จิงจิง ยู ปรากฏตัวให้เห็นในลุคสบาย ๆ แบบเด็กสาวที่มีความสุขกับชีวิต

เรามีนัดกับเธอที่คาเฟ่ใกล้บ้าน หลังทราบข่าวคราวว่าเธอกลับมาไทยหลังจากไปใช้ชีวิตที่เกาหลีร่วม 2 เดือน

ความจริง มันไม่ใช่แค่ 2 เดือนหรอก

จิงจิงตัดสินใจเซ็นสัญญาเป็นนางแบบที่ประเทศเกาหลีนานถึงปี 2025 ก่อนหน้านี้เธอใช้เวลา 2 ปีเต็มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นั่น ก่อนโควิดจะเข้ามาดับฝันเธอนานถึง 3 ปี 

เชื่อว่าหลายคนคงจำเธอได้จากหลากหลายบทบาท ทั้งนักแสดงนำจาก App War ภาพยนตร์เรื่องแรกที่พาให้เธอได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี โปรเจกต์ 2021 ราตรี ที่เธอลุกขึ้นมาเป็นทั้งนักร้องและนักเต้น รวมถึงผลงานใหม่ล่าสุดอย่างเพลง พี่มันเลว สีดา๒ – The Rube ที่ชวนให้เธอกลับมาเป็นนางสีดาอีกครั้ง หลังจากเพลง I’M SORRY (สีดา) เมื่อ 7 ปีก่อน ประสบความสำเร็จถึง 200 ล้านวิว

“ตอน 7 ปีที่แล้วก็แต่งหน้าเหมือนผีมาก หน้าขาว มีคิ้วเส้นเดียว แต่คนตามหากันเยอะมากว่านางเอกคือใคร แล้วสีดาภาค 2 ก็มีคนถามอีกว่า นางเอกเป็นคนที่สร้างขึ้นมารึเปล่า” เธอเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ จนดูไม่ออกว่าคนตรงหน้าเคยถูกบูลลี่จนสูญเสียความมั่นใจ

จิงจิงบอกว่า เธอสักคำว่า ‘Confident has no competition’ ไว้ และใช้มันเป็นคตินำทางชีวิต

จิงจิง ยู

ครั้งนี้ที่กลับไปอยู่เกาหลี คุณตั้งใจจะไปทำอะไร

จริง ๆ เซ็นสัญญาถึงปี 2025 หนูอยากกลับไปทำงานเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเกิดไม่มีโควิด หนูก็คงอยู่เกาหลียาวแล้ว แต่หนูไม่กล้าอยู่ ไม่กล้าใช้ชีวิตต่างประเทศคนเดียว ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง แต่ทางค่ายก็ตามให้เรากลับไปตลอด เลยรอให้โควิดซาแล้วค่อยกลับไป เป็น 3 ปีที่เสียดายเวลาชีวิตมาก

ตอนนั้นมั่นใจเลยเหรอว่าจะอยู่ยาว ไม่กลับมาไทยเลย

เพราะงานที่เกาหลีเยอะมาก สไตลิสต์รู้จักเยอะ คนรู้จักเยอะ เราได้แคมเปญใหญ่ ๆ เยอะมาก ได้งานที่ค่อนข้างโชคดีกว่าที่คนอื่นได้รับอีก 

เคยถามเขาไหมว่าทำไมต้องเป็นเรา

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพราะตอนที่ตัดสินใจไปเกาหลีตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะงานเยอะขนาดนี้ พูดภาษาเกาหลีก็ไม่ได้ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนคาแรกเตอร์หนูชัดมาก ตัดผมหน้าม้าเต่อ 

มีแต่ผู้จัดการที่เกาหลีชมว่าเราทำงานเก่ง จากเซนส์ที่เราทำงานตั้งแต่อายุ 15 แล้วเราก็รักในการถ่ายแบบมาก เลยสนุกมากกับการทำงานที่นั่น

คาดหวังอะไรกับ 2 ปีต่อจากนี้

ก่อนมีโควิดก็คิดว่า เออ ลองทำงานต่างประเทศไหม ขอเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่พอมีโควิดเข้ามามันก็แบลงก์เหมือนกัน เหมือนดับฝันไปเลย ไม่รู้จะทำอะไร เพราะถ้าพูดตามความจริง วงการแฟชั่นในประเทศไทยก็อย่างที่รู้กัน 

