01 น้ำ-ป่า
“ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหาในอินเทอร์เน็ตก็ได้”
เมื่อชวนคุยเรื่องน้ำ ประโยคด้านบนนี้ก็ดังจากปากของ อ้วน-นิคม พุทธา นักอนุรักษ์รุ่นใหญ่ผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมอนุรักษ์ผืนป่าและสายน้ำมานานหลายสิบปี
และเพราะเชื่อไม่ต่างกัน ในบ่ายวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2560 ทริป ‘ตามน้ำ’ ที่พาคนเมืองมาเรียนรู้เรื่องน้ำถึงต้นน้ำที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ พร้อม 3 นักแสดงคือ กมลเนตร เรืองศรี, พิพัฒน์ และ ศิรพันธ์ อภิรักษ์ธนากร จึงถือกำเนิด ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม Earth Appreciation ของเว็บไซต์ The Cloud ที่ตั้งใจพาคนเมืองไปรู้จักธรรมชาติแบบ 101 โดยมีผู้สนับสนุนคือ โครงการ ‘รักน้ำ’ ของกลุ่มธุรกิจ โคคา-โคลา ในประเทศไทย
แทนที่จะนั่งฟังบรรยายและอ่านตำราว่าแม่น้ำยาวกี่กิโลเมตร หรือวิธีประหยัดน้ำมีกี่วิธี
เราได้มารู้จักน้ำผ่านประสบการณ์ตรงในพื้นที่ต้นน้ำของจริง ที่สำคัญ ทริปนี้ไม่ได้พาไปลงมือสร้างผลประกอบการจับต้องได้ ผู้จัดประเมินผลสะดวก เช่น ปลูกต้นไม้ได้ 1,000 ต้น หรือถือป้ายถ่ายรูปกับแม่น้ำ
แต่เป็นการเดินทางบนวิธีคิดใหม่ นั่นคือพาคนเมืองไปรับ ‘แรงบันดาลใจ’ ที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า
และแน่นอน ครูคนสำคัญของทริปคือพี่อ้วน นักอนุรักษ์รุ่นใหญ่รอเราอยู่ที่ค่ายเยาวชนอนุรักษ์ดอยหลวงเชียงดาวที่ก่อตั้งเพื่อเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมอนุรักษ์กับเด็กๆ แล้วฉันและชาวทริปก็ได้เดินทางพร้อมพี่อ้วน ตามสายน้ำนั้นไปยังด้านหลังสถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยเชียงดาวซึ่งอยู่ใกล้เคียง
สีเขียวรอบตัวที่เราเห็นคือ ‘ป่าต้นน้ำ’ ป่าผืนนี้ช่วยกักเก็บน้ำฝนที่ตกลงมาไว้ในต้นไม้ ไว้ในผืนดิน (ป่าต้นน้ำชั้นเยี่ยมเก็บได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์) และปล่อยน้ำบางส่วนให้ทยอยไหลลงมาทีละน้อย กลายเป็นสายน้ำเล็กๆ ใสสะอาด ก่อนกลายเป็นแม่น้ำกว้าง
การมีป่าต้นน้ำคุณภาพเหมือนมีฟองน้ำก้อนโต เวลาฝนตกก็ไร้ปัญหาน้ำหลาก ดินถล่ม พอเข้าหน้าแล้ง น้ำที่ป่าทยอยปล่อยก็ทำให้เรามีน้ำใช้ตลอดปี และดอยหลวงเชียงดาวก็คือฟองน้ำก้อนใหญ่ของพื้นที่ป่าต้นน้ำแม่ปิงนั่นเอง
