นี่คือโรงแรมที่เต็มไปด้วย ‘ความไทย’ (Thainess) แบบที่ชาวต่างชาติเข้าใจได้และชาวไทยอย่างเราก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย

Madi Paidi Bangkok, Autograph Collection คือโรงแรม Autograph Collection แห่งแรกของประเทศไทย และโรงแรมลำดับที่ 50 ในเครือ Marriott International ที่ให้บริการระดับ PREMIUM 5 ดาว 

แต่ ‘โรงแรม Autograph Collection แห่งแรกของประเทศไทย’ คงไม่ใช่คำอธิบายที่พิเศษนัก หากเราไม่ได้เล่าก่อนว่า Autograph Collection คือโรงแรมที่ ‘ไม่มีทางเหมือนกันแม้แต่แห่งเดียว’ (No two Autograph Collection hotels are the same) โดยแต่ละที่ต้องโดดเด่น พิเศษ แตกต่าง และมี ‘เรื่องราว’ ของตัวเอง

Autograph Collection คือแบรนด์พรีเมียมที่พรีเมียมตั้งแต่ภาพลักษณ์จนถึงบริการ แต่จุดเน้นของโรงแรมไม่ใช่ความหรูหรา หากเป็นคุณภาพ คุณค่า และความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น

พวกเขาจะเชื่อมคุณเข้ากับเมืองผ่านงานบริการจนถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันและมีเรื่องราว นักเดินทางจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของย่านโดยไม่ต้องก้าวออกจากที่พักเพื่อไปสัมผัสบรรยากาศของเมืองนั้น ๆ แม้แต่น้อย (หากไม่ต้องการ) เช่นเดียวกับ Madi Paidi Bangkok ที่เก็บความไทยไว้ในอาคารอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่กลิ่นหอมแรกที่คุณสูดเข้าปอดบริเวณล็อบบี้ จนถึงเครื่องรางเสริมสิริมงคลในห้อง

Autograph Collection แต่ละแห่งจึงมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน จนกลายเป็นหมุดหมายที่น่าสะสมในลิสต์ห้องพักของนักเดินทางทั่วโลก

เมื่อรู้จักแบรนด์ใหญ่ที่มีโรงแรมกระจายอยู่กว่า 50 ประเทศ จำนวนเกือบ 300 แห่งแล้ว เราก็กลับมาทำความรู้จัก Madi Paidi Bangkok ในซอยสุขุมวิท 53 กัน

ชาวต่างชาติหัวใจไทย โรเจอร์ พาร์โนว (Roger Parnow) General Manager ผู้อยู่ไทยมานานกว่า 16 ปี ทั้งหลงรักวัฒนธรรมและรู้จักทุกซอกซอย คือผู้ที่เหมาะจะพาเราดื่มด่ำไปกับความไทยและสายมูในสถานที่แห่งนี้ที่สุด

เขาชี้ออกไปด้านนอกและบอกว่า ซอย 55 เรียกว่า ทองหล่อ ส่วนซอย 53 มีอีกชื่อว่า ‘ซอยไปดีมาดี’ ซึ่งคล้องจองกับชื่อโรงแรม Madi Paidi (มาดีไปดี) แต่ความเชื่อมโยงนี้ไม่สำคัญเท่าความตั้งใจที่จะอวยพรผู้เข้าพักให้ไปดีมาดีเสมอตามแบบฉบับคนไทยผู้อ่อนน้อมและใส่ใจแขกเหรื่อผู้มาเยือน

Roger Parnow, General Manager at Madi Paidi Bangkok, Autograph Collection

โรเจอร์บอกว่าทุกอย่างในโรงแรมของ Autograph Collection ต้องมีเรื่องราวและที่มาที่ไป แม้จะเป็นโรงแรมหรู แต่ชื่อนั้นเป็นมิตร เข้าถึงง่าย ทั้งโลโก้ยังออกแบบมาให้ขีดกลางตัวอักษร A จากคำว่า MADI PAIDI เอนไปคนละฝั่ง เสมือนประตูผลักเข้า-ออกที่ต้อนรับทุกคน เพราะพวกเขาไม่อยากเป็นแค่ที่พักสำหรับนักเดินทาง แต่อยากเป็น ‘ชาวสุขุมวิท’ ที่ชวนแขกทุกเชื้อชาติมาลองเป็นชาวสุขุมวิทไปด้วยกัน