ที่เกาหลีมีแมกกาซีนเยอะมาก รัฐบาลช่วยสนับสนุนวงการบันเทิงตลอด แมกกาซีนบ้านเขาจะไม่มีทางปิดตัวลง หนูเคยได้ยินว่ามีแมกกาซีนดัง ๆ กำลังจะปิด รัฐก็เอาเงินมาช่วยเลย 

รอบนี้ยังมีเป้าหมายเดิม หวังว่าจะได้ทำงานเยอะ ๆ หนูชอบถ่ายแบบมาก มันสนุก 

ที่เกาหลีมีนางแบบต่างชาติเยอะไหม

ตอนเด็ก ๆ หนูเป็นต่างชาติคนแรกและคนเดียวในค่าย ESteem เครือ SM Entertainment ในนั้นมีแต่คนเกาหลีหมดเลย แต่ 3 ปีผ่านมา เรากลับไปใหม่ นางแบบอายุ 15 – 16 ปี สูงมาก มีหน้าใหม่เยอะมาก มีต่างชาติเยอะมาก ปกติทีมผู้จัดการก็มีไม่กี่คนที่พูดภาษาอังกฤษกับเราได้ ทุกวันนี้มีผู้จัดการคนใหม่เข้ามาเพื่อดูแลนางแบบต่างชาติโดยเฉพาะ เวลาแค่ 3 ปี แต่ทุกอย่างที่เกาหลีพัฒนาเร็วมาก 

กลับไปทำงานได้ 4 เดือนแล้ว เป็นยังไงบ้าง

ไป ๆ กลับ ๆ ค่ะ เราวางแพลนไว้ว่าจะทำงานทั้งที่ไทยและเกาหลี ไปรอบแรก 2 เดือนก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ต้องไปหาบ้านอยู่ จัดการชีวิตให้ลงตัว แล้วก็ไปอยู่จริงได้ 2 เดือนก็ยังไม่มีงาน ตอนแรกเครียดเหมือนกันว่าตัดสินใจถูกรึเปล่าที่กลับไป เลยคุยกับผู้จัดการ เขาบอกว่า จิงจิง นี่เพิ่ง 2 เดือนเอง มันเร็วเกินไปที่คุณจะเครียดด้วยซ้ำ หนูก็เลย เออ ตอนเราเด็ก ๆ มาอยู่ที่เกาหลีโดยไม่มีงานเลย 3 – 4 เดือนยังได้ 

รู้สึกว่านี่เหมือนการกลับไปเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่การต่อยอดจากของเก่าอีกแล้ว เหมือนหนูเป็นคนใหม่ ไปเริ่มใหม่จริง ๆ เพราะ หนึ่ง ลุคเราเปลี่ยน สอง หนูโตขึ้น คนจำเราไม่ค่อยได้ เพราะเราหายไปนานมาก ตอนนี้จิงผมยาว แสกกลาง เป็นลุคเหมือนนางแบบทั่วไป เหมือนหนูยังจับจุดตัวเองไม่ค่อยถูก

กลัวไหมที่มีคนต่างชาติเยอะขึ้นและไม่ได้รับความนิยมเท่าเมื่อก่อน

พอไปอยู่สักพักหนึ่งหนูก็ได้ไปอีเวนต์เยอะมาก เพราะที่เกาหลีค่อนข้างซีเรียสเรื่องผู้ติดตามในไอจี แล้วของหนูสำหรับนางแบบถือว่าไม่ได้น้อย เราพอสู้ได้ อาจจะมีทางเป็นไปได้ก็ได้ที่จะเริ่มต้นใหม่

หมายความว่าคนที่มียอดติดตามน้อยก็มีโอกาสเป็นนางแบบได้ยากเหรอ

ไม่ได้มีโอกาสเป็นนางแบบยาก แต่งานอีเวนต์เขาจะดู เพราะยอดฟอลฯ ที่เกาหลีค่อนข้างขึ้นช้า เพื่อนหนูที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ไทยยังมีผู้ติดตามเยอะกว่านางแบบที่มีงานเยอะ ๆ ในเกาหลีอีก 

