สิ้นสุดการรอคอยของโรงแรมพิพิธภัณฑ์อันทาเคียที่ใช้เวลายาวนานถึงเกือบ 10 ปี เมื่อการเนรมิตความทันสมัยได้ถูกจัดวางให้อยู่ร่วมกับร่องรอยอารยธรรมได้อย่างกลมกลืน
เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ความตั้งใจก็ได้กลายเป็นความจริง เมื่อพวกเราได้มีโอกาสเข้าพักใน Museum Hotel ที่เมืองอันทาเคีย โรงแรมที่ออกแบบด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์และทันสมัย ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่โบราณสถานเปลือย

ความรู้สึกแรกที่ได้ก้าวย่างเข้าในโรงแรมและทอดสายตาบนสถาปัตยกรรมภายในที่ทันสมัย และผนวกเอาความโบราณการอย่างกลมกลืน คือความทึ่งเกินคำบรรยาย เพราะใครจะไปนึกว่าโรงแรมจะมาตั้งอยู่บนซากก่อสร้างปรักหักพังกว่า 2,000 ปี และที่เหลือเชื่อไปกว่านั้นคือ ก้อนหินเก่า ๆ เหล่านี้ได้เสริมสร้างมนตร์เสน่ห์ให้กับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างลงตัว
จะหาที่พักใดในโลกพิเศษเท่านี้คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ห้องพักที่ตั้งอยู่บนพื้นที่โบราณสถานซึ่งเริ่มต้นขึ้นในยุคโรมัน 2,000 ปี และมีศิลปะกระเบื้องโมเสกโรมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก คุณเคยนึกมั้ยว่า ตื่นนอนมาหรือก่อนเข้านอนจะได้เห็นร่องรอยของอาคารที่สร้างขึ้นเมื่อ 2 สหัสวรรษก่อน
จะมีใครบ้างที่ไม่ตั้งคำถามว่า โรงแรมแห่งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีเรื่องราวใดบ้าง กว่าจะมาถึงวันนี้ที่พวกเราสามารถเข้าไปมีประสบการณ์พักอาศัย
ความน่าประทับใจและคุณค่าคงไม่ใช่แค่การออกแบบอันทันสมัย เป็นตู้คอนเทนเนอร์ที่แขวนอยู่เหนือโบราณสถาน แต่เป็นเรื่องราวและเส้นทางของการก่อสร้างโรงแรมแห่งนี้ต่างหาก
จุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า
เมื่อ พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) Necmi Asfuroğlu นักธุรกิจตุรกีมีแผนสร้างโรงแรมแห่งใหม่ในเมืองอันทาเคีย แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือการเปิดศักราชหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล
ขณะเริ่มเตรียมพื้นที่นั้น ได้มีการขุดพบหลักฐานทางอารยธรรมบางอย่างขนาด 95 x 190 ม. ทำให้ทีมงานเรียกทีมขุดค้นมาสำรวจ สิ่งนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกนักในตุรกีที่เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณของโลกและมีการขุดค้นชิ้นส่วนโบราณวัตถุอยู่เรื่อยมา ทว่าการค้นพบนี้ทำให้ระบุได้ว่า หลักฐานที่เจอเป็นโบราณวัตถุเก่าแก่นับพันปี ระบุอายุได้ว่าอยู่ในยุคสมัยศตวรรษที่ 4 – 6 โดยประมาณ
ส่งผลให้ Adana Regional Council for Cultural Heritage Protection ภายใต้การกำกับดูแลของ Hatay Archeology Museum อนุมัติการสำรวจพื้นที่โดยรอบ

ในขณะนั้นยังไม่มีใครคาดคิดว่าจะพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งเท่าที่พบมาในศตวรรษที่ 21 ทีมงานวางแผนเริ่มขุดบ่อน้ำกว่า 29 บ่อ และเคลียร์พื้นที่โดยรอบ จึงเริ่มปรากฏหลักฐานแหล่งอารยธรรมโบราณที่เชื่อว่าเป็นอาคารสาธารณะ (Forum) บนพื้นที่กว่า 17,132 ตร.ม. ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองอันทาเคียตั้งแต่ ค.ศ. 1930 เลยทีเดียว
หลังจากนั้นมาโครงการนี้กลายเป็นวาระแห่งชาติที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวตุรกี ซึ่งดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) นักสำรวจและผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง 120 คน นักโบราณคดี 35 คน ที่ล้วนเป็นชาวตุรกี เดินทางมาจากทั่วประเทศ พร้อมด้วยเครื่องจักร 3 เครื่อง รถบรรทุก 10 คัน เพื่อขุดค้นและสำรวจพื้นที่กว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร
การขุดค้นนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงมากขึ้นไปอีกครั้ง เมื่อทีมสำรวจค้นเจอกระเบื้องหินโมเสกโรมันชิ้นเดี่ยวขนาด 1,050 ตร.ม. นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงวิลล่าและโรงอาบน้ำโรมันโบราณ อันเป็นหลักฐานบ่งบอกชั้นดินทางโบราณคดี 5 ชั้น สะท้อนอารยธรรมความรุ่งเรืองกว่า 13 ยุค รวมอายุมากกว่า 2,300 ปี ตั้งแต่ยุคกรีกเฮลเลนิสติก โรมัน ไบเซนไทน์ เซลจุก อาหรับ จนถึงจักรวรรดิอิสลามออตโตมัน พร้อมด้วยวัตถุโบราณอีกมากกว่า 30,000 ชิ้น

