สิ่งสำคัญในชีวิตที่คุณอยากรักษาไว้สุดหัวใจ มีอะไรบ้าง

แต่ละคนคงมีคำตอบแตกต่างกัน แต่เชื่อว่า ‘สุขภาพ’ และ ‘ครอบครัว’ เป็น 2 เรื่องที่นึกถึงกันเป็นอันดับต้น ๆ 

หากสุขภาพไม่แข็งแรง ไม่มีผู้คนร่วมทุกข์สุข แบ่งปันเวลาด้วยกัน หลายอย่างคงขาดหายไปจากชีวิต

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ‘Lemon Farm’ หรือ บริษัท สังคมสุขภาพ จำกัด มุ่งเน้นการนำเสนออาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ อาหารวิถีเกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิก ตั้งแต่ยุคสมัยที่คนยังไม่คุ้นกับคำนี้ ทำงานเพื่อรักษา 2 เรื่องสำคัญมาตลอด 25 ปี ด้วยความตั้งใจเป็น ‘ร้านสุขภาพของครอบครัว’ 

Lemon Farm พยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดขึ้นกับคนทั้งสองฝั่ง ผ่านพลังของอาหารและการบริโภค

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

ในฝั่งคนต้นทาง Lemon Farm ทำงานคลุกคลีกับเกษตรกรรายย่อย ร่วมกันพัฒนาโอกาสให้ชุมชนมีสุขภาพกายและการเงินที่ดีขึ้น พร้อมกับการรักษา ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ด้วยการชวนกันทำเกษตรอินทรีย์

ส่วนปลายทาง ร้านทำหน้าที่คัดสรร พัฒนาอาหารที่ปลอดภัยให้ผู้บริโภค สร้างตลาด ผ่านหน้าร้าน 18 สาขาในกรุงเทพมหานครและช่องทางออนไลน์ สื่อสารให้คนเข้าใจที่มาที่ไปและเห็นถึงพลังของอาหารธรรมชาติ พร้อมช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรและธุรกิจที่มีแนวคิดเรื่องการดูแลสุขภาพให้เติบโต

ภารกิจการสร้างกลไกเชื่อมโยงคนทั้งสองฝั่งนี้ นำทีมโดย สุวรรณา หลั่งน้ำสังข์ หญิงแกร่งที่ขยันทำงานอย่างเข้มแข็ง

พี่เล็ก คุณสุวรรณา เป็นคำเรียกของเธอที่ผมได้ยินอยู่เรื่อย ๆ

ส่วนผมเรียกเธอว่า ‘แม่’ ผู้ดูแลผมและร้านที่เกิดมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ผ่านช่วงเวลาดีร้ายในการดูแล 2 เรื่องนี้มาได้จนถึงวัยเบญจเพส

ผมเคยไม่สนใจว่าแม่และร้านทำอะไร จนเติบโตขึ้น เห็นความยากของการทำธุรกิจให้รอดในโลกนี้ ไม่นับเรื่องความท้าทายในการรักษาแนวคิดด้านสังคมให้คงอยู่ ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า เธอบริหารจัดการร้านมาจนถึงปัจจุบันอย่างไร โดยยังรักษาจุดยืนตั้งแต่วันแรกไว้ได้อย่างมั่นคง

ขอชวนคุณแวะเข้ามาเดินเล่นที่ร้าน เลือกซื้ออาหารด้วยความสบายใจ แล้วมาตามหาจิตวิญญาณของธุรกิจที่อยากดูแลสุขภาพและครอบครัวของคุณให้ดีที่สุดไปพร้อมกันกับผม

Lemon Farm สวัสดีครับ

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

อนาคตอยู่ที่ชุมชน

Lemon Farm ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะตั้งใจเป็นธุรกิจ และถ้าใครเห็นประวัติชีวิตของสุวรรณา ก็น่าจะดูห่างไกลจากความเป็นนักธุรกิจอยู่พอสมควร

เรียนจบจากสาขาพฤกษศาสตร์ ใช้เวลาสมัยเรียนลงพื้นที่ทำค่ายอาสา อยู่กับธรรมชาติ ศึกษาพุทธศาสนา 

หลังเรียนจบ ไปทำงานสอนผู้อพยพที่พนัสนิคม กว่าจะเริ่มทำงานบริษัทจริงจังก็อายุ 28 ปี