จากการไปทำงานที่เกาหลี คิดว่าการเป็นนางแบบที่นั่นยากหรือง่าย

หนูว่ายากนะ ไม่ง่ายสำหรับคนต่างชาติ เพราะนั่นไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดเรา เกาหลีทำงานซีเรียสมาก แฟชั่นบ้านเขามันใหญ่มาก หนูไปอ่านมาเขาบอกว่าเด็กเจนฯ ใหม่ ๆ ของเกาหลีจะสูง ขาว ก็เลยรู้สึกว่าคู่แข่งเยอะแล้ว เพราะเด็ก ๆ ที่หนูเห็นเขาสูงกันแบบต้องเงยหน้ามอง

จริงเหรอ คุณก็สูงแล้วนะ

แต่หนูเป็นนางแบบเซตตัวเล็กนะ ทั้งที่ไทยหรือเกาหลี หนูจะไม่ได้ใส่ชุดกูตูร์ตัวยาว ๆ ส่วนมากจะได้ใส่เดรสสั้น หรือไม่ก็จะได้งานโฆษณา ถ่ายบิวตี้มากกว่า

การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก
การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก

จิงจิงวางแผนจะไปสู้กับเขายังไง

ก็ มูเตลูมั้งคะ (หัวเราะ) วิธีที่มีแต่คนไทยที่ทำเท่านั้น 

ในวงการที่มีหน้าใหม่เกิดขึ้นมาก ๆ จุดแข็งที่ทำให้เขายังเลือกคุณคืออะไร

ที่เกาหลี สไตลิสต์จะบอกกันปากต่อปาก เหมือนเขาชอบการทำงานของหนู ก็เลยได้แมกกาซีนใหญ่ ๆ เยอะมาก แล้วถ้าได้กลับเข้าไปทำงานแบบนี้ใหม่ก็อาจมีโอกาสได้งานใหญ่ ๆ อีก ด้วยความที่หนูสนุกกับการถ่ายแบบมาก ๆ หนูเรียนเต้นตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้หนูจัดแจงสรีระร่างกาย แล้วก็มีเซนส์อะไรบางอย่างที่ทำให้ได้ท่าแปลก ๆ (หัวเราะ)

ถ้าคุณบอกว่าครั้งนี้เหมือนการเริ่มต้นใหม่ นอกจากภาพลักษณ์ที่เปลี่ยน มีอะไรในตัวจิงจิงที่เปลี่ยนไปอีกบ้าง

มีอะไรเปลี่ยนไปอีกบ้าง (คิด) 

รู้สึกว่าโตขึ้นมาก เพราะว่าหนูทำงานตั้งแต่เด็กก็เลยเข้าใจวงการมากขึ้น หลัก ๆ เลยคือเมื่อก่อนเวลามีโอกาสเข้ามา เราอาจจะยังไม่ได้คิดอะไรเยอะ แต่พอโตขึ้น เราคิดว่าควรรีบคว้าเอาไว้เลย เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มันยากขึ้น เราเริ่มคิดเยอะขึ้น

มี Cultureshock อะไรที่ยังปรับตัวไม่ได้บ้างไหม

รอบนี้ไม่มีเลย แต่ตอนเด็ก ๆ มี 

ตอนไป เขาก็พาหนูเข้าโมฯ ไปดูตัว แล้วก็บอกว่าให้เวลา 3 เดือน เซ็นสัญญา แล้วมาเกาหลีเลย มันเร็วมากสำหรับหนู ภาษาก็ไม่ได้เรียน เราดูซีรีส์เกาหลีก็จริง แต่ไม่รู้หรอกว่าการไปอยู่ที่เกาหลีจริง ๆ วัฒนธรรมเขาเป็นยังไง แตกต่างแค่ไหน เช่น เวลากินข้าวที่เกาหลีต้องกินพร้อมกัน จะไม่มีการมาแยกกันกินเวลาทำงาน พักกลางวันพร้อมกัน เสร็จงานพร้อมกัน เลิกงานพร้อมกัน ส่วนเรื่องมารยาท หนูว่าคนไทยค่อนข้างได้เปรียบ เพราะเรามีระดับความอาวุโส คนเกาหลีก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แรก ๆ ก็ปรับตัวยาก แต่ชินแล้วค่ะ

การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก
การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก

การสื่อสารยังเป็นปัญหาอยู่ไหม

เอาจริง ๆ ตอนนี้คนเกาหลีพูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าเดิมเยอะมาก ตอนนี้เดินตามถนนก็เจอคนเกาหลีที่เรียนต่างประเทศ มีนางแบบฝรั่งเยอะขึ้นมาก ตอนนี้หนูก็เรียนภาษาเกาหลีอยู่ด้วย 

เหงาไหม การอยู่คนเดียว

เหงามาก เมื่อก่อนหนูเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง ชวนคนคุยยากมาก แต่ตอนนี้กลายเป็นมันก็ดีนะ เราได้รู้จักคนใหม่ ๆ กล้าเข้าสังคมมากขึ้น มีเพื่อนเกาหลีเยอะขึ้น เลยไม่ได้เหงาเท่าแต่ก่อน แล้วเกาหลีเป็นประเทศที่บินไปแค่ 7 ชั่วโมง คนไทยชอบไปเที่ยวเกาหลีอยู่แล้ว อย่างช่วงสงกรานต์หนูไม่ได้พักเลยทั้งเดือน เพราะคนมาหาตั้งแต่ต้นเดือนถึงปลายเดือน (หัวเราะ) กลายเป็นเหนื่อยพาเที่ยวมากกว่าเหงา

จิงจิงเคยเล่าว่าป่วยหนัก แต่แคนเซิลงานไม่ได้

ใช่ หนูแคนเซิลไม่ได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ไทยมีโรคท้องเสียระบาด หนูไปอาการออกบนเครื่อง แล้วก็ลงจากเครื่องไฟลต์ดึกมาก รู้ตัวเลยว่าหนูออกจากเกตไม่ได้แน่นอนถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ เป็นหนักมาก แล้วอยู่คนเดียว เลยบอกผู้จัดการว่าไม่ไหว คิดว่าต้องไปโรงพยาบาลด่วน เขาก็ส่งรถมารับเรา 

แล้วหนูมีถ่ายแคมเปญใหญ่ เป็นสปอร์ตบรา ในอากาศ -10 องศาเซลเซียส ตอนตื่นมาหนูยังอ้วกอยู่เลยนะ ตอนพักเที่ยงที่เขากินข้าวกัน ผู้จัดการก็พาหนูไปนอนให้น้ำเกลือ กินข้าวต้มบนรถ แล้วก็กลับไปถ่ายใหม่ 

หนูไม่อยากปฏิเสธเพราะมันเป็นแคมเปญใหญ่ สมมติเราเลื่อนเขา บอกว่าถ่ายไม่ได้ ทางทีมเขาเสียหายเยอะกว่าเรา เพราะเขาเซตทุกอย่างไว้แล้ว เราก็ทำเต็มที่เท่าที่ทำได้

หนูเจออะไรที่ยากที่สุดมาแล้ว ก็เลยชิลล์แล้วค่ะตอนนี้

การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก
การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก

คุณยังเคยบอกอีกว่า งานเดินแบบที่เกาหลีเร็วมาก เคยทำมากสุดเท่าไหร่ใน 1 วัน

ใช่ แต่ที่เกาหลีเขาไม่ให้เดินแบบต่อกัน ถ้าสมมติว่ามี 5 แบรนด์ หนูอาจจะเดินของแบรนด์ที่ 1 3 5 เพราะเขาจะเปลี่ยนเวทีไม่ทัน คือเราไปถึง แต่งหน้า ทำผม เปลี่ยนชุด ซ้อมเดิน รอประมาณ 10 นาที เดินจริง แล้วก็กลับได้เลย แต่ที่ไทยคือทุกคนต้องมาตี 5 – 6 โมง เพื่อซ้อมให้ครบทุกแบรนด์แล้วค่อยเดินดึก ๆ ทีเดียว