กระเบื้องหินโมเสกที่ค้นพบนี้ยังมีความพิเศษไปกว่านั้น เนื่องจากมันได้รอดพ้นภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วมและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในช่วง ค.ศ. 526 – 528 มาแล้ว เป็นเหตุให้ฐานบางช่วงของงานศิลปะที่ผ่านแรงสั่นสะเทือนมีความโค้งลอนและรอยแยก ดูเป็นความสวยงามไปอีกแบบ โดยเฉพาะเมื่อสะท้อนแสงแดด ยังมีการใช้งานต่อเป็นศิลปะประดับพื้นอาคารสาธารณะของยุคต่อมาช่วงศตวรรษที่ 6 ด้วย

โบราณวัตถุที่งดงามและคงอยู่กับกาลเวลาเหล่านี้ อาทิ กระเบื้องหินโมเสกภาพม้าบินเพกาซัสและนางไม้ (Bathing Pegasus and Three Fairies Nymphs) ที่มีความซับซ้อนและใช้สีมากถึง 160 เฉดสี ภาพเทพเจ้า Apollo and the Muses และกำแพงกรีกแห่งศตวรรษที่ 2 รูปปั้นหินอ่อน Eros เทพเจ้าความรักและความเสน่หาของกรีก สูงขนาด 70 เซนติเมตร จากศตวรรษที่ 2 บริเวณพื้นหินอ่อนแห่งศตวรรษที่ 3 กระเบื้องหินโมเสกชิ้นเดี่ยวลายเลขาคณิตซับซ้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งศตวรรษที่ 4 กระเบื้องหินโมเสกภาพ Megalopsychia (Greatness of soul) ผู้มีจิตใจสูงส่งและมีศีลธรรมรายล้อมด้วยนกนานาพันธุ์ ภาพกระเบื้องโมเสกต่าง ๆ ในวิลล่าโรมัน พื้นที่โรงอาบน้ำโบราณขนาดใหญ่
รวมถึงพื้นที่พักรอ สวนเปิดโล่ง สระน้ำ (Nymphaion) ห้องทานอาหาร และส่วนอาคารพบปะสังสรรค์ (Triclinium หรือ Banquet Hall) แห่งศตวรรษที่ 5 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะทางสังคมของชาวโรมันในวิลล่ายุคนั้น
สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
โจทย์สำคัญต่อมา คือ เมื่อค้นพบแล้ว ตระกูล Asfuroğlu จะเดินหน้าต่อหรือไม่ และจะทำอย่างไรกับโครงการสร้างโรงแรมไฮเอนด์บนพื้นที่โบราณสถานที่ประเมินค่ามิได้แห่งนี้
จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ตระกูล Asfuroğlu ได้ตัดสินใจมอบหมายภารกิจสำคัญนี้ให้ตกอยู่ในมือ Emre Arolat Architect หรือที่รู้จักกันดีในนาม ‘EAA’ สถาปนิกชื่อดังที่มาจากตระกูลสถาปนิกเก่าแก่ของตุรกี ผู้มีผลงานสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อหลายแห่ง และได้รับรางวัลสูงสุดของการประกวดการออกแบบสถาปัตยกรรมหลายรายการทั้งในตุรกีและระดับนานาชาติ

