ขึ้นชื่อว่าประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องปกติมากที่สถานที่หนึ่งจะอยู่ที่เดิมมาหลายสิบปี ไม่ว่าจะกิจการ ห้างร้าน หรือพื้นที่สาธารณะ
ปี 1966 ชิบูย่ามีสวนของรัฐบาลบนชั้นดาดฟ้าของอาคารจอดรถสูง 2 ชั้นนามว่า ‘Miyashita Park’ ตั้งอยู่ยังไง จนถึงปีนี้ 2023 สวนนี้ก็ยังคงอยู่อย่างนั้น
แต่หากคุณตาคุณยายคนไหนอยากจะไปรำลึกความหลังสมัยหนุ่มสาว ก็จะพบว่าสวนดูแปลกหูแปลกตาไปจากแต่ก่อนมาก
วันเวลาผ่านไป มูลค่าที่ดินย่านชิบูย่าก็สูงขึ้น Miyashita Park เวอร์ชันใหม่ปี 2020 จึงเป็นโครงการที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนและดูแล มีส่วนคอมเมอร์เชียลเสริมเข้าไป โดยที่สวนด้านบนยังมีสถานะเป็น Public Access อยู่ ตามกฎหมายพิเศษของญี่ปุ่น
สิ่งที่น่าสนใจของโปรเจกต์นี้ท่ามกลางหลากหลายพื้นที่สาธารณะที่ NIKKEN SEKKEI ออกแบบ คือความเป็น Public Space บนดาดฟ้าที่ตอบโจทย์บริบทชิบูย่ายุคใหม่ที่วิวัฒน์จนซับซ้อนไปตามกาลเวลา และการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ผสานไปกับสวน ทำให้สเปซมีวอลุ่ม ไม่แบนแบบที่คุ้นเคยกัน
ด้วยความที่ยังคงใช้ชื่อเดิมเหมือนเกือบ 60 ปีที่แล้ว ไม่มีเปลี่ยนแปลง ได้ยินทีแรกเราจึงคิดว่านี่คือโปรเจกต์รีโนเวตทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อได้คุยกับ Shoji Kaneko, Wataru Tanaka และ Demian Patience เหล่าดีไซเนอร์จากบริษัท NIKKEN SEKKEI ก็ได้เข้าใจว่าพวกเขาทุบโครงสร้างเดิมทิ้งแล้วคิดใหม่ ทำใหม่ สร้างใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ฐานราก
ไม่แน่ คุณตาคุณยายอาจถูกใจสวนเวอร์ชันใหม่มากกว่าก็เป็นได้
จากอาคารจอดรถ 2 ชั้นเมื่อก่อน ปัจจุบัน Miyashita Park เป็นอาคารที่เต็มไปด้วยร้านรวงและ Co-working Space สูง 2 ชั้น และหากรวมชั้นจอดรถใต้ดินเข้าไปอีกก็จะมีทั้งหมด 4 ชั้น
ผู้คนจะขึ้นไปที่สวนได้โดยหลายทาง หลายประสบการณ์ โดยมีเส้น Green Wall นำสายตาให้เดินขึ้นไป ระหว่างที่เดินก็แวะดูร้านต่าง ๆ เหนื่อยก็แวะพักที่เทอเรสที่มีอยู่เป็นระยะ
อย่างที่เล่าไปเมื่อตอนเริ่ม ถึงเอกชนจะเป็นผู้ดูแล แต่สวนเป็น Public Access ถ้าตอนเช้า ๆ ร้านค้ายังไม่เปิดก็เดินขึ้นไปใช้สวนได้
“จริง ๆ แล้วมันเข้ากับบริบทพื้นที่ เพราะชิบูย่ามีลักษณะเป็นภูเขาอยู่แล้ว” Shoji อธิบายให้เราฟัง “เวลาออกแบบพื้นที่สาธารณะ เราไม่ควรคิดถึงแต่ Ground อย่างเดียวแล้ว”
หากถามว่าทำไมจะทำสวนทั้งที ยังต้องมีคอมเมอร์เชียลเข้ามาเกี่ยวอีกล่ะ
เราคิดว่าเป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ บางคนมากินข้าว อิ่มแล้วก็อยากเดินช้อปปิ้ง เบื่อ ๆ ก็เดินขึ้นไปถ่ายรูปหรือเต้น TikTok ในสวน ถ้าเราไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนที่นี่ก็เรียกได้ว่าครบจบในที่เดียว กลายเป็นว่าพาร์กยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่สีเขียว Stand Alone อย่างเดียวแล้ว
