เวลาที่อุ้มบอกกับใครว่าบ้านเราไม่มีโทรทัศน์ คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดก็คือ

“แล้ววันๆ ทำอะไรกัน”

ได้ยินแล้วบางทีอุ้มก็แอบขำในใจ เพราะเรามีอะไรทำยุ่งวุ่นวายทั้งวัน นอกเหนือจากทำงานแล้วก็ยังทำอาหาร ปลูกผัก ตัดหญ้า รดน้ำต้นไม้ เย็บผ้า ออกกำลังกาย ซ่อมแซมทำความสะอาดบ้าน นั่งลงกินอาหารที่โต๊ะด้วยกัน อ่านหนังสือ ฯลฯ

และมีกิจกรรมหนึ่งที่บ้านอุ้มใช้เวลาด้วยกันอย่างมาก จนอยากจะเอามาพูดถึงในวันนี้ คือเล่นเกมกระดาน เกมไพ่ และต่อจิ๊กซอว์ ซึ่งเดี๋ยวนี้พัฒนาไปกว่าเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมามากกกก…

อุ้มจำได้ว่าตัวเองตอนเด็กๆ ก็เล่นเกมเศรษฐี เกมงูกินหาง เกมนักสืบ เกมจับคู่ และต่อจิ๊กซอว์กับที่บ้านตลอดเวลา คริสโตเฟอร์เองก็โตมาแบบนั้น พอเราสองคนมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็เลยสานต่อประเพณีมายังลูกสองคนด้วย 

ในฐานะที่ คุณ-ภาพ-ชี-วิต ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม ตรงกับวันแม่ อุ้มเลยอยากนำเสนอบทสนทนาของอุ้มกับแม่ (และผู้หญิง) คนหนึ่งที่ชื่อ มียา แกลิสัน (Mia Galison) ซึ่งสร้างบริษัทผลิตเกมสำหรับครอบครัวชื่อ eeBoo (อ่านว่า อีบู) ขึ้นมาเมื่อ 25 ปีที่แล้วที่เมืองนิวยอร์ก ตั้งแต่ลูก 3 คนของเธอยังอายุไม่ถึง 3 ขวบดี และเป็นบริษัทเกมที่บ้านอุ้มชอบมากที่สุดเลยค่ะ อ่านแล้วรับรองว่าจะทึ่งและได้แรงบันดาลใจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งผู้หญิงทำงานทุกคนค่ะ

เล่าถึงตอนที่คุณเริ่มต้นอีบูให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ

ฉันเคยทำงานอยู่ในแผนกของขวัญของสำนักพิมพ์มาก่อนค่ะ พวกของที่ขายตามร้านในพิพิธภัณฑ์และร้านหนังสือ อย่างสมุดบันทึก ปฏิทิน หรือเครื่องเขียนสวยๆ สำหรับผู้หญิง แล้วตอนนั้นฉันก็ท้องลูกคนแรก ซึ่งก็ยังโอเคอยู่ แต่หลังจากมีลูกคนแรกไม่นาน ฉันก็ท้องลูกแฝด 

คราวนี้การไปทำงานให้คนอื่นท่าจะไม่ได้การเสียแล้ว ฉันจะลุกขึ้นไปทำงานทุกวันได้ยังไง มีลูกสามคน อายุยังไม่ถึงสามขวบ บ้ามากน่ะค่ะ เวลาคนเห็นเราก็จะแบบ… เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ (หัวเราะ) 

เราสองคนเคยออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเหมือนคนทั่วไป แต่อยู่ดีๆ ก็มีเด็กเล็กสามคนมาอยู่ในบ้าน ฉันได้แต่คิดว่าจะทำยังไงกันดีเนี่ย เรายังต้องทำงานหาเงิน สามีฉัน (Saxton Freymann) เป็นจิตรกร แล้วก็รับงานเล็กๆ น้อย มีแสดงงานตามแกลเลอรี่บ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีรายได้มากมายอะไร

ฉันเลยคิดว่าตัวเองเคยทำงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ รู้จักโรงพิมพ์ รู้จักคนวาดภาพประกอบหนังสือเด็กเยอะ สามีฉันเองก็วาดรูปเก่งมาก แล้วมองไปรอบตัวตอนนั้น ไม่มีอะไรดีๆ สวยๆ สำหรับเด็กเลย 

เป็นยุคหลังจาก Sesame Street มีบริษัทชื่อ Baby Einstein ซึ่งโตอย่างรวดเร็วมาก แต่ตอนหลังถูกฟ้องร้องจนย่อยยับ เพราะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อแบบผิดๆ มีอย่างหรือบอกว่า ‘ให้ลูกนั่งดูวิดีโอของเราแล้วลูกคุณจะฉลาด’ ใครที่ไม่ได้สติฟั่นเฟือนย่อมรู้ว่าการจับลูกนั่งหน้าทีวีไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเด็ก บางทีถ้าจำเป็นจริงๆ เราอาจจะต้องเปิดอะไรให้ลูกดู เช่น ต้องทำอาหารเย็น หรือต้องประชุมทางโทรศัพท์ คุณใช้มันเป็นแค่เครื่องมือ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำตลอดเวลา

ฉันไม่ชอบสิ่งที่เขานำเสนอเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้ว่ามันแย่มาก ฉันอยากจะรื้อฟื้นของเล่นเก่าๆ ของเล่นง่ายๆ ที่ทำจากกระดาษแข็ง และผลิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ ไม่มีชิ้นส่วนพลาสติกหรือหีบห่อที่ไม่จำเป็น ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ผลิตภัณฑ์แรกๆ ของเราคือ กล่องที่เรียงซ้อนกัน (Stacking Blocks) ซึ่งเป็นของเล่นเยอรมนี และเกมจับคู่ ที่ฉันพลิกแพลงโดยทำให้เป็นรูปหน้าเด็ก แทนที่จะเป็นสิ่งของ

ถามว่าทำไมฉันถึงเริ่มทำบริษัท ก็เพราะว่าฉันจำเป็นต้องมีอะไรเป็นของตัวเอง และฉันรู้สึกว่ามีความรู้มากพอจะทำธุรกิจนี้ มีความมั่นใจเพราะเคยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และตอนนั้นไม่มีของเล่นอะไรดีๆ สำหรับเด็ก ฉันเชื่อว่าเราจะทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าใครๆ ในตอนนั้น ถ้าคุณเห็นว่ามีความต้องการ และรู้ว่าจะทำอะไรให้แตกต่างได้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะเริ่มต้นธุรกิจ

คุณทำได้อย่างไรคะ มีลูกเล็กตั้งสามคน และไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

เหมือนฝันร้ายน่ะค่ะ ทุกวันเหมือนกับฝันร้ายสุดแสนหฤโหด สิบปีแรกนี่ฉันมีแต่ความกลัวสุดขีด ตอนกลางคืนจะตื่นมาแบบหัวใจเต้นแรง กังวลไปหมดว่าจะทำอะไรพลาด แล้วบริษัทจะเจ๊ง มันน่ากลัวมาก หนุงๆ หนิงๆ นี่ทำไม่ได้หรอกค่ะ (หัวเราะ) 

นั่นเป็นสาเหตุให้ผู้หญิงจำนวนมากไม่เริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เพราะว่ามันน่ากลัวมาก (เน้นเสียง) แล้วผู้หญิงมีแนวโน้มหรือถูกสอนให้เป็นคนหลีกเลี่ยงเรื่องอันตราย ในขณะที่เด็กผู้ชายจะถูกสอนให้กล้าเสี่ยง การทำธุรกิจมีความเสี่ยงตลอดเวลา เหมือนเป็นการพนัน คุณต้องมีความมั่นใจมากๆ

ตอนนั้นฉันไม่ค่อยได้นอน ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วเท้าแตะพื้น ฉันจะรู้สึกเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในชีวิต ปวดกระดูกไปหมดทั้งตัว เครียดเรื่องเงินตลอดเวลา ในขณะเดียวกันฉันก็พยายามจะเป็นแม่ที่ดี เป็นเมียที่ดี ให้พวกเขากินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ดูทีวีมากเกินไป เรียกว่ายากมากๆๆๆๆ

การเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองเป็นเรื่องยาก นอกเสียจากว่าคุณจะเป็นอภิมหาเศรษฐี แล้วทำเป็นงานอดิเรก เริ่มต้นธุรกิจโดยที่ครอบครัวฝากชีวิตไว้กับคุณยิ่งยากเข้าไปใหญ่

ตอนนี้ฉันมาเล่าเรื่องนี้ได้ เพราะมันผ่านมายี่สิบห้าปี และตอนนี้เราสบายแล้ว จริงๆ ฉันก็ไม่เคยตกที่นั่งลำบากขนาดต้องปลดพนักงาน หรือต้องเอาสมบัติเก่าของคุณทวดมาขายอะไรแบบนั้นนะคะ แต่มีบางปีที่เราต้องรัดกุม และบางปีที่เราจ้างคนเพิ่มและมีผลิตภัณฑ์ออกมามากขึ้น แต่เวลาใช้เงินเราต้องรอบคอบมาก การเป็นแม่ที่ทำธุรกิจด้วยทำให้ฉันต้องคิดมากกว่าปกติห้าตลบ

Mia Galison คุณแม่ลูก 3 ผู้สร้างบริษัทเกมครอบครัว eeBoo เพื่อผลิตเกมที่สวยและดีให้ลูก, บอร์ดเกม สำหรับเด็ก

คิดแล้วตลกดีนะคะ ช่วงเริ่มต้น คุณเครียดมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคิดของเล่นสำหรับเด็กให้สนุกและดูร่าเริงเบิกบาน

ฉันมีสามีที่วิเศษและมีความสามารถมากๆ ค่ะ เขาทำได้ทุกอย่าง เราคิดเกมด้วยกัน ตอนเราทำบริษัทมาได้สามปี เขาได้ทำหนังสือชื่อ Play With Your Food และ How Are You Peeling? ทำให้เรามีรายได้เข้ามา ซึ่งดีมากเลย จากงานนั้นทำให้เราได้รู้จักคนวาดภาพประกอบเพิ่มขึ้นอีกเยอะด้วย