เจ้าของโครงการนักธุรกิจท่านนี้ได้ยืนกรานเดินหน้าและกดปุ่มไฟเขียว ถึงแม้สมาชิกในครอบครัวขณะนั้นทัดทานและทราบดีว่าต้องใช้เวลายาวนาน แถมงบประมาณสูงลิ่วแบบคาดการณ์ไม่ได้ ถึงขั้นมีมุกตลกที่นายธนาคารท่านหนึ่งกล่าวกับเขาว่า “มันเป็นงานที่ยากมาก และขอให้คุณมีอายุอยู่ถึงได้เห็นอาคารแห่งนี้สร้างเสร็จสิ้น!”
สถาปนิกและทีมงานไม่รอช้า รื้อผังใหม่และออกแบบพื้นที่โรงแรมให้ยกตัวสูงจากพื้น 15 เมตร เพื่อรักษาสมบัติชาติทุกชิ้นที่อยู่ที่ฐานของโรงแรมโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายใด ๆ พวกเขาใช้โครงสร้างเหล็กที่เชื่อมด้วยมือมากถึง 20,000 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าหอไอเฟลถึง 4 เท่า และวางเสาหลัก 66 แท่งในตำแหน่งที่มีการคำนวณอย่างดีเพื่อหลบหลีกวัตถุโบราณทั้งหลาย ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า จากประมาณ 30 – 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งลดจำนวนห้องพักจากแผนเดิม 400 ห้อง เหลือ 200 ห้อง รวมระยะเวลาของการขุดค้น การสร้าง และการตกแต่งยาวนานเกือบ 10 ปีเต็ม
ความพิเศษของการออกแบบ
สำหรับเราสองคนนั้น การเข้าพักที่ The Museum Hotel Antakya ในครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่พิเศษยิ่ง เพราะทำให้ได้สัมผัสถึงการออกแบบที่ผสมผสานความทันสมัย และการอนุรักษ์อารยธรรมของโลกได้อย่างกลมกลืนและลงตัว
ไม่ว่าจะเป็นการให้พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดลอยตัวเหนือพื้นที่พิพิธภัณฑ์ การออกแบบอาคารเปิดโล่งคล้ายพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ทางเดินเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่งอาคาร การวางรูปแบบห้องพักให้เป็นเหมือนตู้คอนเทนเนอร์ที่มีผนังกระจกเหลื่อมสลับไปมา รายละเอียดการตกแต่งภายในที่ไร้ที่ติ โดยมีความประณีต สุขุม ทั้งสอดแทรกเอกลักษณ์ของศิลปะออตโตมันและหินโมเสกในรูปแบบทันสมัย ไม่รู้สึกยัดเยียดจนเกินไป มีการเล่นสีที่เป็นกลางออกไปทางเอิร์ธโทน สอดรับไปกับพื้นที่และสภาพแวดล้อม ใช้วัสดุที่มีลูกเล่นของทองแดง พื้นไม้ และไฟตกแต่งโทนอุ่น

นอกจากนี้ ส่วนตัวแล้วคิดว่า ความโดดเด่นที่สุดของโรงแรมอีกประการ คือการที่เราชมศิลปะกระเบื้องโมเสกและพื้นที่ด้านล่างทั้งหมดได้จากทุกส่วนของโรงแรม รวมทั้งซึมซับบรรยากาศแบบใกล้ชิดจากหน้าต่างและระเบียงห้องพัก (ลองนึกภาพดูว่า ยิ่งกว่าคุณนอนอยู่ที่โรงแรมใกล้ปราสาทนครวัดที่เสียมราฐ กัมพูชา หรือเจดีย์วัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัยของไทยเลยทีเดียว)
ในขณะเดียวกัน ผู้ต้องการชมบรรยากาศโดยรอบสามารถเลือกห้องพักที่หันออกเห็นวิวเมืองและภูเขาได้ด้วย บริเวณร้านอาหารและบาร์ของชั้นดาดฟ้ายังสามารถเห็นวิวโบสถ์ Saint Peter ซึ่งเป็นโบสถ์ถ้ำที่สลักเข้าไปในภูเขาแห่งแรกของโลก และเหล่านักรบครูเสดเป็นผู้สร้าง โดยมีหลักฐานปรากฏว่า Saint Paul และ Saint Barnabas เดินทางมาที่นี่ในช่วงคริสต์ศักราชที่ 1100 เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมสำคัญ โดยปัจจุบันยังเป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญของคริสต์ศาสนิกชนด้วย

ในภาพรวมนั้น พื้นที่ใช้สอยของอาคารทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ Necmi Asfuroğlu Archeology Museum (NAAM) ที่บริเวณชั้นพื้นและชั้น 1 กับ The Museum Hotel Antakya ประกอบด้วยห้องพักหลากประเภท ตั้งแต่บริเวณต้อนรับของโรงแรม ห้องอาหารและคาเฟ่รวม 5 ห้อง ห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง Fitness Complex สระว่ายน้ำ ซาวน่า และ Turkish Hammam อีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถชมงานศิลป์อย่างหนำใจ พร้อมความสะดวกสบายแบบครบวงจรเลยทีเดียว