“แถวนี้เป็นย่านที่พักอาศัย ที่แห่งนี้เดิมเป็นอาคารชุด จนเจ้าของตัดสินใจร่วมกับทาง Marriott เปลี่ยนเป็นโรงแรม Autograph Collection ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีความเป็นตัวเองสูง พวกเราทำงานร่วมกันเพื่อให้มั่นใจว่าแขกจะได้รับประสบการณ์ในการเดินทางที่ดีที่สุด ให้พวกเขาได้รู้จักกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ผมว่านี่เป็นทำเลที่ดีมาก เราอยู่ใกล้ทองหล่อ เอกมัย มีความทันสมัย แต่ยังมีความไทยให้เห็น”

ห้อง Emerald Studio Suite

เราสัมผัสได้ว่าหากมาพักที่ Madi Paidi ทริปของคุณจะไม่ใช่แค่การมาเยือนโรงแรม แต่คือการมาเยือนย่านที่อยู่อาศัยและเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ ชนิดที่ทำให้นึกถึงสำนวน ‘เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม’ ก็ลองมาเป็นคนไทยบ้างคงสนุกดี

โรเจอร์เสริมว่าเขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในย่านนี้มาตั้งแต่หลายปีก่อน ทุกอย่างพัฒนาแต่ยังไม่ใช่แหล่งช้อปปิ้งอย่างสยาม เรายังคงพบเจอร้านบูทีกเฉพาะกลุ่ม หรือคาเฟ่ ร้านอาหารที่บอกเล่าเรื่องราวไทย ๆ ออกมาได้อย่างน่าสนใจ แม้กระทั่งคำแนะนำของเขาที่ให้เราลองเดินไปนั่งเรือคลองแสนแสบทะลุไปถึงภูเขาทองก็ฟังดูไท้ยไทยจนเราประทับใจมาก

เราคุยกันว่า Autograph Collection แต่ละแห่งล้วนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทุกอย่างใน Madi Paidi จึงมาจากแรงบันดาลใจเรื่อง Parallelism และ Contrast ตั้งแต่พื้นที่จนถึงสีและการตกแต่งห้องพัก

“Parallelism และ Contrast เห็นได้จากซอย 55 ขนานกับซอย 53 แต่สไตล์การใช้ชีวิตนั้นต่างกันอย่างมาก ทองหล่อเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่และแสงสี ขณะที่ซอยไปดีมาดีเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่ให้ความรู้สึกเรียบง่าย” เขาหวังว่าโรงแรมแห่งนี้จะช่วยดึงคุณค่าของสถานที่และวัฒนธรรมของย่านออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยต้อนรับขับสู้และมิตรไมตรีของคนไทย

“ผมไปพบเพื่อนบ้านของเรามาหมดแล้ว (หัวเราะ) ด้วยความที่ Autograph Collection ไม่ใช่โรงแรมที่มุ่งแต่ทำธุรกิจ เราเลยมองในมิติของการเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่ ผมคิดว่าวิถีชีวิตและตัวตนของชุมชนต่างหากคือสิ่งที่ทำให้โรงแรมของเราแตกต่างจากที่อื่น” เขายิ้มอย่างภูมิใจ

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโรงแรม ผู้จัดการอธิบายว่ามีทั้งแขกที่มาพักเพราะเดินทางมาทำธุรกิจ (Business) ขณะที่บางคนตั้งใจมาพักผ่อน (Leisure) แต่หากพูดถึงปัจจุบัน สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการเดินทางแบบ ‘Bleisure’ ซึ่งผนวกรวม 2 เป้าหมายแรกไว้ด้วยกัน Madi Paidi ก็ขอต้อนรับทุกท่านเพื่อการนี้ด้วย

“ไม่ว่าใครจะมาพัก มีหลายอย่างมากที่เราอยากให้แขกนำกลับไป วัฒนธรรมไทยที่เขาจะประทับใจ รวมถึงความทรงจำที่เราตั้งใจสร้างให้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในโรงแรม”

บริการแรกที่เราได้รับคือ Welcome Drink แสนสดชื่น มาในรูปลักษณ์ก้อนกลมบนช้อนเงินเพื่อให้สะดวกต่อการเอาเข้าปากในครั้งเดียว 

เมนูนี้ชื่อว่า ‘Salus Per Aquam’ หรือ SPA (สปาที่หลายคนชอบเข้าไปใช้บริการ) เป็นภาษาละติน หมายถึง สุขภาพดีด้วยน้ำ (Health through Water) ภายในคือน้ำแร่ EIRA จากประเทศนอร์เวย์ และมีส่วนประกอบของหญ้าหวาน อัญชัน รวมถึงยูซุ เพื่อเพิ่มความสดชื่น