เขาเป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุดในโลก ลูกๆ ก็เป็นเด็กดีน่ารักด้วย เรามีเพื่อนและคนทำงานที่ดี มีชุมชนเล็กๆ ที่น่ารัก มีแค่เรื่องธุรกิจเท่านั้นเองที่ฉันแบกเอาไว้บนบ่า และบางครั้งมันก็สาหัสมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน มันยังมีช่วงเวลาที่ชื่นใจด้วย อีกเรื่องที่ดีคือไม่ต้องไปทำงานให้คนอื่น แต่ทำอะไรของเราเอง ฉันว่านั่นทำให้ฉันหายสติแตกไปได้บ้าง ถึงแม้จะไม่ได้รับเงินเดือนเหมือนพนักงานออฟฟิศ แต่ก็ไม่โดนด่าเวลาบอกว่าลูกเป็นอีสุกอีใส อะไรอย่างนี้

Mia Galison คุณแม่ลูก 3 ผู้สร้างบริษัทเกมครอบครัว eeBoo เพื่อผลิตเกมที่สวยและดีให้ลูก, บอร์ดเกม สำหรับเด็ก

ฉันว่าคนที่เป็นแม่ (ตัวอุ้มเองด้วย) ฟังแล้วต้องรู้สึกได้แรงบันดาลใจมากเลยค่ะ เพราะแค่เลี้ยงลูกก็หมดแรงแล้ว แต่คุณเริ่มต้นธุรกิจในขณะที่ลูกยังเล็ก แล้วฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ ในขณะที่ลูกก็โตมาได้ดีหมดทุกคน

มีคำพูดว่า ‘ยิ่งทำ ก็ยิ่งทำได้’ (The more you do, the more you can do.) ซึ่งฉันว่าจริงมากเลย พลังงานเราจะเพิ่มขึ้นแบบหลายเท่าตัวถ้าเรามีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก กับผู้คน และกับปัญหาต่างๆ กลางคืนเราจะรู้สึกดีขึ้น ตื่นเช้ามาก็รู้สึกดีขึ้น แต่สิ่งง่ายๆ แค่นี้ กลับทำยากมาก เหมือนเวลาต้องงัดตัวเองไปออกกำลังกาย แต่พอเล่นเสร็จแล้วรู้สึกดีจนต้องถามตัวเองว่า เราเป็นเชี่ยอะไรวะเนี่ย (หัวเราะ)

เรื่องนี้จริงในทางตรงกันข้ามด้วยนะคะ ถ้าเราเริ่มต้นโดยไม่ค่อยทำอะไร ก็ยากขึ้นอีกเยอะที่จะทำอย่างอื่น แต่ก็เป็นเรื่องบุคลิกของแต่ละคนด้วย บางคนชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน ในขณะที่บางคน อย่างเช่นสามีฉัน เขาชอบมีงานชิ้นหนึ่งที่นั่งทำไปเป็นปี ไม่ใช่ทำห้าสิบล้านอย่างพร้อมกัน

ตอนที่เพิ่งเริ่มบริษัท คุณทำให้คนรู้จักสินค้าได้ยังไง และทำยังไงให้บริษัทขยายใหญ่ขึ้นคะ

สินค้าแรกที่เราทำจำนวนเยอะๆ คือที่ตัดคุกกี้ที่เป็นรูปแมลง ใส่ขวดเหมือนกับขวดจับหิ่งห้อยตามชนบท แต่ฉันไม่มีของอย่างอื่นก็เลยขายยาก เพราะเวลาเอาไปเสนอตามร้าน เขาไม่ได้อยากเห็นของแค่อย่างเดียว ฉันเลยเริ่มทำหมวก หน้าตาเหมือนทำจากถุงกระดาษสีน้ำตาล แต่จริงๆ แล้วทำด้วยโพลาร์เทก (Polartec) ซึ่งเป็นใยสังเคราะห์สักหลาดที่ฉันไปเจอโรงงานอยู่แถวแมสซาชูเซตส์

เราจะขับรถมินิแวนขึ้นไปขนมาเต็มรถ แล้วขับไปเวอร์มอนท์ เพื่อไปให้กลุ่มแม่บ้านสูงวัยเย็บเป็นหมวกให้ฉัน มันได้เอาไปวางขายที่ Whitney Museum แล้วก็ร้านดีๆ หลายแห่งเลย

สรุปว่าตอนนั้นฉันมีที่ตัดคุกกี้กับหมวกสี่แบบ (หัวเราะ) อ้อ… แล้วฉันก็สั่งทำกระดุมมุกจากเมืองจีน สมัยนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ต เวลาจะสั่งทำลายบนกระดุม ฉันต้องแฟกซ์รูปไปให้เขา แล้วก็มักจะมีคนโทรมาหาฉันตอนตีสาม เพราะไม่รู้เลยว่าฉันอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ในนิวยอร์ก มีโทรศัพท์กับแฟกซ์วางอยู่ข้างเตียง

จะเรียกว่าของที่ฉันทำ มาก่อนของที่ขายใน Etsy ที่เห็นกันตอนนี้ก็ได้ แต่ตอนนั้นมันยังไม่ได้เป็นเรื่องเก๋ไก๋ ฉันมีแค่ตลาดเล็กๆ แล้วก็ทำไปด้วยแรงใจล้วนๆ