เยอะสุดคือช่วงโซลแฟชั่นวีก เพราะแบรนด์เสื้อผ้าเขาเยอะมาก มีงานเดินแบบตลอดเวลา

จิงจิงยังต้องไปแคสต์อยู่ไหม

แคสต์ค่ะ เพราะตอนนี้หนูถือว่าเป็นหน้าใหม่ แต่หนูไปทำงาน ไปเจอคนเก่า ๆ สไตลิสต์เก่า ๆ ตากล้องเก่า ๆ ไปทักเขา เขาก็จำเราได้นะ ไปเจอคนใน ESteem เขาก็ โอ้ จิงจิงกลับมาแล้ว เพราะหนูเคยงานเยอะมาก ๆ ตอนล่าสุดไปเจอนางแบบที่เคยร่วมงานกัน ก็กอดกันเลย เคยถ่ายงานมาด้วยกัน เลยมีความรู้สึกเป็นรุ่นพี่นิดหนึ่งที่รู้จักแต่คนเก่า ๆ ที่อยู่ในโมฯ มานาน

ความนิยมเราลดน้อยลงก็จริง แต่หนูก็ต้องสู้ใหม่ให้มันกลับมา

ทำไมถึงต้องเป็นเกาหลี

ในหัวหนูตอนแรก คือทำที่เกาหลีก่อน เพราะคิดว่าเกาหลีจะส่งหนูไปยุโรปได้ ความฝันของหนูไม่ใช่แค่เกาหลี หนูอยากลองดู ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ เพราะหนูเป็นนางแบบเซตตัวเล็กไง 

การเป็นนางแบบตัวเล็กนับเป็นอุปสรรคในการเติบโตไหม

ถ้าเราได้งานโฆษณาก็โอเค แต่ถ้าถามว่าเราจะได้ไปเดิน High Brand ไหม ก็ค่อนข้างยาก เพราะเขาจะเลือกคนที่สูง 175 ขึ้นไป แล้วเรา 174 ไปเดินก็เหมือนเป็นหลุม เพื่อนหนูไปทำงานที่สหรัฐฯ ก็ไม่ค่อยได้งานเดินแบบ แต่ได้งานถ่ายโฆษณาเยอะมาก เพราะเพื่อนหนูมันหน้าเก๋ 

การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก

ปริยพิชญ์ ยู

จิงจิงสักคำว่า Confident has no competition หมายถึงอะไร

ความมั่นใจไม่มีการแข่งขัน ถ้าเราไม่มั่นใจมันก็จบ เพราะไม่เห็นต้องแข่งขันอะไรเพื่อให้ได้มา มันอยู่ที่เราทุกอย่าง เป็นคติเตือนใจให้หนูมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

ทำไมคนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างคุณ ถึงทำงานได้สุดทุกงานโดยไม่กลัวอะไรเลย

ในพาร์ตของการทำงาน หนูมั่นใจในตัวเองมาก แต่การใช้ชีวิตประจำวันยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ตอนเด็ก ๆ หนูหนักเลย คิดว่าทำได้ดีแล้วรึยังตลอด ตอนที่เล่น App War ดูในโรงยังรู้สึกไม่ชอบที่ตัวเองเล่นเลย 

เพราะ

หนูคาดหวังไว้สูง แม้ทุกคนจะบอกว่ามันดีแล้วนะ ก็เลยกลับไปดูอีกรอบหนึ่ง เออ มันก็ดีหนิ แล้วเราเครียดอะไร 

หนูชอบกดดันตัวเองไว้ก่อน แล้วพอทำไม่ได้อย่างที่หวัง ความรู้สึกหนูมันก็ดิ่งลงมาเลย เพราะอยากให้ทุกอย่างออกมาดี ถ้าทำเต็มที่แล้วได้คำวิจารณ์ด้านลบก็จะรู้สึกเสียใจมาก ๆ 

สมัยเด็กที่บอกว่าไม่มั่นใจในตัวเองขนาดหนักเป็นยังไง

หนูโดนบูลลี่มาตั้งแต่เรียนประถมถึงมัธยม เพราะเรียนโรงเรียนหญิงล้วน แล้วเขาไม่ได้สนับสนุนคนทำงานในวงการ เขาให้เราออกจากโรงเรียนเลย 