Salus Per Aquam
Welcome Drink ชีสบอร์ด และขนมหวานต้อนรับแขกถึงห้อง

อย่างที่เกริ่นไปว่าทุกอย่างต้องมีความหมาย ภายในโรงแรมที่มีเพียง 9 ชั้น จำนวน 56 ห้อง สีของห้องแบ่งออกเป็น 3 สี มาจากอัญมณีมงคลตามความเชื่อของคนไทย คือเขียวมรกต (Emerald Green) เหลืองบุษราคัม (Topaz) และน้ำเงินไพลิน (Sapphire Blue) โดยเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง หรือแม้แต่เสื้อคลุมอาบน้ำจะใช้ตามสีของห้องด้วย เท่านั้นไม่พอ ทุกห้องยังมีของประดับตกแต่งเป็นสัญลักษณ์พิเศษเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้เข้าพักยิ่งกว่าเดิม

เราประทับใจที่พวกเขานำความเชื่อที่อยู่คู่คนไทยมาประยุกต์เข้ากับการออกแบบ นั่นทำให้โรงแรมแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศไทย ๆ แต่ยังคงความร่วมสมัยไว้ได้อย่างลงตัว

เครื่องรางเสริมสิริมงคลภายในห้อง

ก่อนจะขึ้นไปด้านบน เราเดินผ่านศิลปะตกแต่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องแขวนไทย ซึ่งไว้ใช้สำหรับประดับหน้าต่างบ้านเมื่อมีพิธีหรือเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน ส่วนบริเวณโถงหน้าลิฟต์ก็เต็มไปด้วยงานหัตถกรรมสานลายเฉลียวทั่วผนัง ซึ่งโรเจอร์บอกว่าลายเฉลียวถือเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และการสานก็เหมือนการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้คนและวัฒนธรรม

ออกจากลิฟต์มา ทุกท่านจะพบโถงทางเดินที่ประดับด้วยตัวละครยืนไหว้ต้อนรับทุกคน และเมื่อเดินกลับทางเดิมก็จะเจอพวกเขาอีกครั้งในท่าโบกมือลาแทนการอวยพรขอให้ไปดีมาดี

ทางโรงแรมมีห้องพักหลากหลายแบบให้เลือกสรรทั้งเตียงเดี่ยว เตียงคู่ เหมาะสำหรับนักเดินทางตัวคนเดียว คู่รัก กลุ่มเพื่อน จนถึงครอบครัว เลือกได้ตั้งแต่ห้อง Deluxe Guest room, Premium, Emerald Studio Suite จนถึงห้องที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Madi Paidi Suite ที่มีเพียงห้องเดียวเท่านั้น

ห้องแรกที่เราเข้าไปคือ Deluxe Guest room สีน้ำเงินไพลิน มองเห็นที่พักของเพื่อนบ้านที่รายล้อมท่ามกลางต้นไม้สีเขียว แล้วโรเจอร์ก็ลองโบกมือทักทายบ้านข้าง ๆ ดู

ทุกดีเทลในห้องเข้ากับคอนเซปต์ Contrast และ Parallelism อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวดำที่สลับตกแต่งอย่างลงตัว เฟอร์นิเจอร์และการออกแบบห้องที่ให้ความรู้สึกถึงเส้นและเหลี่ยมมุมตามคอนเซปต์ Parallelism นอกจากนี้ โลโก้คำว่า MADI เป็นสีเหลืองทอง PAIDI สีกรมท่า และ BANGKOK เป็นสีเงิน ขณะที่โลโก้ร้านอาหาร EKKALUCK คำว่า EKKA เป็นสีน้ำเงิน LUCK สีเหลือง และมีสีเงินเป็นเส้นประกอบ โดยทั้งหมดสลับตำแหน่งสีกันตามคอนเซปต์ Contrast

“มินิบาร์ของเราก็มีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับความเป็นไทย ทั้งหมดมาจากท้องถิ่น กล้วยแผ่นจากครอบครัวชาวไทยไม่ใช่บริษัทใหญ่ หรืออาจเป็นผลิตภัณฑ์ไทยที่คนทั่วโลกคุ้นเคย”

บรรจุภัณฑ์ภายในห้องน้ำเป็นแบบรีฟิลล์เพื่อลดขยะ ส่วนกลิ่นหอมของสบู่และแชมพูจะเป็นกลิ่นเดียวกับที่ใช้ในล็อบบี้และโถงทางเดินซึ่งเป็นกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะที่ทางโรงแรมพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตชาวไทย แถมสบู่ยังเป็นแบบสบู่กลีเซอรีนคล้ายอัญมณีตามสีห้อง ติดใจขนาดไหนก็หาที่อื่นไม่ได้ ต้องมาที่นี่เท่านั้น