ต่อมาฉันเอาของไปออกบูธที่ New York Gift Show มีคนให้โต๊ะเล็กๆ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก มีคนจากพิพิธภัณฑ์มาดูกันใหญ่ แล้วนิตยสารก็เขียนถึง เพราะฉันไม่เหมือนใคร ผู้หญิงคนหนึ่งกับลูกเล็กสามคน ที่ทำหมวกถุงกระดาษกับกระดุมมุกลายหน้าพระจันทร์ (หัวเราะ) ฉันแค่ทำสิ่งที่อยากทำและทำได้ มันมีเรื่องราวที่แปลกกว่าคนอื่น นิตยสารเลยเขียนถึงเยอะเพราะอยากสนับสนุนเรา

ลูกๆ นั่งรถไปหาของ ไปโรงงานด้วยหรือคะ

เราพาลูกไปด้วยตลอดค่ะ ตลอดๆๆๆ ถ้าเป็นงานแสดงสินค้าลูกจะอยู่บ้านกับสามีฉัน เขาจะทำไข่เจียวอะโวคาโดหรืออะไรเขละๆ แล้วลูกก็โทรศัพท์มาโอดครวญว่า ‘ป่าป๊าจะให้เรากินอันนี้ หนู-ไม่-อยาก-กินนนน’ หรือให้ลูกดูรายการโทรทัศน์จากยุค 70 ที่เขาคิดว่าแสนจะตลกแต่ลูกกลัวจนขี้ขึ้นสมอง (หัวเราะ) พอถึงเวลาก็จับขึ้นรถมารับฉัน ถึงตอนนั้นทั้งสามคนก็ร้องไห้กระจองอแง มีหมามาด้วยอีกตัวหนึ่ง เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปีๆ

คุณทำอาหารให้ทุกคนด้วยหรือคะ

ใช่แล้วค่ะ สมัยลูกๆ ยังเล็ก ระหว่างวัน ฉันจะนั่งทำงานในห้องนอนห้องหนึ่ง อพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์กมันก็แคบๆ ลูกชายคนโตต้องนอนให้ห้องน้ำ เอาไม้กระดานมาพาดไปบนอ่างอาบน้ำ ตอนนี้เขาสูงร้อยเก้าสิบแล้ว ยังนอนในห้องนั้นอยู่เลย พอมีลูกแฝด ฉันต้องยกห้องทำงานให้ แล้วไปเช่าห้องใต้ดินในตึกเดียวกัน ใช้เป็นออฟฟิศ ห้องสวยนะคะ แต่โสโครกมาก มีทั้งน้ำเอ่อที่พื้น หนู แมลงวิ่งเต็มไปหมด แต่ถูกมาก แค่เดือนละสามร้อยกว่าเหรียญ

เราพ่วงโทรศัพท์จากห้องนอนลงไปที่ห้องใต้ดิน เวลาลูกๆ จะเรียกฉัน ก็ใช้วิธีกระทืบเท้ากับพื้น แล้วถ้าเรายกหูโทรศัพท์พร้อมกัน ก็จะคุยกันได้ (หัวเราะ) ตอนเจ้าแฝดขึ้นเกรดสี่ ฉันก็ซื้ออพาร์ตเมนต์นั้นแล้วซ่อมแซมใหม่ แล้วเชื่อมกับอพาร์ตเมนต์เดิมที่เราอยู่ ฉันทำงานในห้องนั้นจนเมื่อสิบสามปีที่แล้ว เราถึงได้ย้ายไปที่ตึกใหม่ใกล้ๆ บ้าน

ตอนลูกเล็กๆ บางทีก็มีพี่เลี้ยงมาช่วยดู แต่คนเดียวดูเด็กสามคนไม่ใช่เรื่องง่าย บอกได้เลย (หัวเราะ)

ตอนนี้อีบูมีพนักงานกี่คนแล้วคะ

ถ้ารวมฉันกับสามีด้วยก็สิบสี่คนค่ะ ช่วงโควิดนี่ต้องจ้างคนเพิ่มอีกสี่คนไว้คอยรับโทรศัพท์ เพราะจากที่เคยขายแต่เป็นจำนวนเยอะๆ อยู่ดีๆ เราก็มีลูกค้าแบบซื้อของชิ้นสองชิ้นทางเว็บไซต์ ธุรกิจตอนนี้เปลี่ยนไปมาก

คุณคิดเกมกันยังไงคะ

ปกติแล้วฉันจะมีไอเดียขึ้นมา อย่างเช่น เราต้องทำเกมให้เด็กเรียนรู้เรื่องสี ตัวเลข และรูปทรง แล้วฉันว่าโคอาล่าน่าจะมา ไม่ค่อยมีเกมเกี่ยวกับโคอาล่าเลย แต่มันน่ารักจะตาย เรามาทำเกมโคอาล่ากัน แซกซ์… เธอลองคิดเกมที่เป็นโคอาล่า แล้วเด็กได้เรียนรู้สามอย่างที่บอกได้ไหม