พี่อ้วนบอกว่าทุกครั้งที่น้ำไหลผ่านก้อนหิน การกระฉอกจะช่วยเติมออกซิเจนเป็น ‘ลมหายใจ’ ที่หล่อเลี้ยงชีวิต เพราะสายน้ำเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด และสังคมพืชริมน้ำก็สำคัญ เป็นแหล่งพันธุกรรมของพืชและสัตว์ เช่น ใต้รากของต้นกล้วยป่าริมน้ำเป็นบ้านของปลารากกล้วย
เหล่าสิ่งมีชีวิตในน้ำอพยพหากินไม่หยุดอยู่กับที่ เราจึงไม่ควรสร้างเขื่อนคอนกรีตขวางสายน้ำ แต่สิ่งชะลอน้ำอย่างฝายแม้วที่สร้างจากหินและไม้นั้นไม่เป็นปัญหา เพราะมีช่องว่างให้น้ำและสิ่งมีชีวิตเคลื่อนผ่าน
ระหว่างลุยน้ำตามหลังพี่อ้วน หยุดมอง ทำความรู้จักสิ่งรอบตัว ฉันเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภูเขา ผืนป่า สายน้ำ และแน่นอน มนุษย์มากขึ้นทีละน้อย เป็นความเข้าใจจากประสบการณ์ปฐมภูมิแท้จริง
“ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหาในอินเทอร์เน็ตก็ได้”
ส่วนสิ่งที่ไม่มีในนั้นก็อยู่กับฉันที่นี่ ตรงนี้แล้ว
02 เอาเท้าแช่น้ำ แล้วเดินต่อไป
2 กิโลเมตร คือระยะทางที่ชาวทริป ‘ตามน้ำ’ เดินตามสายน้ำกันในช่วงบ่าย
1,200 กิโลเมตร คือระยะทางที่พี่อ้วนเดินตามสายน้ำเมื่อ พ.ศ. 2553
หลังกินมื้อเย็นอิ่มหนำ พี่อ้วนนั่งลงในวงสนทนายามค่ำคืนแล้วเล่าให้ฟังว่า เคยใช้เวลา 3 เดือนออกเดิน ‘ธรรมยาตรา’ ตามสายน้ำตั้งแต่ต้นแม่น้ำปิงถึงเจ้าพระยา
จากเด็กที่เกิดริมแม่น้ำปิงและสงสัยว่าสายน้ำตรงหน้าไหลไปไหน พี่อ้วนเติบโตขึ้น เคยเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าซึ่งจับปืนต่อสู้ เป็นเอ็นจีโอผู้โดดเข้าปะทะเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม จนเวลาผ่านไป พี่อ้วนได้รู้เรื่องราวของสาทิศ กุมาร ปราชญ์ชาวอินเดียผู้ออกเดินเพื่อรณรงค์ยับยั้งการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ และอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ที่ออกเดินเพื่อทำสมาธิและทบทวนชีวิตจากกรุงเทพฯ ถึงบ้านเกิดที่เกาะสมุย
พี่อ้วนเริ่มสนใจอยากลองใช้เครื่องมือเรียบง่าย นุ่มนวลอย่างสองเท้าของตัวเอง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง จนเกิดเป็น ‘ธรรมยาตรา ศรัทธาแห่งสายน้ำ’ การเดินทางตามสายน้ำจากแม่ปิงสู่เจ้าพระยา เพื่อฝึกฝนตนเอง เรียนรู้ธรรมชาติ ที่สำคัญคือรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้ผู้คน
สองเท้าพาพี่อ้วนไปพบเห็นความเริงร่าของสายน้ำเมื่อไหลผ่านป่า เห็นบาดแผลขณะสายน้ำไหลผ่านเมือง ท้ายที่สุด หลังผ่านไปกว่า 100 วัน นักอนุรักษ์รุ่นใหญ่ได้เห็นสายน้ำนั้นไหลลงสู่ทะเล