“พอเราเรียนด้านนี้และทำงานพัฒนาชนบท เราเห็นธรรมชาติ เห็นความยากจนและความเหลื่อมล้ำ เราฝันถึงสังคมที่ดีขึ้น ถามหาความหมายของชีวิตมากกว่าการอยู่ไปเรื่อย ๆ แต่ตอนที่ยังไม่โตพอ ยังทำอะไรไม่ค่อยเป็น มันอาจเป็นฝันลม ๆ แล้ง ๆ และบ้านเราไม่ได้ร่ำรวย ถึงจุดหนึ่งก็ต้องคิดเรื่องการเลี้ยงชีพ” สุวรรณาเล่าชีวิตวัยสาวที่ตั้งใจอุทิศให้กับภารกิจหนึ่ง แม้ไม่ได้เป็นไปตามหวัง แต่ประสบการณ์ช่วงนี้ของชีวิตทำให้เธอบอกผมเสมอว่า ไม่ต้องรีบ ทุกอย่างมีเวลาของมัน ขอเพียงรักษาความตั้งใจของเราไว้

หลังจับพลัดจับผลู เริ่มงานในบริษัทน้ำมันใหญ่แห่งหนึ่ง ค่อย ๆ เก็บประสบการณ์ไป 10 กว่าปี จังหวะเวลาก็มาถึง

 เมื่อผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่มีวิสัยทัศน์ เช่น นายแพทย์ประเวศ วะสี, ศาสตราจารย์ระพี สาคริก, ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว, คุณโสภณ สุภาพงษ์ ร่วมกันคิดสร้างเครื่องมือการทำงานที่จะสอดคล้องไปกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) 

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

“ช่วงนั้น ประเทศเรามีแนวคิดว่าถ้าพัฒนาเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมต่อไปเรื่อย ๆ คงไม่ใช่ เพราะคนมากมายยังลำบากอยู่ จะทำอย่างไรให้คนตัวเล็กจำนวนมากมีพื้นที่ ไม่ยากจน ไม่ต้องทิ้งบ้านช่อง ครอบครัวกระจัดกระจาย ซึ่งเราต้องกระจายความมั่นคงออกไป ผู้ใหญ่หลายท่านจึงมาช่วยกันออกแบบธุรกิจที่สนับสนุนชาวบ้านให้มีพื้นที่ขายผลผลิตและรายได้ที่มั่นคง”

นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Lemon Farm เมื่อ พ.ศ. 2541

สุวรรณาที่สนใจการพัฒนาชุมชนตลอดมา ได้รับโอกาสในการบริหารจากแนวคิดของผู้ใหญ่ตั้งแต่วันนั้น

25 ปีที่แล้ว สินค้าชุมชนยังไม่น่าเชื่อถือมาก หน้าที่ของสุวรรณาและทีม Lemon Farm คือการตระเวนหาผลิตภัณฑ์จากชุมชนทั่วประเทศ พยายามสร้างตลาดให้เกิดขึ้น เป็นที่มาที่ทำให้ลูกค้ารุ่นแรก ๆ มักรู้จักร้านจากสินค้าชุมชน เช่น ข้าวสายพันธุ์ท้องถิ่น ผักพื้นบ้าน ขนม เช่น มันอาลู ที่ไม่ค่อยพบเห็นในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือห้างอื่น

“ตอนที่คนยังไม่รู้จักร้านและไม่มีข้อมูลอะไรในอินเทอร์เน็ต เราอาศัยการเข้าไปจุ่มตัวกับเพื่อนนักพัฒนาที่รู้จักกันมา เทียวไปหาชาวบ้านอยู่หลายรอบ อยู่กับเขาจริง ๆ จนเชื่อใจและกลายเป็นเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน” สุวรรณาเล่าถึงช่วงเวลาที่เธอออกไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ เมื่อผมยังเป็นเด็ก การทำงานกับชุมชนต้องอาศัยเวลากว่าที่คิด

หลังจากนั้นไม่กี่ปี เกิดโครงการ OTOP จากภาครัฐ และผลิตภัณฑ์ชุมชนกลายเป็นเสน่ห์ที่คนอยากตามหาและสนับสนุน

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

เคารพชีวิตด้วยเกษตรอินทรีย์

“เรามองเห็นความเจ็บป่วยของคนทั้งสองฝั่ง” 

การตระเวนพบชุมชนและมีพื้นที่หน้าร้านให้พบปะลูกค้า ทำให้ Lemon Farm พบปัญหาเรื้อรังที่กำลังเกิดขึ้นในวงจรอาหาร 