เขาก็จะไปวาดต้นไม้ ตัดกระดาษเป็นร่างแรกของเกมออกมา แล้วฉันก็ให้เขาไปลองเล่นกับวิลล์ ซึ่งคอยดูแลคลังสินค้า แต่ว่าเป็นคนบ้าเกมมาก คนที่มาทำงานกับฉันทุกคนมาจากบริษัทเกม ฝ่ายขายทุกคนมาจากร้านขายของเล่นหรือธุรกิจของเล่น คือทุกคนชอบเกม เวลาจะออกเกมใหม่เราจึงช่วยกันทั้งออฟฟิศ

ทีนี้แซกซ์ก็ไปเล่นกับวิลล์ก่อน วิลล์ก็จะดูว่าเล่นยังไง นานไปไหม ลองเล่นดูหลายๆ แบบ พอทุกอย่างค่อนข้างจะลงตัวแล้ว ฉันก็จะลองเล่น เพราะฉันเรื่องมากสุด (หัวเราะ) ฉันจะแบบ … (เสียงงอแง) ‘ไม่สนุกเลยยยย ไม่ชอบตรงนี้’ แล้วแซกซ์ก็จะต้องไปแก้มา นี่เป็นเหตุว่าทำไมฉันถึงต้องเล่นตอนสุดท้ายมากๆ

Mia Galison คุณแม่ลูก 3 ผู้สร้างบริษัทเกมครอบครัว eeBoo เพื่อผลิตเกมที่สวยและดีให้ลูก, บอร์ดเกม

การคิดเกมให้เด็กเล่นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ซึ่งยังทำอะไรได้แค่ไม่กี่อย่าง นับเลข ของแต่ละอย่างเป็นสีอะไร ยังเพิ่งหัดผลัดกันเล่นอยู่เลย (หัวเราะ) หรือยิ่งจะคิดเกมให้เด็กสี่กับเจ็ดขวบเล่นด้วยกันแล้วสนุกก็ยิ่งยาก เพราะทักษะต่างกัน

แต่คุณก็ทำได้สำเร็จนะคะ มีหลายเกมของอีบูที่ลูกฉันสองคนเล่นด้วยกันได้สนุกมาก อย่าง Spottington, Sloth in a Hurry ก็ดีนะคะ หรือเกมเล่าเรื่องอย่าง Fairytale Spinner Game เกมพวกนี้เล่นง่ายๆ แต่ฉันชอบที่เด็กได้คิดเรื่องใหม่ทุกครั้งที่เล่น แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ต้องหาวิธีใส่รายละเอียดต่างๆ เข้าไปในเรื่อง นี่เป็นทักษะที่สำคัญมาก

การเอาความคิดและเรื่องราวมาประกอบกัน แล้วสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ หาวิธีเล่าเรื่องด้วยกัน ให้พี่ที่โตกว่าช่วย เล่นเกมเดียวได้ฝึกหลายอย่างมาก

Mia Galison คุณแม่ลูก 3 ผู้สร้างบริษัทเกมครอบครัว eeBoo เพื่อผลิตเกมที่สวยและดีให้ลูก, บอร์ดเกม สำหรับเด็ก
Mia Galison คุณแม่ลูก 3 ผู้สร้างบริษัทเกมครอบครัว eeBoo เพื่อผลิตเกมที่สวยและดีให้ลูก, บอร์ดเกม
Mia Galison คุณแม่ลูก 3 ผู้สร้างบริษัทเกมครอบครัว eeBoo เพื่อผลิตเกมที่สวยและดีให้ลูก, บอร์ดเกม

ฉันว่าการทำเกมดีๆ เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะคะ เพราะว่ามันจะสร้างบุคลิกภาพ ความนึกคิด และวิธีที่เด็กปฏิสัมพันธ์กับโลกและคนรอบตัว

มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำ บางครั้งเวลาเราคิดว่าจำเป็น หรือมีเรื่องภาษายากๆ เราก็จะไปเชิญครูเก่าของลูกมาที่บริษัท ซึ่งทำมาหลายครั้งมาก เราจะให้เขาดูคำแนะนำการเล่นว่าเข้าใจง่าย เหมาะสมไหม สื่อสารได้ถูกจุดหรือเปล่า บางทีก็ต้องให้นักจิตวิทยามาช่วยดูด้วย 

อย่างเกมไพ่สร้างบทสนทนา ซึ่งฉันรู้ว่าอาจจะไปจี้ใจเด็กบางจุด ฉันจึงไม่อยากสร้างข้อผิดพลาดโดยที่เราอาจจะไม่รู้ ถ้าเรื่องไหนที่เราคิดว่าต้องระวัง เราก็จะระวังมาก

อีกเรื่องหนึ่งของอีบูก็คือ ฉันอยากให้เด็กๆ ได้มีโอกาสสัมผัสสิ่งที่น่าสนใจอย่างเท่าเทียมกัน เราทำแบบนั้นได้ผ่านเกม ในชีวิตจริง ถ้าเราปล่อยให้เด็กคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ด้านดนตรี จะไปเคี่ยวเข็ญให้ไปเรียนดนตรีก็คงไม่ได้ 