ในบริบทเมืองใหญ่ ต่อให้เป็นพาร์กแบน ๆ อยู่ด้านล่าง ปัจจุบันก็มักใส่องค์ประกอบอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเข้าไปด้วย เช่นเดียวกับ Kitaya Park อีกสวนที่ NIKKEN SEKKEI ออกแบบ
เสน่ห์ของย่านที่ชื่อว่าชิบูย่าคือเรื่องสเกลที่หลากหลาย ตั้งแต่สเกลของห้างใหญ่ ๆ ลดลงมาเป็นช็อปตามสตรีตและช็อปในตรอกซอกซอย พอหลายสเกลก็จะมีหลายบรรยากาศ แต่ละร้านจะแสดงความเป็นตัวตนออกมาได้
ส่วนเสน่ห์ของ Miyashita Park คือ ‘ซอฟต์แวร์’ หรือร้านต่าง ๆ ในแต่ละชั้นที่มีคาแรกเตอร์ต่างกันไปและดึงดูดผู้คนที่น่าสนใจเข้ามาเดินได้ จริง ๆ แค่มาดูผู้คนแต่งตัว ใช้ชีวิตที่นี่ก็สนุกพออยู่แล้ว
“ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีสถานที่แฮงก์เอาต์แบบนี้ในชิบูย่าเลย ทุกวันนี้ Miyashita Park ของเราก็เลยป๊อปปูลาร์มาก โดยเฉพาะในหมู่เด็ก ๆ” ผู้ออกแบบกล่าวถึงผลตอบรับหลังเปิดใช้งานสวนด้วยรอยยิ้ม
ทั้ง ๆ ที่เป็นย่านท่องเที่ยว แต่หากดูในภาพรวม เงี่ยหูฟังสำเนียงภาษา จะพบว่าผู้ใช้งานที่นี่เป็นคนญี่ปุ่นในพื้นที่มากกว่านักท่องเที่ยวเสียอีก และคนญี่ปุ่นเหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยผู้คนหลายวัย เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ โดยไม่ได้แบ่งแยกว่ากิจกรรมไหนเป็นของคนวัยไหน อย่างการเล่นสเกตก็ไม่ได้จำกัดไว้ให้เด็ก ๆ แต่อย่างใด
เหล่าผู้ออกแบบเล่าให้ฟังว่าการเล่นสเกตบอร์ดเป็นกิจกรรมที่ฮิตมากในย่านนั้น เมื่อทำพื้นที่สาธารณะขึ้นมาใหม่ ก็ได้เห็นบรรยากาศความสนุกสนานของเหล่า Skateboarder กันทุกวัน
การทำพาร์กแบบที่นี่จะต้อง Integrate อาคารไปกับทุกองค์ประกอบ ทำให้คนไม่ต้องพยายาม หรือตั้งใจว่า ฉันจะไปพาร์ก แต่ให้มันอยู่กับเรา ให้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเมือง
หากไทยเราอยากทำแบบนี้บ้าง ก็ต้องกลับมาดูที่กฎหมายกันอีกสักครั้ง
Miyashita Park เกิดขึ้นได้เพราะกฎหมาย ‘3D City Park System’ ของญี่ปุ่นที่ใช้ในย่านความหนาแน่นสูง กฎหมายนี้ไม่ได้มองแยกว่า นั่นตึก นี่พาร์ก
แต่ทุกอย่างคือก้อนเดียวกัน
เมื่อก่อนเวลาทำ Planning เราต้องมองเป็น 2 มิติ สีเหลืองเป็นย่านพักอาศัย สีเขียวคือพื้นที่สีเขียว สีแดงเป็นย่านคอมเมอร์เชียล สีน้ำเงินเป็นเรื่องสาธารณูปโภค เมื่อเป็น 3D หรือ 3 มิติ ก็ไม่ได้มองแพลนจากด้านบนอย่างเดียวแล้ว สีเขียวอาจซ้อนอยู่บนส่วนพักอาศัยก็ได้ ซ้อนอยู่บนคอมเมอร์เชียลก็ได้ ตรงไหนสีแดงก็อาจไม่ใช่แดงทั้งหมด แต่มีแดง เหลือง น้ำเงิน อยู่ในก้อนเดียวกัน เพื่อทำให้ก้อนหนึ่งมีความหลากหลายของการใช้กิจกรรม และเมืองมีความ Mixed-use มากยิ่งขึ้น
สำหรับกรุงเทพฯ ย่านหนาแน่นที่ดูมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มต้นที่สุดย่านหนึ่ง คือสยาม