“ก่อนหน้านั้น เราพูดคุยว่า เรามีความปีติที่ได้เดินทางมากับสายน้ำ แล้วบัดนี้ สายน้ำได้เดินทางมาถึงบ้านคือท้องทะเล แต่ภาพที่ปรากฏให้เห็นคือ เงาเมฆในน้ำ ผมรู้ว่าแม่น้ำไม่ได้จบการเดินทาง แม่น้ำยังต้องเดินทางต่อไป ไปหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตโดยไม่เลือกว่าผู้คนหรือสัตว์ ไม่เลือกแม้กระทั่งคนที่เคยทำร้ายแม่น้ำ เมื่อถึงเวลาคุณหิวกระหาย น้ำก็ให้คุณดื่มกินได้ตลอดเวลา” พี่อ้วนแบ่งปันบทเรียนครั้งนั้น
การเดินทางตามสายน้ำยังมอบความเปลี่ยนแปลงภายใน ใจสงบเย็นลงไม่ต่างจากสายน้ำ ขณะเดียวกัน พี่อ้วนยังสานต่องานอนุรักษ์ อาจไม่ใช่การจับปืนหรือวิวาทะ แต่หนทางเปลี่ยนแปลงย่อมหลากหลาย
เช่น การมานั่งอยู่กับฉันและผู้ร่วมทริป ‘ตามน้ำ’ ในเวลานี้
บทสนทนายามค่ำคืนสิ้นสุดลง ในความมืดมิดที่มีเสียงสายน้ำข้างค่ายเยาวชนฯ ขับกล่อม ฉันพบว่าขณะที่นักอนุรักษ์คนนั้นยังเดินเคียงข้างสายน้ำ
การเดินทางของเขายังดำเนินต่อในใจเรา
03 ฆ่าน้ำ
โชคดีที่เช้านี้ไม่มีแดด
ประโยคนี้ผุดขึ้นในหัวฉันขณะลงจากรถตู้พร้อมผู้ร่วมทริปตามน้ำที่เหลือ เพราะรอบตัวเราตอนนี้คือพื้นที่โล่งกว้างที่ใช้ทำการเกษตร ถ้าวันนี้แดดจัดจ้า พวกเราคงโดนแดดเผาไม่มีร่มให้หลบเหมือนในป่าวันก่อน
ที่นี่คืออดีตป่าต้นน้ำเขียวชอุ่มที่ถูกชาวบ้านตัดถางเพื่อเพิ่มพื้นที่ผลิตอาหาร เมื่อมองไปลิบๆ จะเห็นภูเขาที่อุดมสีเขียวหนาแน่น พื้นที่ตรงนั้นคือเขตแดนพม่าที่ยังไม่มีการพัฒนา
บางทีไม่พัฒนายังดีกว่า-พี่อ้วนบอก แล้วเล่าต่อว่าการทำเกษตรบริเวณนี้ไม่ได้กระทบแค่ผืนป่า พี่อ้วนพาเราเดินต่อเข้าไปจนเห็นทิวเขาเขียวครึ้มซึ่งมีสายน้ำไหลออกมา
นี่คือต้นกำเนิดแม่น้ำปิง
จุดเริ่มต้นของสายน้ำที่ไหลลงสู่เจ้าพระยาอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่เราทำคือใช้น้ำอย่างหนัก ใช้สารเคมีรุนแรง สารเคมีอย่างน้อย 3 ชนิดคือยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง และปุ๋ยหรือฮอร์โมน จะถูกชะล้างสู่แม่น้ำ
“สายน้ำตรงนี้ก็เหมือนเด็กขวบแรกๆ และนี่คือสิ่งที่เราทำกับเด็กเพิ่งคลอดจากครรภ์มารดา” นักอนุรักษ์ที่ยืนอยู่ใกล้ฉันเปรียบเทียบกินใจ แต่ก็อธิบายเพิ่มว่า โทษชาวบ้านอย่างเดียวก็ไม่ถูกเพราะพอคนเพิ่มความต้องการพื้นที่ทำกินก็เพิ่มตาม ส่วนเจ้าหน้าที่ดูแลบริเวณนี้ก็มาแล้วไป ไม่อาจแก้ปัญหาอย่างลึกซึ้ง