“เราทำงานร่วมกับนักออกแบบชาวไทยและนักออกแบบจาก Marriott ทำให้งานออกมาลงตัวและสมบูรณ์แบบ มีกิมมิกที่สร้างบรรยากาศให้ Madi Paidi สะท้อนความเป็นไทยตลอดมาทั่วโรงแรม”

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Madi Paidi คือตัวละครลายเส้นไทยยกมือ ‘ไหว้’ โบกมือ ‘ลา’ และหรือทำท่าในอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมไปลามาไหว้ของคนไทย

นี่ไง! ก่อนเปิดกล่องใส่ไดร์เป่าผม มีตัวละครผู้หญิงยกมือไหว้ทักทายเราอยู่บนกล่อง และเมื่อเปิดฝาขึ้นก็จะพบกับผู้หญิงอีกคนที่โบกมือลาเราอยู่ด้านใน เป็นกิมมิกเล็ก ๆ ที่ชวนยิ้ม เช่นเดียวกับตู้เสื้อผ้าของแต่ละห้องที่เมื่อเปิดเข้าไปจะเจอกับผนังตู้ที่มีตัวละครมากมายทักทายคุณอยู่

ไปต่อกันที่ชั้น 9 ซึ่งเป็นดาดฟ้า ห้องฟิตเนสมีอุปกรณ์ครบครันทั้งยังมีขนาดห้องกว้างรองรับคนได้นับ 10 คนในคราวเดียว ติดกันเพียงกระจกกั้นคือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในการอาบแดด ว่ายน้ำ และชมวิวทิวทัศน์ของย่านพักอาศัยใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งโรเจอร์ชี้ให้เราดูทั่วทุกทิศตั้งแต่ทองหล่อจนถึงทางด่วนไปบางนา (เขาจำได้ทุกรายละเอียดจริง ๆ) แถมต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่บนนี้ยังคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันโดยเจ้าของโรงแรมเอง ทั้งสวยและเหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นที่สุด

ลงมาชั้นล่าง แต่อย่าเพิ่งรีบโบกรถกลับบ้าน เรามาหยุดกันที่ร้าน EKKALUCK (เอกะลักษณ์) บริการเติมพลังให้คุณทั้งอิ่มใจและอิ่มท้อง นำทีมโดย เชฟวุฒิศักดิ์ วุฒิอัมพร ผู้เรียนด้านวิศวกรรมเหมืองแร่ แต่ผันตัวมาเป็นเชฟในวงการอาหารของโรงแรม 5 ดาวกว่า 20 ปี 

เรื่องรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มสุดพิเศษจากบาร์คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพราะหากไม่ลอง คุณต้องเสียใจแน่ ๆ แต่นอกเหนือจากรสชาติยังมีเรื่องราวที่เชฟใส่เข้ามาในแต่ละจาน รวมถึงกระบวนการคัดสรรวัตถุดิบอันพิถีพิถัน เชฟคัดเลือกเองทั้งหมดและลงไปถึงผู้ผลิตที่มีคุณภาพที่สุดโดยตรง เช่น เกลือจากธุรกิจครอบครัวในแดนอีสาน มะพร้าวจากอัมพวา รวมถึงไวน์รสเลิศจากหลายแหล่งที่มา

อีกหนึ่งความพิเศษคือ Universal Dishes หลากหลายชาติที่เชฟเลือกสร้างสรรค์ใหม่เองทั้งหมดเพื่อให้สมชื่อร้าน แม้แต่พาสตา คุณก็จะได้สัมผัสพาสตาที่ใส่ความไทยหรือวัตถุดิบพิเศษลงไป โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูดั้งเดิม

เราตื่นมาทานมื้อเช้าที่ร้านอาหาร EKKALUCK ท่ามกลางผู้เข้าพักทั้งชาวไทยและต่างชาติที่อยากมาเปิดประสบการณ์ความสดชื่นและอิ่มท้องตั้งแต่มื้อแรกของวัน 