เมืองอันทาเคีย
แม้การได้มาพักโรงแรมนี้เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วสำหรับการมาเมืองอันทาเคีย แต่เมืองนี้มีอะไรมากมายที่จะ ให้ผู้มาเยือนต้องหลงเสน่ห์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมของบ้านเมืองและอาคาร อาหารที่มีชื่อเสียงด้านอาหารแสนอร่อยรสชาติ จัดจ้านจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกด้านอาหาร UNESCO Creative City of Gastronomy
เมืองอันทาเคียตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้สุดของตุรกี ติดกับชายแดนซีเรีย เปรียบเหมือนหมุดเชื่อมเวลาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และส่งต่อไปยังอนาคต ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรแอนติออค (Antioch) ในยุคอาณาจักร Seleucid หรือรัฐอารยธรรมกรีกโบราณที่ก่อตั้งโดย Seleucus I Nicator นายทหารคนสำคัญผู้สืบทอดอำนาจจากอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great)
รัฐนี้พุ่งสู่ความรุ่งเรืองถึงขีดสุดช่วงปี 312 – 63 ก่อนคริสตกาล สามารถขยายอาณาจักรไกลตั้งแต่มาซิโดเนียจนถึงอินเดียในปัจจุบัน จนต่อมาถูกชาวโรมันบุกยึดครองและเปลี่ยนชื่อเป็น Antioch on the Orontes กลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันทางฝั่งตะวันออก และเมืองหลวงของมณฑลซีเรียในขณะนั้น
จากหลักฐานเมืองบนเส้นทางถนนสายหลัก Antioch-Aleppo อีกทั้งแอนติออคยังเป็นเมืองสำคัญบนเส้นทางสายไหม และหนึ่งในเมืองศูนย์กลางของศาสนจักร และจักรวรรดิออตโตมัน ดังที่ได้เห็นจากมรดกทางวัฒนธรรมต่าง ๆ
ปัจจุบันอันทาเคียเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฮาทัย (Hatay) ทางตอนใต้ของตุรกีใกล้ชายแดนซีเรีย ตลอดจนมัสยิด ถนนที่ปูด้วยหิน ตลาดท้องถิ่น และอาคารบ้านเรือนในเขตเมืองเก่า ที่ได้รับการบูรณะยึดแบบดั้งเดิมอย่างมีเอกลักษณ์ให้กลายเป็นโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ที่สร้างสีสันได้เป็นอย่างดี
อาหารสมองและจิตใจ

เมื่อจบทริปด้วยความปลื้มปริ่มแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่าสถานที่แห่งหนึ่งจะมีประวัติศาสตร์และเรื่องเล่ามากมายเช่นนี้ ทำให้ฉุกคิดและหวนนึกไปว่า บนพื้นที่เรายืนอยู่นั้น จะเหยียบอะไรอยู่บ้างไหมนะ
นอกจากเราได้เรียนรู้ถึงแนวคิดการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในบริบทของโลกสมัยใหม่ที่มีพลวัตรสูงแล้ว ยังเห็นถึงความสอดรับของการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างมีความสุขด้วยในเวลาเดียวกัน สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแค่ตอกย้ำบทบาทของอันทาเคียในฐานะเมืองแห่งอารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเรียกได้ว่า ช่วยฟื้นฟูชุมชนและชุบชีวิตเมืองให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

ข้อคิดอีกอย่างสำหรับพวกเราคือ ‘บางอย่างที่เราไม่คาดคิด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เพียงแค่เราเชื่อมั่นและตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อเดินหน้าต่อไปให้ถึงเป้าหมาย’ อย่างเช่นผลลัพธ์ของการตั้งใจจะทำให้โรงแรมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กลายเป็นความจริง ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มค่าและกลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสาธารณรัฐตุรกีและของโลกเลยทีเดียว
Write on The Cloud
Travelogue

ถ้าคุณมีประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ และเบอร์โทรติดต่อ มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งหมวกรุ่นพิเศษจาก Calm Outdoors แบรนด์แฟชั่นสายแคมป์แบรนด์แรกของไทยที่ทำเสื้อผ้าตอบโจทย์คนเมืองแต่ใจลอยไปอยู่ในป่า ซึ่งสกรีนลวดลายพิเศษที่ไม่มีจำหน่ายที่ไหนให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