แต่การเล่นเกม ทำให้เด็กที่ไม่ได้สนใจวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ หรือทำให้เด็กที่คิดว่าตัวเองไม่เก่งเลขได้ทำเลข ฉันว่าเป็นเรื่องดีถ้าเราจะให้เด็กได้ลองทำสิ่งที่ตัวเองไม่มั่นใจ เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องบ่อยมาก ถ้าคนไหนเก่งอะไรอย่างหนึ่ง พี่น้องอีกคนมักจะไม่อยากทำสิ่งนั้น

เพราะฉะนั้น การเล่นเกม ‘ดีๆ’ ด้วยกันก็จะทำให้พี่น้องได้เรียนรู้ที่จะร่วมมือกัน

ใช่ค่ะ ฉันเห็นหลายครอบครัวมากที่มีลูกสองคน แล้วพอวันหยุด แม่ก็พาลูกคนหนึ่งไปบัลเลต์ ส่วนพ่อพาอีกคนไปซ้อมฟุตบอล แต่ว่าไม่ได้ใช้เวลาทำอะไรร่วมกัน ลูกๆ ก็ไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้กิจกรรมอีกอย่างเพราะมัวแต่ทำกิจกรรมของตัวเอง

อาจจะเพราะพอมีลูกสามคน อายุเท่าๆ กัน บ้านฉันเลยทำอะไรก็หอบกันไปหมด ไม่ต้องรับส่งหลายๆ ที่ แล้วทั้งพ่อและแม่ก็มีส่วนร่วมในกิจกรรมแต่ละอย่างเท่าๆ กัน

คุณโตมากับการเล่นเกมหรือเปล่าคะ

ไม่เลยค่ะ ฉันเป็นน้องเล็ก และเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว แล้วก็โตมากับปู่ย่า เพราะว่าแม่ต้องทำงาน

แต่ฉันชอบเอาโน่นเอานี่มาประดิษฐ์เป็นของ ปู่ฉันมีร้านขายกระดุม ฉันเลยคิดเกมเล่นจากกระดุมแบบนับไม่ถ้วนเลย แล้วก็ชอบเล่นซ่อนแอบ

ฉันว่าเดี๋ยวนี้เด็กอาจจะมีของเล่นและเกมเยอะเกินไปก็ได้นะคะ เลยทำให้จดจ่อกับอะไรได้สั้นลง เพราะมีอะไรให้เลือกทำเยอะไปหมด

บ้านฉันมีลูกสามคน มีคนให้ของขวัญเยอะแยะไปหมด ฉันจะให้ลูกแกะ เขียนการ์ดขอบคุณ แล้วยกของให้คนอื่น (หัวเราะ) ฉันพยายามจะให้มีของในบ้านเท่าที่จำเป็น สิ่งที่ฉันสังเกตจากลูกๆ ก็คือ ยิ่งให้อะไรน้อยเท่าไหร่ พวกเขาจะยิ่งหาอะไรทำเอง และมีความสุขมากขึ้น ทุกสุดสัปดาห์เราจะออกไปบ้านที่นอกเมือง ไม่มีโทรทัศน์หรือวิดีโออะไรทั้งนั้น มีแต่แปรงล้างขวด กิ่งไม้ แล้วก็อะไรต่างๆ ลูกๆ ปรับตัวได้ดีมาก พวกเขาจะออกไปเล่นฟันดาบข้างนอก จนกระทั่งเรามาเอาดาบไปเก็บ (หัวเราะ)

นั่นเป็นตัวอย่างที่เราตั้งไว้สำหรับสุดสัปดาห์ ว่ามีอะไรก็ต้องเล่นไปตามนั้น ลูกฉันอ่านหนังสือเยอะด้วยค่ะ ฉันเองก็ตั้งใจใช้วันหยุดอยู่กับลูก เพราะระหว่างอาทิตย์ ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาด แค่จะฝืนให้ตาไม่ปิดและไม่กรี๊ดใส่คนก็ยากพออยู่แล้ว วันหยุดถึงแม้ฉันจะไม่ได้เล่นกับลูก แต่พวกเขาก็เล่นกันเองอยู่ใกล้ๆ โดยมีฉันนั่งเป็นซอมบี้อยู่ด้วย (หัวเราะ)

ฉันว่ามันเห็นผลนะ เพราะลูกฉันทุกคนพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี พวกเขาจะหาหนังสือมาอ่าน หรือไม่ก็หาอะไรทำ ไม่เคยพูดว่า ทำไมบ้านนี้ไม่มีทีวี ทั้งหมดเป็นเพราะเราวางรากฐานไว้ตั้งแต่พวกเขายังเด็ก แล้วทำอย่างต่อเนื่อง

ก็แปลกดีนะคะ เพราะว่าคุณมีบริษัทผลิตของเล่น แล้วเป้าหมายของธุรกิจไหนๆ ก็ตามคือขายของให้ได้มาก แต่ตัวคุณเองเชื่อว่าไม่ควรมีของให้ลูกเยอะ

ฉันเชื่อในการไม่มีของเล่นมากเกินไป บ้านเราจะไปตลาดของเก่าแล้วซื้อของเล่นโบราณสวยๆ ที่ทำจากไม้ หรือซื้อเกมคลาสสิกต่างๆ ลูกฉันไม่เคยไป Toys”R”Us หรือร้านใหญ่ๆ แล้วมีคนบอกว่าทุกคนซื้อของเล่นพลาสติกชิ้นมหึมาได้คนละชิ้น เอาใส่เต็มท้ายรถ แล้วอีกอาทิตย์หนึ่งก็กลับไปใหม่แล้วทำแบบเดิมอีก