นี่ไม่ใช่บุฟเฟต์อย่างที่เคยทานในโรงแรมอื่น หากแต่เป็นอาหารจานเดี่ยวระดับพรีเมียมที่สั่งได้ไม่อั้น แถมเมนูยังละลานตา เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์จนเลือกไม่ถูก ในเมื่ออยากลองชิมหลายเมนู เราจึงเริ่มที่ ‘5-Min Soft Poached Egg’ รองด้วยขนมปัง Brown Toast กรอบนอกนุ่มใน มี Thai Anchovy และ Poached Egg วางทับ ประดับหน้าด้วย Osetra Caviar และ Anchovy Butter 

หรือใครอยากทานแซลมอนพร้อมเห็ดทรัฟเฟิล เราแนะนำเมนู ‘Smoked Salmon Egg Benedict’ ตบด้วย ‘Dim Sum’ เสิร์ฟพร้อมซาลาเปาแป้งนุ่มน่าประทับใจ ด้านในอัดแน่นด้วยไส้หมูบาร์บีคิวรสชาติกลมกล่อม

ขณะพนักงานกำลังรับออร์เดอร์ เธอบอกกับเราว่า ขอแนะนำ ‘EKKALUCK Congee’ โจ๊กหมูของโรงแรม เราก็จัดมาตามนั้น และค้นพบว่าเนื้อของโจ๊กนัวอร่อยจนไม่ต้องเติมเครื่องปรุงใด ๆ หลังจากนั้นจึงปิดท้ายมื้อหนักด้วย ‘Pancakes’ อัดแน่นด้านในด้วยครีมที่ปราศจากความเลี่ยน สตรอว์เบอร์รี และบลูเบอร์รีรสเปรี้ยวหวานกำลังดี 

หากใครไม่ทานหนักอย่างพวกเรา เขาก็มีเมนูข้าว สลัด ไข่ออร์แกนิก ก๋วยเตี๋ยว เป็นทางเลือก รวมถึงขนมปังและน้ำผลไม้หลากหลายชนิดรอบเคาน์เตอร์ด้วย

5-Min Soft Poached Egg

ภายในโรงแรมเต็มไปด้วยวัฒนธรรมไทยที่แฝงอยู่แทบทุกอณูเพื่อให้ผู้มาเยือนสัมผัสบรรยากาศของกรุงเทพฯ แม้จะไม่ได้ออกไปไหน แต่สุดท้าย โรเจอร์ยังยืนยันว่าทุกคนจะสัมผัสเสน่ห์ของประเทศไทยได้เต็มที่มากกว่า หากออกไปสำรวจด้วยตัวเองโดยมีโรงแรมเป็นเพียงจุดเริ่มต้นหรือแรงบันดาลใจ

เรามั่นใจว่า Madi Paidi Bangkok จะเป็นอีกหนึ่งชื่อในลิสต์โรงแรมต้องเข้าพักของนักเดินทางผู้สะสมแบรนด์ Autograph Collection ทั่วโลก แต่ต่อให้คุณไม่ใช่นักเดินทางขาประจำ เราก็อยากชวนคุณมาลองสัมผัสเรื่องราวภายในโรงแรมและความตั้งใจในการเป็นชาวสุขุมวิทของพวกเขาดู

ลืมบอกไป ไม่ว่าคุณจะเดินทางมาด้วยพาหนะอะไร ระวังจะเลย เพราะโรงแรมพรีเมียมแห่งนี้ช่างกลมกลืนกับย่านพักอาศัยเสียเหลือเกิน

3 Things you should do

at Madi Paidi Bangkok, Autograph Collection

01

EKKALUCK Experience กินอาหารที่ร้านเอกลักษณ์ของโรงแรม สัมผัสเมนูที่รังสรรค์ขึ้นใหม่และไม่เหมือนใครในทุกจาน

02

Local Experience เดินสำรวจร้านรวงต่าง ๆ ในพื้นที่ด้วยตัวเองอย่าง ‘ชาวไทย’ แล้วคุณจะค้นพบสิ่งที่น่าสนใจ น่าอร่อย และน่าอุดหนุนมากกว่าที่เว็บไซต์ท่องเที่ยวแนะนำ

03

Rooftop Experience ว่ายน้ำที่ชั้น 9 ของโรงแรม ชมวิวย่านที่พักอาศัยใจกลางกรุงเทพฯ ที่ไม่วุ่นวายอย่างที่คิด

Madi Paidi Bangkok, Autograph Collection

Writer

วโรดม เตชศรีสุธี

วโรดม เตชศรีสุธี

นักจิบชามะนาวจากเมืองสรอง งานประจำเป็นนักฟัง งานพาร์ทไทม์เป็นนักเขียน งานอดิเรกเป็นนักเล่า

Photographer

Avatar

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อยๆ