พูดถึงการแก้ปัญหาใหญ่ เรามักนึกถึงการใช้กฎหมาย แต่พี่อ้วนเล่าให้ฟังถึงอีกเครื่องมือที่เคยใช้ นั่นคือ ‘ความเชื่อ’ เมื่อครั้งรัฐบาลมีแผนสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นดอยหลวงเชียงดาว พี่อ้วนคัดค้านด้วยเหตุผลเชิงวิชาการแต่ไม่ได้ผล จนเมื่อเปลี่ยนมาสื่อสารว่า การสร้างกระเช้านี้ลบหลู่ ‘พ่อหลวงคำแดง’ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดอยหลวงเชียงดาว ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าสนับสนุน โครงการสร้างกระเช้าเลยยุติไปตามระเบียบ
“เมื่อไหร่ที่เราเคารพ สิ่งนั้นย่อมศักสิทธิ์” พี่อ้วนกล่าว
หลังจากนั้น พวกเราก็เดินไปสัมผัสสายน้ำที่ยังคงชื่นฉ่ำเหมือนวันก่อน แต่เราต่างรู้ว่าเด็กคนนี้มีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ไม่มากก็น้อย แล้วเมื่อถึงจุดต่อไป เราก็ได้เห็นเด็กน้อยเดินทางต่อ ที่ด้านหนึ่งของสะพานข้ามน้ำ เราเห็นแม่น้ำปิงบรรจบกับแม่น้ำนะ เป็นสิ่งเล็กที่รวมกันกลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ไหลไปหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต
แต่เมื่อมองอีกฝั่ง เราเห็นฝายคอนกรีตที่เก็บน้ำไม่ได้เพราะตะกอนทับถม และแน่นอน การตัดตอนแม่น้ำยังกระทบสิ่งมีชีวิต พี่อ้วนชี้ให้ดูบันไดปลาโจน สายน้ำเชี่ยวกราก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปลาโจนขึ้นมาได้ไหม
“สายน้ำขาดช่วงก็เหมือนลมหายใจสิ่งมีชีวิตในน้ำขาดหาย” พี่อ้วนบอกพวกเรา
หากการตามน้ำเมื่อวานคือการไปเห็นว่าน้ำมีค่าอย่างไร ขณะยืนมองฝายคอนกรีต ฉันก็เห็นแล้วว่าน้ำถูกฆ่าอย่างไร
และใครคือฆาตกร
04 ในน้ำมีปลา
เกือบ 2 วันที่ผ่านมา เราเรียนรู้เรื่องน้ำด้วยการตามน้ำที่ไหลผ่านผืนป่าและพื้นที่เกษตร แต่เพราะเชื่อว่าวิธีเรียนรู้มีได้หลากหลาย เย็นวันนี้เลยมีคนกลุ่มหนึ่งมาเตรียมวิธีเรียนรู้เรื่องน้ำให้เราอยู่บนเตาไฟ
เราจะมาตามน้ำที่ไหลผ่านจานอาหาร
หัวหน้าทีมมื้อนี้คือ แบล็ก-ภานุภน บุลสุวรรณ เจ้าของร้าน Blackitch Artisan Kitchen แห่งเชียงใหม่ เชฟแบล็กชอบหยิบของท้องถิ่นมาพลิกแพลง สำหรับมื้อนี้ เขาจะทำเซ็ตอาหารที่หลายวัตถุดิบมาจากต้นน้ำ
เราได้กินอะไรบ้าง? เริ่มจากน้ำแร่ในขวดข้างจานที่มาจากพื้นที่ต้นน้ำอย่างเชียงดาว ตามมาด้วยขนมปังที่มาจากข้าวชาวปกาเกอะญอและใช้เมือกกระเจี๊ยบเขียวแทนยีสต์ จิ้มกับอ่องปูนา เนยถั่วเซียนท้อ และตับไก่ป่าบด ต่อด้วยเห็ดจากต้นน้ำ 3 อย่าง คือเห็ดหล่ม เห็ดโคนน้อย และเห็ดก่อ ย่างเสียบไม้เสิร์ฟมาในจานที่รองด้วย ‘เตา’ และ ‘ผำ’ สาหร่ายสีเขียวสดที่เป็นตัวชี้วัดความสะอาดสายน้ำ ถัดมาคือยำยอดผักและดอกไม้ป่ากินกับปลาสลิดแห้ง และซุปผักกาดแห้งกินกับซี่โครงหมูตุ๋น