เด็ก ๆ หนูเรียนเต้น ชอบเต้นมาก ขึ้นเวทีไปประกวด แล้วรุ่นพี่ก็เลยหมั่นไส้ บอกว่า อีนี่คงแรด ชอบทำตัวเด่นว่ะ กลายเป็นทำให้หนูเข้ามาอยู่ในกรอบว่า หรือเราไม่ควรแสดงออกถึงความเป็นตัวเองมากเกินไป

แสดงว่าตอนเด็ก ๆ ไม่ได้มีนิสัยแบบนี้ แต่เพิ่งเป็นเพราะมีคนบูลลี่

ใช่ ก็รู้สึกว่าเราผิดอะไรวะ กลายเป็นตั้งคำถามกับการเป็นตัวเอง แล้วก็โดนบอกว่าเราหน้าแปลก ผอมแห้ง เหมือนจิ้งจก โดนรุ่นพี่แกล้ง สารพัด

แล้วพอโดนบูลลี่ว่าหน้าแปลก มองตัวเองแล้วเคยคิดแบบนั้นจริง ๆ ไหม

หนูก็ส่องกระจกแล้วคิดว่า กูก็หน้าแปลกจริง ๆ สมัยนั้นยังไม่มีคำว่าหน้าเก๋ ยังไม่มีนางแบบหน้ายูนีก 

เออ กูไม่สวยอะ มันรู้สึกแบบนั้น

รับมือกับสถานการณ์นั้นยังไง

ตอนนั้นไม่ได้รับมือ เราเข้าใจไปเลยว่าเราเป็นอย่างนั้น

พอย้ายโรงเรียนก็โดนบูลลี่อีก เพราะหนูไม่เคยมีสังคมแบบโรงเรียนชายหญิง ซึ่งผู้ชายบางคนก็เจ้าชู้ ทักมาหาเราทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว หนูก็โดนด่าเรื่องผู้ชายอีก หาว่าแรดบ้าง ไปอ่อยเขาบ้าง คิดว่าสวยมากเหรอหน้าตาก็ตลก ทั้งที่ผู้ชายทักมาหาเราก่อนด้วยซ้ำ คือกูผิดอะไร ทำไมไม่ว่าผู้ชาย มาว่าผู้หญิงทำไม

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนเป็นไทยซูเปอร์โมเดลไหม

เกิดขึ้นก่อน

เป็นเหตุผลที่ทำให้แม่จูงมือไปสมัครประกวดนางแบบรึเปล่า

หนูไม่ได้บอกแม่เรื่องนี้ กลัวเขาเครียด 

คิดว่าทำไมแม่ถึงให้ไปประกวดนางแบบมากกว่าประกวดนางงาม

เขารู้ว่าหนูชอบเต้น เขาบอกว่าตอนหนูเรียนเต้น หนูชอบไปหยิบแมกกาซีนมาดูนางแบบโพสท่า หนูไม่รู้ตัวหรอก ครูที่สอนเต้นก็บอกว่า ผมว่าลูกแม่น่าจะเป็นนางแบบได้นะ หน้าก็เริ่มมา หุ่นก็คอยาว ๆ แห้ง ๆ อาจจะเป็นนางแบบก็ได้ 

แล้วก็เป็นเรื่องมูเตลูด้วย หมอดูทักว่าช่วงอายุ 15 จะเป็นขาขึ้นของลูก ถ้าอยากได้อะไร ดวงจะเบิล แม่เลยจูงมือตอนเช้าไปทำบัตรประชาชน เสร็จปุ๊บ ตรงไปเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อประกวดนางแบบ 

แม่ผลักดันหนูมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขารู้ว่าหนูชอบงานในวงการ เห็นว่าเราทำได้ ทำแล้วมีความสุข เลยสนับสนุนมาตลอด

