อีก
แน่นอนว่าเราจะไม่พลาดที่จะมาที่นี่อีกในครั้งต่อๆ ไปที่มาโตเกียว เพราะเราอยากจะรู้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจของชื่นใจจะไปอยู่ที่มุมไหนของพิพิธภัณฑ์ในวัยที่เพิ่มมากขึ้น จะยังชอบอันเดิม แล้วเพิ่มเรื่องใหม่ หรือทำเมินกับเรื่องที่เคยชอบมากๆ ไปแล้วนะ ไม่ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน การมาพิพิธภัณฑ์ ให้มุมมองอะไรกับครอบครัวเรามากกว่าเนื้อหาที่สอดแทรกอยู่ในนั้นเสมอ เหมือนกับว่าพวกเราเองก็กำลังสร้างเนื้อหาในแต่ละครั้งที่ให้จดจำความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้เช่นกันค่ะ