“ฝั่งหนึ่ง เราพบว่าเกษตรกรเจ็บป่วยจากการผลิตอาหารที่ใช้สารเคมีเยอะ ขาดโอกาสทางอาชีพที่ดี ติดอยู่ในวงจรหนี้สิน เรามักบอกว่าประเทศไทยเป็นครัวของโลก แต่ถ้าคนที่ผลิตอาหารให้เราอยู่ไม่ได้ เราจะยังเป็นครัวของโลกได้หรือเปล่า ในขณะเดียวกัน เราเห็นคนเมืองเจ็บป่วยจากโรคที่เกิดจากวิถีชีวิตและอาหารที่รับประทานมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน

“เรามองว่า 2 ปัญหานี้สามารถแก้ด้วยการอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารที่ดี หมายถึงผักผลไม้ที่ปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งจริง ๆ เกษตรกรเป็นผู้ผลิตอาหารเหล่านี้ที่เก่งที่สุด พวกเขามีความสามารถมาก และพวกเขาควรมีคุณภาพชีวิตที่ดี” สุวรรณาอธิบายแนวคิดแรกเริ่มของ Lemon Farm

หนึ่งต้นตอของความเจ็บป่วย เกิดจากการผลิตอาหารด้วยการใช้สารเคมีเกินขนาด เช่น ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง สารเร่งโต แม้จะช่วยทุ่นแรง เพิ่มจำนวนผลผลิตสำหรับเกษตรกร ราคาไม่แพงสำหรับผู้บริโภค 

แต่ต้นทุนที่แอบแฝง คือความเสี่ยงต่อสารเคมีอันตรายที่ตกค้างในอาหาร แถมยังอยู่ในผืนดิน น้ำ ป่า อากาศ ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เชื่อมโยงไปถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงด้วย 

“เราเคยเข้าไปทำงานกับชุมชนหนึ่งที่เพชรบูรณ์ ทุกคนป่วย มีสารพิษตกค้างในเลือด มีแค่ 2 คนที่ไม่เป็น เพราะป่วยอยู่แล้ว เลยไม่ได้ออกไปทำเกษตรเคมี พอเป็นแบบนี้ หนุ่มสาวก็ไม่กลับมาทำงานที่บ้านเกิด เพราะไม่เห็นหนทางไปต่อ สุดท้าย ครอบครัวและชุมชนก็ไม่แข็งแรง” 

ถ้าอยากให้คนหลุดพ้นจากวงจรนี้ ต้องมีตัวช่วยให้อะไรเปลี่ยนไป และคำตอบนั้นอยู่ในธรรมชาติ หรือเกษตรอินทรีย์

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

“เกษตรอินทรีย์ คือการเกษตรที่เคารพธรรมชาติและผู้คน เป็นการสร้างอาหารที่ดีที่สุดแก่มนุษย์และสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ใช้สารเคมีอันตราย ให้อาหารได้เติบโตจากดินที่อุดมสมบูรณ์ แสงแดด น้ำ อากาศที่สะอาด ไม่ฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติ และดูแลทั้งระบบนิเวศให้ยั่งยืน”

ความท้าทายคือช่วง 10 กว่าปีก่อน คนยังเพิ่งพูดถึงผักปลอดภัยจากสารพิษใหม่ ๆ ซึ่งแปลว่ายังมีการใช้สารเคมี เพียงแต่อยู่ในระดับการควบคุม การพยายามสรรหา สนับสนุน และผลักดันผลผลิตออร์แกนิก จึงเหมือนสร้างตลาดขึ้นมาใหม่ทั้งสองฝั่งพร้อมกัน 

“เกษตรอินทรีย์เป็นงานประณีต ทำเยอะไม่ได้ ต้องใจหนักแน่น เวลาเกษตรกรเห็นแมลง ต้องอดทนอดกลั้นไม่ใช้ยาฆ่า ต้องถอนหญ้าด้วยมือ ถ้าเคยปลูกแบบเคมีมาก่อน การต้องพักดินรออย่างน้อย 1 – 3 ปี ให้สารตกค้างจางลง ก็ถือว่ามีความเสี่ยง ยิ่งสมัยก่อน คนยังไม่รู้จักคำว่าออร์แกนิก เกษตรกรจะมั่นใจได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำให้เขาเห็นว่ามีทางเลือกที่ดีกว่าและอยู่ได้จริง ซึ่งต้องสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค เพื่อให้มีตลาดรองรับผลผลิตและกลไกสมบูรณ์

“เราไม่อยากให้การทำงานกับชาวบ้านเป็นการเอางบไปช่วยเป็นครั้งคราว การอยู่อย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้น เมื่อเราชวนคนมาดูแลตัวเองและคนรอบตัวได้ ผ่านการบริโภคในทุก ๆ วัน” 