อีกจานที่พิเศษมากคือ ข้าวอบจากข้าวดอยชาวปกาเกอะญอ กินกับห่อหมกสัตว์จากต้นน้ำอย่างปลาเล็กปลาน้อยและหอยโข่ง แนมกับไข่เป็ดไล่ทุ่งจากลำปางที่เหยาะน้ำปลาสร้อยจากสุโขทัย เคียงด้วยน้ำพริกที่ได้รสเค็มจากปลาดุกร้า รสมันจากตัวต่อ และมีส่วนผสมพิเศษจากต้นน้ำคือเขียดแห้ง ตบท้ายด้วยของหวานอย่างไอศครีมมะตูม พร้อมของตัดเลี่ยนอย่างข้าวเหนียวกล่ำหมักจนเป็นข้าวหมาก และคาราเมลจากตัวอ่อนผึ้ง
เมนูเด็ดแต่ละจานรวมกันเป็นมื้ออาหารพิเศษที่พาเราไปรู้จักวัตถุดิบท้องถิ่นที่ต้นน้ำและธรรมชาติในแต่ละภูมิภาคให้มา หลายอย่างไม่คุ้นเคย แต่เชฟแบล็กบอกว่าทุกอย่างในจานไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด
“ของแปลกของผมคือไข่หอยเม่นและล็อบสเตอร์ แต่เขียดเอย หนอนต่อเอย สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในประเทศไทย แล้วเป็นสิ่งที่คนในชุมชนหรือภูมิภาคนั้นกินเป็นปกติ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นของปกติ เป็นของธรรมชาติ และกินได้ เราเองนั่นแหละเลือกไม่กิน บอกว่าไม่น่ากิน แต่ตอนกินเข้าไปทุกคนบอกอร่อยหมด จนบอกว่ามีเขียดถึงไม่น่ากิน ถูกมั้ย เพราะฉะนั้น มันเป็นการรับรู้ของคน อาหารก็คืออาหาร ที่สำคัญคือราคาไม่แพงด้วย” เชฟแบล็กกล่าว ก่อนปล่อยให้เราละเลียด ‘ความรู้กินได้’ ในจานต่ออย่างเอร็ดอร่อย
05 รักน้ำ
น้ำสำคัญต่อชีวิตแค่ไหน ประสบการณ์ตลอด 2 วันในทริปตามน้ำทำให้เราเข้าใจแจ่มแจ้ง และตอนนี้มากกว่าความรู้คือคำถามที่ผุดขึ้นในใจ
เราจะรักษาสิ่งสำคัญนี้ได้ยังไง
หลังมื้อค่ำสุดสร้างสรรค์ ก้อง-ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการและผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ The Cloud จึงชวนเรานั่งลงเรียนรู้วิธีดูแลจัดการน้ำ พี่ก้องย่อยข้อมูลออกเป็น 10 วิธีรักน้ำ แล้วเล่าผ่าน 10 เคสจัดการน้ำที่สนุกและสร้างสรรค์
หลังสนุกกับเคสน่าสนใจ พี่อ้วนก็มาสรุปสิ่งที่น่ารู้จาก 2 วันที่ผ่านมา พี่อ้วนชวนเราย้อนมองตั้งแต่วัฏจักรของน้ำ ก่อนจะบอกว่า การเดินทางกับพวกเราตลอด 2 วันที่ผ่านมา ทำให้พี่อ้วนมีกำลังใจรักน้ำต่อไป
“ผมคิดว่าเราทุกคนเป็นเหมือนหยดน้ำที่ไหลมารวมกันแล้วมีพลัง และเราจะเป็นเหมือนพลังแห่งความปรารถนาดีของสายน้ำ” พี่อ้วนทิ้งท้ายนุ่มนวล ก่อนจะชวนเราเดินลงไปริมน้ำเพื่อฟังเสียงสายน้ำก่อนเข้านอน