พอเข้ามาในวงการนางแบบแล้ว รู้สึกว่านี่เป็นที่ของเราไหม

ใช่ค่ะ ตั้งแต่อายุ 15 – 26 ปี หนูรู้สึกเหมือนเป็นบ้าน

พอได้ไทยซูเปอร์โมเดล เริ่มเข้ามาในวงการ เริ่มรู้จักคำว่ายูนีก เริ่มรู้จักคำว่าหน้าเก๋ ความคิดแย่ ๆ ของหนูก็หายไป เพราะไม่ได้ไปเจอสังคมที่บูลลี่เราอีกแล้ว เส้นทางในอนาคตมันกำหนดให้เราต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ได้ไปจมอยู่ตรงนั้นมาก อาชีพการงานมันดึงให้เราออกไปเอง ชีวิตเราก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ บอกตัวเองว่า เราหน้าเก๋ค่ะ เราไม่ได้หน้าแปลกหรือน่าเกลียด

หนูว่าสมัยนี้ถ้าหน้ายูนีกโชคดีกว่าอีก เพราะมันหายาก ใครจะเหมือนเรา โคตรยากเลย แต่ความสวยใคร ๆ ก็สวยขึ้นได้หมด 

จิงจิง ยู Thai Super Model ปี 2012 กับการกลับเกาหลีไปสานฝัน ในวันที่กลายเป็นนางแบบหน้าใหม่และมั่นใจกับความยูนีก
จิงจิง ยู Thai Super Model ปี 2012 กับการกลับเกาหลีไปสานฝัน ในวันที่กลายเป็นนางแบบหน้าใหม่และมั่นใจกับความยูนีก

หลายคนเลือกจะไม่เล่าเรื่องการถูกบูลลี่ อยากลืม ๆ ไป แต่จิงจิงเป็นคนในวงการ ทำไมถึงออกมาพูดเรื่องนี้

(จิ๊ปาก) หนูไม่ชอบให้ใครโดนบูลลี่ เข้าใจไหม เพราะหนูผ่านจุดนั้นมาแล้วถึงรู้ว่ามันยาก ไม่มีความสุขเลย เราเจ็บมาเยอะมาก ๆ แต่บางคนที่บูลลี่หนู ตอนโตเขาก็มาขอโทษหนูนะ เขาบอกว่าตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้คิดอะไร ทำตามเพื่อน เพราะมันจะมีคนหนึ่งแรง ๆ เป็นแกนนำบูลลี่ ก็เลยบูลลี่ตาม แค่นั้น 

หนูรู้สึกว่าตอนที่เขาบูลลี่คนอื่น บางคนเขาไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าทำไปเพื่ออะไร แต่สิ่งที่เขาทำมันกลายเป็นปมในจิตใจของคน ๆ หนึ่ง แล้วคุณแค่โตขึ้นมาขอโทษกับสิ่งที่คุณทำโดยที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม แล้วจะทำแต่แรกทำไม ถ้ามันสร้างบาดแผลให้คนอื่น

เขามาขอโทษ แล้วคุณให้อภัยไหม

ล่าสุดหนูเพิ่งเจอเขา หนูก็เห็นแล้ว จำหน้าได้ เพราะเขาแกล้งเราแรงมาก (หัวเราะ) หนูเลยเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดถึงเรื่องนั้น พอเขากรึ่ม ๆ ระดับหนึ่งก็เข้ามาขอโทษเราอีก เราเลยตอบเขาว่าไม่เป็นไรพี่ มันผ่านมานานแล้ว 

นึกว่าจะจบ เขากลับมาบอกเราว่า แกไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ ดูสัมภาษณ์แก แกดูเสียใจมาก เราก็ อ้าว ตามติดชีวิตขนาดนั้นเลยเหรอ (หัวเราะ)

ถ้าวันนั้นแม่ไม่ได้จูงมือไปประกวดนางแบบ คิดว่าชีวิตตอนนี้จะเป็นยังไง

หนูก็คงหาทางเข้าวงการอยู่ดี มันคงมีสักทางแหละ 

ล่าสุด เห็นว่าเข้าค่าย QOW Entertainment ของ เจเจ-ต้าเหนิง ทำไมต้องเป็นค่ายนี้

หนูรู้จักกับ เหนิง มาตั้งแต่เด็ก หนูประกวดปี 2012 เหนิงกับ โบว์ เมลดา ปี 2013 แล้วก็ได้จับกลุ่มเป็นเพื่อนกัน ตอนที่เรามีปัญหาก็ทักไปปรึกษาเหนิงตลอด ช่วยแนะนำหน่อย เหนิงก็บอกว่า มึงก็มาอยู่กับกูสิ หนูก็เออ งั้นกูไปอยู่กับมึง จบ