ผมเคยถามแม่ว่า ทำไมถึงมั่นใจว่าสินค้าที่ยังไม่ค่อยมีตลาดจะเติบโตได้อย่างดี

เธอไม่ได้วิเคราะห์ตลาดอะไรซับซ้อน แค่ยึดจากความเป็นจริงของชีวิต 

สุดท้าย ธรรมชาติยิ่งใหญ่ที่สุด และเราคงต่างอยากให้คนที่เรารักสุขภาพดี อยู่ในสังคมที่ดี ถ้าเราทำให้คนเข้าใจพลังของอาหารที่ดี ตลาดจะเกิดขึ้น

เมื่อรู้ว่าการขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้กับหลายภาคส่วน ปัจจุบัน ข้าวทั้งหมดและผักผลไม้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่ Lemon Farm สรรหาจึงเป็นไปตามวิถีออร์แกนิก มั่นใจได้ว่าปลอดภัย

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

เคียงข้างคนต้นทาง 

แม้เกษตรอินทรีย์จะเป็นเรื่องดี แต่การเปลี่ยนจากเกษตรเคมีไม่ใช่เรื่องง่าย มีความน่ากังวลใจหลายประการระหว่างทาง ถ้าเราอยากให้เกษตรกรที่ปลูกวิถีออร์แกนิกอยู่รอดอย่างมั่นคง ต้องมีเพื่อนคู่คิดเดินเคียงข้างกันไป
Lemon Farm จึงสร้างทีมส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ที่เข้าไปทำงานกับพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อหาหนทางการปรับเปลี่ยนจากเกษตรเคมีให้เกิดขึ้นจริง โดยอาศัยการทำงานแบบ PGS (Participatory Guarantee System หรือระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม)

“PGS เป็นกระบวนการที่ชวนชาวบ้านมารวมกลุ่มเพื่อเรียนรู้ พัฒนา และดำเนินการตามมาตรฐานการทำเกษตรอินทรีย์ร่วมกันอย่างเคร่งครัด ว่าอะไรทำได้ ไม่ได้บ้าง เหมือนการรับรองฉลากเบอร์ 5 โดยมีสมาชิกกลุ่มและ Lemon Farm ร่วมกันตรวจสอบสม่ำเสมอ เมื่อเกษตรกรทำตามข้อกำหนดของกลุ่ม ยึดมั่นในหลักการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเคร่งครัด ทาง Lemon Farm ก็ทำหน้าที่เป็นตลาดรองรับผลผลิต” 

“มันไม่ใช่งานที่เข้าไปในชุมชนที่พร้อมแล้วและหยิบของมาขายเฉย ๆ แต่เรานึกถึงงานพัฒนาพื้นที่จากสิ่งที่เป็น ผู้คนเป็นอย่างไร พร้อมทำแค่ไหน อยากเห็นอะไรต่อไป วิธีนี้เกษตรกรจะได้เรียนรู้ร่วมกัน ตั้งแต่การวางแผน ดูแลผลผลิต เก็บเกี่ยว รวมทั้งการตรวจสอบ ที่ถือว่าทำหน้าที่แทนผู้บริโภคด้วย 

“ถ้าตรวจสอบพบใครปลอมแปลงผลผลิตเกษตรเคมี เราเลิกรับผลผลิตทันที เพราะถือว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค” สุวรรณาเอ่ยถึงความเข้มข้นของกระบวนการ

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในท้องตลาดมีหลายระดับ สำหรับ Lemon Farm มาตรฐาน PGS นี้ยึดมาตรฐานระดับสากลอย่าง IFOAM เป็นแนวทาง ปรับให้เข้ากับบริบทของพื้นที่ โดยที่เกษตรกรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรับรอง และมาตรฐานนี้ได้รับการตรวจสอบรับรองจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มั่นใจได้ว่าปลอดภัยจริง

หลังจากทำงานด้วยแนวคิดนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ปัจจุบัน Lemon Farm ทำงานโดยตรงกับ 9 กลุ่ม เกษตรกร รวมกว่า 330 ชีวิต สร้างพื้นที่เกษตรอินทรีย์มากกว่า 4,300 ไร่ ช่วยให้เกษตรกรมีโอกาสออกจากวงจรเดิม สุขภาพดีขึ้น หายป่วย และรักษาสิ่งสำคัญของพวกเขาไว้ได้