ในความมืดมิด เสียงสายน้ำไหลรินยังคงดังต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างจะเป็นเช่นที่เคยเป็นต่อไปหรือไม่
อยู่ที่พวกเราทุกคน
06 ตามน้ำ
เช้าวันสุดท้ายของทริปตามน้ำ ดอยหลวงเชียงดาวแสนสวยยังคงยืนตระหง่านต้อนรับทุกคน แต่อีกไม่นาน ภาพนี้จะกลายเป็นความทรงจำที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้
เช่นเดียวกับ ‘แรงบันดาลใจ’
เราลงนั่งล้อมวงเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อแบ่งปันความรู้สึกและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเดินทางตามสายน้ำ ทริปนี้ประกอบด้วยคนหลากหลาย ตั้งแต่นักศึกษาที่ไม่เคยเดินป่าลุยน้ำมาก่อน เกษตรกรตัวจริง จนถึงเจ้าหน้าที่จากองค์การสหประชาชาติ นอกจากพื้นเพแตกต่าง ความคาดหวังที่ถือติดมือมาก็ต่างกัน
แต่เมื่อได้ฟัง ฉันก็พบว่า พวกเขาต่างรู้จักและรักน้ำมากขึ้น 2 วันอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงใครในพริบตา และแรงบันดาลใจอาจวัดผลเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่แน่นอนว่า ประสบการณ์เรียนรู้เรื่องน้ำจะคงอยู่ในใจ
เป็น ‘เมล็ดพันธุ์’ ที่รอวันงอกงามเมื่อถึงเวลา เหมือนการมาพบกันของเราในทริปนี้ ก็อาจเริ่มจากเมล็ดพันธุ์ในตัวแต่ละคน
หลังจากนั้น โปสการ์ดสีน้ำตาลใบเล็กก็ถูกแจกจ่ายรอบวง เพื่อประหยัดกระดาษ (ซึ่งทำมาจากต้นไม้อีกที) จึงมาการออกแบบให้มันถูกฉีกแบ่งเป็น 2 แผ่น แผ่นหนึ่งไว้เขียนถึงคนที่เราอยากเล่าประสบการณ์ให้ฟัง อีกแผ่นเอาไว้เขียนถึงตัวเอง
เป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจจากต้นน้ำ สู่คนอื่นและตัวเราที่ปลายน้ำ
“เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากินน้ำ ใช้น้ำ ก็ขอให้ระลึกนึกถึงว่าน้ำมาจากป่า จากธรรมชาติ อาจมีสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราเปิดก๊อก รินน้ำใส่แก้ว แล้วมันมีส่วนผสมที่ไหลไปจากที่นี่ เมื่อระลึกอย่างนี้ เราก็จะเห็นคุณค่า หากมีโอกาสก็จะช่วยรักษาแม่น้ำและธรรมชาติไว้ ในตัวเราเองก็มีน้ำอยู่ ถ้ารักษาแม่น้ำข้างนอก ไม่ว่าแม่น้ำนั้นจะอยู่ที่ไหน สิ่งที่ได้คือน้ำในตัวเราจะดีด้วย” ระหว่างทริป พี่อ้วนเคยบอกเราเช่นนี้
การตามน้ำจึงไม่สิ้นสุดลงที่นี่ เรายังเดินทางต่อด้วยพลังเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ในหัวใจ