ลูกฉันมีเกมเก่าๆ ที่เน้นให้คิดและให้พูดคุย มีเครื่องดนตรี อุปกรณ์ศิลปะ จิ๊กซอว์ ชุดใส่เล่นละครเยอะมากๆ ที่เราไปซื้อมาจากตลาดนัดมือสอง อย่างหมวก รองเท้า เสื้อโค้ต ชุดฮัลโลวีนเก่าๆ จากยุค 50 – 60

ฉันเชื่อเต็มที่เรื่องการเล่น ฉันแค่ไม่เชื่อเรื่องการมีของเล่นพลาสติกเต็มบ้าน ที่เล่นไม่นานก็พัง

ตอนนี้ลูกคุณโตหมดแล้ว โตมาพร้อมกับบริษัทของคุณด้วย

พวกเขาโตมากับปรัชญาของบริษัทด้วยค่ะ ทุกคนเข้าใจและไม่ต่อต้าน ตอนนี้พวกเขาพูดว่าถ้ามีลูกของตัวเอง จะไม่อยากให้ใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา ไม่อยากให้นั่งดูทีวีตลอดเวลา ฉันว่าพวกเขาคิดย้อนกลับไปถึงตัวเองตอนเด็กๆ

ลูกฉันอาจจะไม่ได้คิดว่ามันเป็นสิ่งมีค่า แต่จริงๆ แล้วมันคือของขวัญที่ฉันมอบให้ ยิ่งเราสอนให้ลูกรู้จักพอใจกับสิ่งที่มี และสร้างเรื่องสนุกเล่นเอง พวกเขาจะยิ่งรู้จักมีความสุขมากเท่านั้น การสอนให้ลูกหัดคิดอย่างสร้างสรรค์ คิดหาอะไรที่น่าสนใจทำเอง เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้กับลูก

ลูกๆ คุณเรียนอะไรกันบ้างคะ

ลูกชายคนโตฉันเป็นเด็กเรียนมาก คุณอาจจะฟังสิ่งที่ฉันเล่ามาแล้วคิดว่าฉันเป็นพวกโฮมสคูล ซึ่งไม่ใช่เลย ลูกฉันเรียนโรงเรียนธรรมดาเหมือนเด็กทั่วไป เพียงแต่พวกเขาชอบเรียนและเรียนดี ลูกชายคนโตฉันจบฮาร์วาร์ด จบปริญญาโทสองใบ ตอนนี้กำลังทำปริญญาเอกอยู่ที่ออกซ์ฟอร์ด 

เขากำลังศึกษาเรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐานของโครงการใหญ่ๆ ที่รัฐบาลจีนเข้าไปลงทุน แต่ฉันว่าเขาอาจจะเปลี่ยนแนวไปเรื่อง Climate Change เขาชอบเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ แล้วก็ชอบพูดคุยถึงความเป็นไปของสิ่งต่างๆ วันหนึ่งคงอยากทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล

ส่วนลูกแฝดฉันลุยกว่าหน่อย ลูกสาวฉันจบวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจากบราวน์ จบปริญญาโทจากออกซ์ฟอร์ด แล้วเดือนตุลาฯ นี้จะไปทำปริญญาเอกที่ออกซ์ฟอร์ดด้าน Evolutionary Anthropology ซึ่งเป็นการศึกษาอวัจจนภาษาของสัตว์จำพวกวานร ลูกชายอีกคนของฉันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนในชุมชนที่ยากจนที่สุดของนิวยอร์ก เขาชอบเชกสเปียร์มาก แล้วก็สอนภาษาในระดับที่สูงมากให้กับเด็กๆ

ลูกทุกคนเล่นดนตรี ลูกสาวฉันทำงานศิลปะเยอะมาก สิ่งหนึ่งที่ฉันผลักดันมากคือให้ลูกๆ กล้าลองทำสิ่งต่างๆ ถ้าลูกคนใดคนหนึ่งอยากทำอะไร ฉันจะให้พี่น้องที่เหลือทำด้วย ลูกคนเล็กอยากไป Circus Camp ที่เหลือก็ต้องไป ลูกสาวชอบยูโด ทุกคนก็ต้องไปเรียนยูโด

มีกิจกรรมครอบครัวอะไรอีกบ้างที่คุณให้ความสำคัญคะ

เรานั่งกินข้าวที่โต๊ะด้วยกันเสมอ เพราะมันทำให้เราได้คุยเรื่องที่มีความสนใจร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีคนที่พูดน้อยกว่าคนอื่น เพราะถ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนสนใจ ก็ง่ายที่ทุกคนจะได้แสดงความคิดเห็น เป็นความทรงจำที่ดีด้วยนะคะเวลามองย้อนกลับมา พี่น้องก็จะผูกพันกันแน่นแฟ้น