“หนึ่งกลุ่มที่เราทำงานด้วยคือบ้านงิ้วเฒ่า จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่อยู่ต้นแม่น้ำวัง แต่แห้งแล้งมาก เป็นภูเขาหัวโล้นจากการปลูกข้าวโพดเคมี ตัดไม้ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ชาวบ้านต้องซื้อน้ำอาบ ตอนเราไปเจอ พวกเขาบอกว่าไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว พอเราเห็นว่าพื้นที่นี้ปลูกถั่วเหลืองอินทรีย์ได้ ซึ่งทนแล้งและหาได้ยากมากในประเทศไทย ส่วนใหญ่ต้องนำเข้า ก็สนับสนุนพวกเขา ทำงานกันมา 2 ปีกว่า ตอนนี้ส่งถั่วเหลืองอินทรีย์ให้เราได้ 4 ตันต่อปี”

“อีกที่คือกลุ่มวนเกษตร จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องลางสาด และชาวบ้านกลุ่มหนึ่งหวงแหนมาก เป็นมรดกของพ่อแม่และอัตลักษณ์ของพื้นที่ แต่กำลังจะหายไปเพราะคนโค่นไปปลูกทุเรียนเคมีที่ทำลายหน้าดินกัน และคนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักแล้ว พวกเขาจึงพยายามสร้างกลุ่ม ปลูกลางสาดคู่กับพืชหลายอย่างภายใต้ผืนป่าใหญ่ด้วยแนวคิดวนเกษตร เราทำงานร่วมกันและ Lemon Farm รับหน้าที่เป็นตลาด เพื่อให้พวกเขารักษามรดกนี้ไว้ได้

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี
หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

“นอกจากชาวบ้านมีรายได้เพียงพอในการดำรงชีพ ยังเป็นการส่งเสริมให้เขาเป็นนักอนุรักษ์ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมแทนคนเมืองด้วย” สุวรรณาย้ำถึงความสำคัญของงาน 

ในวันที่สภาพภูมิอากาศของโลกกำลังแปรปรวน การรักษาพื้นที่สีเขียวทุกตารางและไม่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อโลกไปมากกว่านี้ เป็นเรื่องที่ต้องทำงานร่วมกันทุกฝ่าย

ทุกการบริโภคจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น และผู้บริโภครับรู้ได้ด้วยว่าผักผลไม้ที่ซื้อมาจากใคร กำลังช่วยสนับสนุนเกษตรกรคนใด เพราะมีรหัสเกษตรกร 6 หลักติดไว้ที่แพ็กเกจจิงของ Lemon Farm เป็นการกระตุ้นให้เกษตรกรตั้งใจดูแลผลผลิตให้ดีด้วย เพราะคนรู้ได้หมดว่าผลผลิตมาจากที่ใด

และเราคงไม่อยากให้สิ่งที่เป็นพิษภัยกับคนที่เรารัก

“มีเคสหนึ่ง ชื่อ แม่ทัศนีย์ อยู่ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เคยปลูกผักเคมีมานานจนป่วย หนี้พอกพูน เมื่อหันมาปลูกผักอินทรีย์ส่งเรา พอเข้าปีที่ 2 เธอปลดหนี้ได้ และลูกสาวที่มาทำงานที่กรุงเทพฯ เดินเข้ามาที่ร้านได้และรู้ว่าผักอันไหนมาจากแปลงของแม่ มันเป็นความเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค

“เกษตรอินทรีย์จึงไม่ใช่แค่สินค้า แต่เป็นเรื่องวิถีชีวิต วิถีของการเกษตรที่อยู่บนฐานของความรัก ความปรารถนาดี” 

ร้านสุขภาพของครอบครัว

“ร่างกายและชีวิตเราเป็นสิ่งมีค่าที่สุด แต่ถ้าไม่ป่วย เราอาจละเลยไป จริง ๆ โครงสร้างร่างกายมนุษย์โดยรวมยังคงเป็นเหมือนมนุษย์สมัยก่อนอยู่ อาหารที่เหมาะและร่างกายเรารู้จักคืออาหารจากธรรมชาติ เราจึงเน้นเรื่องผักผลไม้และการทำอาหารเองมาก” กัปตันทีมผู้ตระเวนคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากทั่วประเทศเล่าถึงปรัชญาการนำเสนอผลิตภัณฑ์และวิถีชีวิตที่อยากส่งเสริม

“อาจมีคนที่รู้สึกว่าผักผลไม้ไม่อร่อย และพอยุคสมัยเปลี่ยน ชีวิตคนเร่งรีบ ไม่ค่อยทำอาหารกัน เน้นอาหารแปรรูป ก็คงขายผักผลไม้หรือวัตถุดิบทำอาหารยากขึ้น แต่เรารู้สึกว่าเมื่อรู้เรื่องสำคัญของชีวิตแล้ว ไม่ทำก็ไม่ถูกต้องเท่าไรนะ”