สยามเป็นพื้นที่ที่มีเจ้าของเดียวคือจุฬาฯ การออก Micro Policy จึงไม่ใช่เรื่องยาก จริง ๆ สยามมีพื้นที่สาธารณะให้ใช้อยู่แล้วที่อาคาร SIAMSCAPE แต่ในภาพรวมของย่านก็ถือว่ายังน้อย และยังไม่มีการเชื่อมต่อมากนัก อาจทำให้มีการเชื่อมทางเดินให้แต่ละตึกเดินทะลุถึงกันมากขึ้น การมีทางเดินไม่เปียกฝนมากขึ้น รวมถึงการทำสวนบนดาดฟ้าให้มากขึ้น เพื่อให้คนเข้าถึงสวนได้ง่ายโดยไม่ต้องพยายาม เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เลิกงานก็ไปเดินเล่นออกกำลังกายได้
นอกจากนี้ยังนึกถึงย่านสีลมที่ปัจจุบันมีการปรับปรุงถนนหนทาง เริ่มมีระยะร่นหน้าอาคาร
ทุกวันนี้สีลมมีสกายวอล์กอยู่แล้ว แต่หากเชื่อมต่อเข้าอาคารไปยังชั้นต่าง ๆ ได้มากขึ้นก็จะทำให้มนุษย์เงินเดือนไปซื้อของได้โดยไม่ต้องลงข้างล่าง
ตอนนี้ที่ไทยยังไม่ได้มีการชวนกันคิดเรื่อง ‘การมองเมืองแบบ 3 มิติ’ มากเท่าไหร่ มีบางโครงการในกรุงเทพฯ ที่พยายามทำสเปซให้ผู้คนเข้าไปใช้ แต่ด้วยความเป็นพื้นที่ของเอกชน จึงไม่ใช่ทุกคนที่เข้าไปใช้งานได้
การออกนโยบายเรื่องการมองเมืองแบบ 3 มิติ และ POPS (Privately Owned Public Spaces) คือสิ่งที่ควรทำ และถัดจากนั้นคือการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าทุกคนเข้ามาใช้พื้นที่นี้ได้
นอกจากโตเกียว NIKKEN SEKKEI ยังได้ออกแบบพื้นที่สาธารณะที่เมืองอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนแนวราบหรือสวนบนอาคาร ซึ่งล้วนแล้วแต่ Integrate กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ กับเมือง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกฎหมายใหม่ ๆ ที่เข้ากับบริบทพื้นที่และยุคสมัย
ซึ่งโอซาก้าก็เป็นอีกเมืองหนาแน่นที่ NIKKEN SEKKEI ให้ความสนใจ
“ในขณะที่สิงคโปร์มีพื้นที่สีเขียว 66 ตารางเมตรต่อคน นิวยอร์กมี 29 โตเกียวมีแค่ 11 และโอซาก้ามีแค่ 5 เท่านั้น” เหล่าผู้ออกแบบเล่าพลางเปิดสไลด์ให้ดู
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าประชาชน 1 คน ต้องการพื้นที่สีเขียว 9 – 15 ตารางเมตร ซึ่งคนกรุงเทพฯ มีกันคนละ 6.9 ตารางเมตรต่อคน
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้เราจะมีรถไฟอีก 6 – 7 สาย มี TOD (Transit Oriented Development หรือการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าหรือระบบขนส่งมวลชน) และกฎหมายเฉพาะในย่าน TOD ที่คนเยอะ กิจกรรมแยะ ตามมา ว่าจะต้องผสาน Public Green Space เข้าไปด้วย ถึงเวลานั้นเราอาจได้เห็นพื้นที่สีเขียวรูปแบบใหม่ ๆ เหมือนเคสของญี่ปุ่นที่ NIKKEN SEKKEI เล่าให้เราฟัง
เรากำลังจะเห็นอนาคตของเราจากญี่ปุ่น
จริง ๆ แล้วสเปซเมืองโตเกียวก็ไม่ได้ต่างจากกรุงเทพฯ มากนัก เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยเล็ก ๆ แต่เขาใช้สเปซเหล่านั้นได้อย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้โตเกียวยังทำให้เรารู้ว่าดีไซน์ที่ดี ไม่ใช่ดีไซน์ที่สวย แต่ต้องเป็นดีไซน์ที่คิดมาดีและใส่ใจคนใช้งาน
หวังว่าสักวันกรุงเทพฯ จะทำให้ผู้คนรู้สึกแบบนั้นได้เหมือนกัน
ภาพ : NIKKEN SEKKEI