ฉันเน้นมากเรื่องการให้ลูกๆ มีความผูกพันกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉันรู้ว่ามันสำคัญแค่ไหนกับชีวิตในภายภาคหน้าของพวกเขา และมันแย่แค่ไหนถ้าพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน

คุณเห็นสิ่งที่คุณปลูกฝังในตัวลูกๆ ทำให้พวกเขากลายมาเป็นผู้ใหญ่ในทุกวันนี้ไหมคะ

ฉันคิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ ฉันว่าบ้านเราโชคดีที่มีโอกาสได้ออกไปใช้ชีวิตนอกเมืองทุกสุดสัปดาห์ ซึ่งไม่รู้ว่าครอบครัวอื่นจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันหรือเปล่า แต่สิ่งที่ฉันพูดได้เต็มปากและเทหมดหน้าตักเลยก็คือ การพูดคุยกับลูก เริ่มตั้งแต่เขายังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ และใช้เวลากับลูกอย่างมีความหมาย เช่น ลงไปนั่งเล่นกับพื้น ชวนคุยและมองดูสิ่งต่างๆ อธิบายให้เขาฟัง จะหล่อหลอมให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่อย่างที่คุณหวังว่าเขาจะเป็น ฉันไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย

แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา เพราะต้องทำงานหนักมาก แค่หาเวลาคุยกับลูก ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะมานั่งคุยบนเตียงกับคุณ หรือคุณไปนั่งคุยบนเตียงพวกเขาก็ดีมากพอแล้ว

การสื่อสารกับลูกตั้งแต่ยังเล็ก และทำอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้พวกเขาโตขึ้นมาเป็นนักสื่อสารที่ดี ทำให้พวกเขามีความสุข และเป็นคนช่างสงสัย การพาลูกออกไปข้างนอกก็ทำให้พวกเขามีความสนใจในโลกรอบตัว มากกว่าให้นั่งจ้องจอทีวีจอไอแพดอยู่ในบ้านทั้งวัน

เด็กคนไหนไม่ได้เล่นสมมติ (Make-believe and pretend play) ต่อไปจะลำบาก มีพวกเก่งคอมพิวเตอร์หลายคนที่ไม่เก่งเรื่องการสื่อสารกับคนอื่น ก็จะก้าวหน้าไปได้ถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น เพราะพวกเขาไม่สามารถสื่อสารถึงสิ่งที่ทำได้ดีให้คนอื่นรู้

สิ่งที่คุณทำก็ช่วยให้เด็กและผู้ใหญ่ได้มาเล่นกัน เพราะทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่เล่นไม่เป็นหรือไม่รู้จะเล่นกับเด็กยังไง เกมของคุณจึงช่วยเชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน

เราพยายามหาคำมาอธิบายสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นนั่งลงเล่นกันบนพื้น หรืออะไรก็ตาม แต่สุดท้ายก็คือ ใช้ของเล่นที่เราทำ สร้างโอกาสที่ไม่ใช่เพียงแค่การเล่นง่ายๆ แต่ยังรวมไปถึงเรื่องยากๆ ที่จะได้พูดคุยกันด้วย

มีของเล่นอีบูขายในเมืองไทยไหมคะ

มีค่ะ เรามีตัวแทนอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งกระจายของเราไปตามร้านอีกที

เกือบลืมถามแน่ะค่ะ ชื่ออีบูนี่มาจากไหน แปลว่าอะไรหรือคะ

ตอนเราต้องไปจดทะเบียนชื่อบริษัท เรามีชื่อเตรียมไปเยอะมากเลยค่ะ แต่ปรากฏว่าชื่อไหนๆ ก็มีคนใช้ไปหมดแล้ว ตอนนั้นฉันไปรู้มาว่าในภาษาฝรั่งเศส คำว่านกฮูก คือ Hibou ซึ่งออกเสียงว่า อีบู แต่ฉันไม่อยากเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส เพราะกลัวคนอ่านว่า ไฮ! บู ก็เลยเขียนว่า eeBoo ออกมาแล้วก็ดูเหมือนมีตาสองข้าง น่ารักดี เสียงอีบูก็ฟังดูเหมือนเสียงร้องของสัตว์เล็กๆ หรือ peek-a-boo อะไรแบบนี้ ทุกวันนี้ฉันก็ยังชอบชื่อนี้อยู่นะคะ ฉันว่ามันเป็นชื่อที่น่ารัก

เข้าไปอ่านปรัชญาและเรื่องราวดีๆ ของ eeBoo ได้ที่นี่ค่ะ

view.publitas.com/eeboo/eebooalwaysgoodandwhy/page/1

www.eeboo.com

อินสตาแกรม @eebooalwaysgood และ @eeBooPieceandLove

Writer

สิริยากร พุกกะเวส มาร์ควอร์ท

สิริยากร พุกกะเวส มาร์ควอร์ท

อดีตนักแสดงและพิธีกร จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้ายมาเป็นพลเมืองพอร์ตแลนด์ ออริกอน ตั้งแต่ปี 2012 ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูกสองของน้องเมตตาและน้องอนีคา เธอยังสนุกกับงานเขียนและแปลหนังสือ รวมทั้งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในเมืองนอกกระแสที่ชื่อพอร์ตแลนด์