“ถ้าเรากินนอกบ้านอย่างเดียว เราจะควบคุมได้ยากว่าแต่ละมื้อมีอะไรเข้าร่างกายบ้าง ถ้าเราอยากเห็นคนสุขภาพดี เราต้องช่วยให้คนอยากทำอาหารและเข้าไปที่ครัว ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงของคนทั้งบ้าน”

หัวใจของ Lemon Farm ผู้บุกเบิกอาหารออร์แกนิก เล่าโดยลูกที่เห็นแม่ทำงานหนักตลอด 25 ปี

นอกจากเน้นชักชวนให้คนทำอาหารร่วมกันและทานผักผลไม้เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคที่ป้องกันได้ Lemon Farm ยังเลือกจะไม่ขายทุกอย่าง เช่น ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีสารปรุงแต่งเยอะ เพราะมองเห็นถึงผลเสียต่อสุขภาพ และพยายามเลือกผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบธรรมชาติหรือปรุงแต่งน้อยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับการบริหารจัดการร้านค้าปลีก รวมกว่า 2,500 รายการ โดยมีการตรวจสอบรายละเอียดกับนักโภชนาการ

“ของที่เรากล้าซื้อให้ครอบครัวและคนที่เรารักกิน” สุวรรณาสรุปวิธีคัดสรรผลิตภัณฑ์แบบง่าย ๆ และเน้นว่าอย่ามองสินค้าเป็นเพียงสินค้าอีกชิ้นหนึ่ง แต่ให้มองว่าสิ่งที่เราจะส่งมอบคืออะไร

ถ้าเป็นอาหาร มันคือพลังของร่างกาย ซึ่งควรเป็นพลังที่ดีที่โอบอุ้มชีวิต

เป็นเหตุผลให้ Lemon Farm นำเสนอเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงตามวิถีธรรมชาติ คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์

วัตถุดิบอาหารและเครื่องปรุงที่น้ำตาลน้อย โซเดียมต่ำ หลีกเลี่ยงสารเคมีสังเคราะห์

ข้าวที่ปลูกและดูแลตามวิถีออร์แกนิกทุกแพ็ก หลากหลายสายพันธุ์และคุณประโยชน์จากชุมชน

Lemon Farm ยังมองว่าการขายของเป็นงานหนึ่งเท่านั้น ต้องทำงานให้ความรู้และแชร์ความคิดระหว่างผู้คนด้วย เพราะถ้าคนไม่รับรู้ เขาจะไม่ให้ค่าและไม่ดูแลสิ่งที่สำคัญ 

ที่ผ่านมา ร้านจึงจัดเวิร์กช็อปเรื่อย ๆ ทั้งสอนปลูกผักง่าย ๆ สอนทำอาหารแมคโครไบโอติกส์ รวมทั้งโยคะ การเจริญสติ พาไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่า เพื่อให้คนทุกเพศทุกวัยได้ดูแลสุขภาพทั้งองค์รวม

และเป็นร้านสุขภาพของครอบครัว

เส้นทาง 25 ปีของ Lemon Farm ธุรกิจค้าปลีกที่ทำงานกับเกษตรกรรายย่อย เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม

หัวใจที่ดีงาม

“เราไม่ได้ทำสิ่งนี้ขึ้นมาเอง แต่โชคดีมากที่ระหว่างทางมีคนช่วยเหลือและสนับสนุนมาโดยตลอด” สุวรรณาที่บอกว่าตัวเองแทบเริ่มจากศูนย์ในเชิงการบริหารธุรกิจ ผ่านเหตุการณ์หลังชนฝานับไม่ถ้วน เคยคิดจะเลิกทำอยู่หลายครั้ง บอกสิ่งนี้ให้ผมฟังเสมอ

หนึ่งในกำลังสำคัญของร้านค้าปลีกที่ไม่ได้ใหญ่หรือมีทรัพยากรเท่าร้านค้าปลีกรายใหญ่ คือผู้คนที่ร่วมหัวจมท้ายกันมา พนักงานหลายคนทำงานมาเป็นสิบปี ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งอยู่ในออฟฟิศ บางคนออกไปแล้ว กลับเข้ามาใหม่ก็มี