หนูมีผู้จัดการคนเดียวมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพี่เขาเสียชีวิต ทุกคนร้องไห้ หนูงงไปเป็นเดือน เพราะเขาเป็นเหมือนแม่คนที่สอง เขาผ่านทุกช่วงทุกยุคของหนูมา เลยเป็นจุดที่หนูต้องหาใครสักคนที่เป็นผู้จัดการเหมือนคนเก่าที่รักเราเหมือนลูก มองทุกอย่างตรงกัน หนูก็เลยเลือกทางที่น่าจะโอเคมากที่สุด แล้วค่ายของเหนิงก็ตอบโจทย์มาก

จิงจิง ยู Thai Super Model ปี 2012 กับการกลับเกาหลีไปสานฝัน ในวันที่กลายเป็นนางแบบหน้าใหม่และมั่นใจกับความยูนีก
จิงจิง ยู Thai Super Model ปี 2012 กับการกลับเกาหลีไปสานฝัน ในวันที่กลายเป็นนางแบบหน้าใหม่และมั่นใจกับความยูนีก

งานแสดงก็เล่น เต้นก็ได้ เป็นนักร้อง เดินแบบด้วย จิงจิงชอบอะไรที่สุด

(หัวเราะ) ชอบหมดเลยทุกอย่าง แต่ชอบสุดน่าจะเป็นร้องกับเต้น หนูมีความสุขมากเลย พอมีโอกาสได้ทำเกิร์ลกรุป มันสนุกมาก ๆ หนูยังอยากทำเรื่อย ๆ ต่อไป 

ตอนที่เป็นนักแสดงก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงอีก เพราะทุกคนจะจำหน้าว่าเราเป็นโมเดล ทุกคนคิดว่าหนูคงสลัดคราบนางแบบไปทำอย่างอื่นไม่ได้

การวิ่งเข้าหาอะไรใหม่ ๆ คือการพิสูจน์ไหมว่า ฉันก็ทำอย่างอื่นได้

ใช่ หนูอยากจะทำให้ดู

มีอะไรอีกที่จิงจิงอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ

ต้องรอโตก่อน แต่หนูวางแผนไว้แล้วค่ะ (หัวเราะ) 

ถ้าชีวิตมีคะแนนเต็ม 10 ให้ตัวเองตอนนี้เท่าไหร่

ให้ 8 เพราะหนูก็ผ่านอะไรมาเยอะอยู่นะ เริ่มมองออกแล้วว่าอะไรโอเค ไม่โอเค อีก 2 คะแนนคือขอให้หนูได้เติมเต็มในสิ่งที่อยากทำก่อน ถ้าไปถึงจุดนั้นได้ก็จะให้ 10 เต็มค่ะ

การกลับไปสานฝันที่เกาหลีและชีวิตที่เอาชนะคำดูถูกของ Jingjing Yu ผู้อยากเป็นนางแบบระดับโลก

ขอบคุณสถานที่ ร้าน Emmie’s
49 ซอยพระราม 9 แยก 8 ถนนพระราม 9 ตัดใหม่ แขวงหัวหมาก เขตสวนหลวง กรุงเทพ 10240 (แผนที่)

Writer

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

ชลลดา โภคะอุดมทรัพย์

นักอยากเขียน บ้านอยู่ชานเมือง ไม่ชอบชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ มีคติประจำใจว่าอย่าเชื่ออะไรจนกว่าหมอบีจะทัก รักการดูหนังและเล่นกับแมว

Photographers

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล

ภรัณยู วรรณศรีพิศุทธิ์

ภรัณยู วรรณศรีพิศุทธิ์

นักศึกษาเอกญี่ปุ่นจากมหาสารคาม สนใจภาพถ่าย ชีวิตขับเคลื่อนด้วยเสียงเพลง อยากมีเงินไปมิวสิกเฟสติวัลเยอะๆ