“ทีมงานของ Lemon Farm เป็นคนที่มีจิตใจดี ผูกพันกับการตั้งใจช่วยเหลือเกษตรกรและทำอาหารที่ดีให้ผู้คน แต่ละคนมีความถนัดของตัวเอง เรามารวมกันเพื่อทำงานแบบทีมวิ่งผลัด ตั้งแต่คนที่ลงพื้นที่ไปทำงานกับชุมชน ส่งกันต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงผู้บริโภค” เธอกล่าว

“เราเคยออกไปแล้วกลับเข้ามา แน่นอนว่าถ้าเราไปอยู่บริษัทใหญ่ อาจจะเติบโตไปไกลกว่านี้ แต่เรารู้สึกว่าเรายังทำอะไรบางอย่างที่มีความหมายที่นี่ได้ และอยากเห็นสิ่งนี้สำเร็จไปด้วยกันกับคนที่อยู่ที่นี่” พี่พนักงานคนหนึ่งที่ทำงานมา 10 ปีเคยเล่าให้ผมฟัง 

การบริหารคนไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจมนุษย์ เพื่อทำให้เกิดการมีส่วนร่วม และสิ่งนี้เป็นทักษะหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มากที่สุดจากเธอ

“เราต้องพาคนไปอยู่กับเรื่องจริง ๆ ให้เข้าใจและเห็นถึงพลังของงานด้วย เรามักพาทีมไปรู้จักกับเกษตรกร ไปสัมผัสพื้นที่จริง ถ้าเขาไม่อินด้วย เขาจะไม่เข้าใจเลยว่าจะขายผักผลไม้ไปทำไม แล้วพี่น้องเกษตรกรตั้งใจกันแค่ไหน มันไม่ใช่เพื่อตัวเลขเฉย ๆ ซึ่งพอได้เห็น ได้รู้สึก และเห็นคุณค่าของงานร่วมกันแล้ว เราเห็นคนสู้กันสุดชีวิตเลย” 

“แน่นอนว่าหน้าที่ของเรา คือดูแลคนพร้อมกับธุรกิจให้อยู่รอด และธุรกิจต้องเดินด้วยระบบการจัดการ ไม่มีสายลมแสงแดดในชีวิตจริง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือการสร้างและรักษาหัวใจที่ดีงาม หัวใจที่เชื่อมบางเรื่องของคนไว้ 

“เพราะงานที่มีหัวใจ มันจะทรงพลังมาจากข้างใน และจะทำให้คนมั่นคง เดินได้นาน และพาไปพบกับทางออกเสมอ” 

เส้นทาง 25 ปีของ Lemon Farm ธุรกิจค้าปลีกที่ทำงานกับเกษตรกรรายย่อย เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม
เส้นทาง 25 ปีของ Lemon Farm ธุรกิจค้าปลีกที่ทำงานกับเกษตรกรรายย่อย เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ปรับตัวโดยรักษาแก่น

“เราต้องปรับตัวเหมือนกัน วิถีการบริโภคเปลี่ยนไป” ผู้บริหารที่ผ่านสุขทุกข์กับงานนี้มากว่า 2 ทศวรรษ กล่าวถึงโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 

“ชีวิตเราเร่งขึ้น ถึงเราอยากให้คนทำอาหาร แต่เมื่อวิถีชีวิตทำให้เป็นไปได้ยาก เราจะอำนวยความสะดวกได้อย่างไรบ้าง เป็นโจทย์ที่เราต้องทำการบ้าน” 

เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น Lemon Farm ขยายสาขาใหม่เข้าไปอยู่ใจกลางเมืองมากขึ้น เช่น สามย่านมิตรทาวน์และสิงห์ คอมเพล็กซ์

เปิดโซนคาเฟ่ภายในร้าน นำวัตถุดิบธรรมชาติและออร์แกนิกมารังสรรค์เป็นเมนูที่ทานได้ง่าย ปรุงแต่งน้อย โดยคงคอนเซปต์ว่า ทุกการบริโภคจะเป็นมิตรต่อสุขภาพ และช่วยให้บางพื้นที่ชุมชนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น

เส้นทาง 25 ปีของ Lemon Farm ธุรกิจค้าปลีกที่ทำงานกับเกษตรกรรายย่อย เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม
เส้นทาง 25 ปีของ Lemon Farm ธุรกิจค้าปลีกที่ทำงานกับเกษตรกรรายย่อย เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม

เช่น สมูทตี้ที่ออกแบบให้มีผักผลไม้รวมกันแล้วครบ 400 กรัม ซึ่งเป็นตัวเลขที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทานในแต่ละวันเป็นขั้นต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

กาแฟป่าที่สนับสนุนให้ชุมชนมีรายได้และรักษาป่าต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ไว้

นอกจากนี้ เธอยังสร้างสินค้าภายใต้แบรนด์ Lemon Farm โดยยึดหลักสุขภาพเป็นที่ตั้ง เช่น ธัญพืชกว่า 40 ชนิด ชุดของขวัญรวมอาหารสุขภาพที่ใช้แทนความห่วงใยได้เป็นอย่างดี

การสั่งซื้อทางออนไลน์และการเริ่มจัดโซนผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น เช่น คนที่ทานวีแกน คีโตเจนิก คนที่ต้องการโปรตีนสูง และอื่น ๆ

“รูปแบบงานของเราต้องเปลี่ยนตามยุคสมัย แต่ว่าแก่นของเรายังคงเหมือนเดิม คือการเติมสุขภาพดี ส่งต่อวิถียั่งยืน งานอะไรที่ทำให้คนสุขภาพดีผ่านสินค้าและความรู้ และดูแลสังคมกับสิ่งแวดล้อมได้ไปพร้อมกัน เป็นความฝันและหน้าที่ของเรา”

สังคมสุขภาพ

“เราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ไม่ว่ามีเราหรือไม่มีเรา โลกก็เดินต่อไป เพียงแค่ว่าวันนี้เราได้ทำหน้าที่บางอย่างที่ควรทำ บางสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถือว่าดีมากแล้ว เป็นงานที่โชคดีที่ได้ทำ” 

นี่เป็นประโยคที่ผมจำขึ้นใจ เมื่อมีคนถามสุวรรณาว่า ถ้าวันหนึ่งไม่ได้ทำหรือไม่มี Lemon Farm อีกต่อไปแล้ว จะเป็นอย่างไร 

“ดีใจที่ได้ทำ” 

ผมอยากรักษาความรู้สึกนี้ในการทำงานใด ๆ ไว้ให้ได้แบบเธอ เราอาจไม่ต้องสำเร็จอะไรยิ่งใหญ่ แค่ได้ทำสิ่งที่ควรทำในชีวิตนี้อย่างเต็มภาคภูมิ

เส้นทาง 25 ปีของ Lemon Farm ธุรกิจค้าปลีกที่ทำงานกับเกษตรกรรายย่อย เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม

นี่คือเรื่องราวการเดินทางฉบับย่อของร้านอายุ 25 ปีแห่งหนึ่ง ที่อยากลองทำงานมากกว่าการขายของ แต่รวมสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้เป็นส่วนหนึ่งของงานด้วย 

คงไม่ได้เพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ มีจุดให้แก้ไขปรับปรุงอีกมาก ที่ร้านยินดีรับฟังคำแนะนำเสมอ และอยากชวนคนที่มีแนวคิด ความฝันเดียวกัน มามีส่วนร่วมและพัฒนางานนี้ไปด้วยกัน

เพราะถ้าไม่มีคนเหล่านี้ Lemon Farm คงไม่อาจเดินทางมาได้จนถึงวันนี้

ผมอยากให้บทความนี้เป็นพื้นที่แทนคำขอบคุณผู้ใหญ่ ท่านอาจารย์ พนักงาน เกษตรกร ผู้บริโภค หน่วยงานที่ร่วมมือกัน และทุก ๆ ฝ่าย ที่ร่วมสร้างให้ Lemon Farm เติบโตและรักษาความตั้งใจ ยึดมั่นในภารกิจไว้ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน

ขอให้สุขภาพดีครับ 

เส้นทาง 25 ปีของ Lemon Farm ธุรกิจค้าปลีกที่ทำงานกับเกษตรกรรายย่อย เพื่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม

Lessons Learned

  • ความชัดเจนและการยึดถือหลักการให้คงมั่น จะทำให้คนจดจำและเชื่อใจเรา
  • เราสร้างตลาดขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าเราเข้าใจว่าคน (และโลก) ต้องการอะไร
  • ทำอะไร ลงลึกไปให้สุดจนเราเข้าใจจริง ถ้าทำงานกับชุมชน อย่าเข้าไปแค่ประเดี๋ยวประด๋าว
  • รักษาหัวใจที่เข้มแข็งและความเชื่อของผู้คน
  • ธุรกิจและสังคมเติบโตไปพร้อมกันได้

Writer

Avatar

ปัน หลั่งน้ำสังข์

บัณฑิตวิศวฯ ที่ผันตัวมาทำงานด้านสื่อ เพราะเชื่อว่าเนื้อหาดี ๆ จะช่วยให้คนอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล