ตุลาคมเป็นเดือนศักดิ์สิทธิ์ ผมบอกตัวเองแบบนั้น เพราะเดือนนี้ดูจะมีงานเซ่นสังเวยมากมายในหลากหลายวัฒนธรรมของโลก ชาวจีนถือศีลกินเจ ชาวอินเดียมีงานนวราตรี ชาวคาทอลิกฉลองเดือนลูกประคำศักดิ์สิทธิ์ ชาวไทยมีสารทไทยอยู่ทุกภาค ทั้งตานก๋วยสลาก บุญข้าวสาก และสารทเดือนสิบ ชาวเม็กซิกันฉลอง ‘วันรำลึกผู้วายชนม์ (Day of the Dead)’ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ที่แปลกและกินใจที่สุดเทศกาลหนึ่งของโลก
“คืนนี้ไปสุสานกัน” เพื่อนเม็กซิกันชวนผม สมัยที่เราเรียนปริญญาโทกันอยู่ในเมืองหลวงกรุงเม็กซิโก ตอนนั้นไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเทศกาลนี้เลย ฝ่าลมหนาวไปถึงสุสานใหญ่ชานเมืองหลวงก็รู้สึกเหมือนกับไปเที่ยวงานวันฮาโลวีน
จะสะดุดตาก็ตรงที่ในสุสานวันนั้นมีดอกไม้สดสวยๆ ประดับเต็มไปหมด เทียนไขยาวจุดไฟวิบวับตามหลุมศพ คุณลุงใส่หมวกคาวบอยนั่งเฝ้าข้างหลุมกลางแสงเทียน ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ ผมก็ใช้แฟลชกดถ่ายรูปกล้องฟิล์มมาหลายใบ
เม็กซิโกกลายเป็นบ้านหลังที่สองของผมอยู่ 2 ปี ถ้าจะอ้างว่าเลือดเนื้อที่เจือด้วยแป้งข้าวโพดทาโก้และเตกีล่านั้น ทำให้ผมกลายเป็นเม็กซิกันครึ่งตัวก็คงจะไม่ผิด มุมมองลูกครึ่งจีนเห็นคนไปไหว้สุสานก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงเทศกาลเช็งเม้งที่เคยไปไหว้ตอนเด็ก ภาพคนเป็นไปเยี่ยมคนตายวันนั้นยังคาใจ และทำให้อยากกลับไปถ่ายรูปสวยๆ ด้วยกล้องทันสมัยในอีก 6 ปีต่อมา
เพื่อนคนไทยชอบถามว่าเม็กซิโกเป็นประเทศเจริญกว่าเราไหม เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะประเทศนี้มีทั้งคนรวยติดอันดับโลกและคนจนข้นแค้นขอทาน แต่ถ้าถามว่าคนใจดีไหม ผมตอบได้แบบไม่ลังเลว่าคนดีน้ำใจงามมีดาษดื่น ยิ่งจนก็ยิ่งมีน้ำใจและศรัทธาในศาสนาสูงมาก คนถูกหล่อหลอมออกมาได้แปลก ด้วยวัฒนธรรมชนเผ่าโบราณหลายเผ่าอายุหลายพันปี ผสมผสานกลืนเข้ากับการเป็นอาณานิคมสเปนที่นำความเชื่อใหม่แบบคาทอลิกเข้าไป ในเมืองหลวงเราจึงจะเห็นทั้งเหล่าบรรดาผู้ศรัทธาคลานเข่าจากสถานีรถไฟใต้ดินไปจนถึงวัดพระแม่มาเรียแห่งกวาดาลูเป้ และอีกมุมหนึ่งของเมืองก็มีตลาด Sonora ที่ผมตั้งชื่อว่า ‘ตลาดพ่อมด’ ขายอุปกรณ์ทุกอย่างที่หมอผีต้องการ โดยไม่ต้องไปเรียนไกลถึงฮอกวอตส์
ความเชื่อเรื่องความตายของคนที่นั่นก็เลยมีความพิเศษมาตั้งแต่ยุคก่อนโคลัมบัส ชาวพื้นเมืองเชื่อว่าความตายไม่ใช่การดับสูญ แต่เป็นการ ‘ตื่น’ ขึ้นในโลกใหม่ เป็นแค่ก้าวหนึ่งของชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปเหมือนเดิม สถานที่ที่คนตายจะไป ไม่ได้เกิดจากผลของการกระทำดีชั่วในช่วงที่มีชีวิต แต่ไปตามสภาวะตอนที่ตาย เช่น นักรบที่ถูกจับสังเวยและหญิงตายตอนคลอดลูกจะได้ไปแดนสุริยะเทพ คนจมน้ำตายจะไปกับพระพิรุณ ส่วนคนตายปกติจะไปปรโลกที่เรียกว่า ‘มิกตะลัน’ (Mictlán) ดินแดนที่จะพำนักไปตลอดกาล และเมื่อถึงช่วงหนึ่งของปี ก็จะได้รับอนุญาตให้กลับมาเยี่ยมญาติบนโลกเก่าได้
วันแห่งคนตายของเม็กซิโก เป็นช่วงที่เชื่อว่าวิญญาณจะกลับมาเยี่ยมญาติ ดูจะบังเอิญจัดขึ้นตรงกับช่วงที่ชาวยุโรปมีเทศกาลฮาโลวีน วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ตามตำราระบุว่าในยุคโบราณผู้คนมีการเซ่นสรวงอยู่ตลอดทั้งปี ด้วยอาหาร เพลง ระบำ และบูชายัญด้วยเด็กหรือทาส อาจเพราะการเปลี่ยนแปลงหลังการปกครองของสเปน การบูชายัญจึงถูกห้ามและเทศกาลนี้ยังคงเหลืออยู่ ตรงกับช่วงวันสมโภชน์นักบุญของชาวคริสตัง (คริสตศาสนิกชนที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก)
พิธีเช็งเม้งแบบเม็กซิโกโดยทั่วไปจะไหว้กันวันที่ 1 และ 2 พฤศจิกายน แต่บางเมืองเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม ตำราบอกว่าเพื่อเป็นการอุทิศให้ผีตายโหง ส่วนวันที่ 31 ตุลาคม หรือ 1 พฤศจิกายน ไหว้ผีเด็ก วันที่ 2 พฤศจิกายนเห็นตรงกันว่าเป็นวันไหว้ผีผู้ใหญ่ ความขลังของเดือนตุลาคมสำหรับชาวเม็กซิกันยังตรงกับวันบูชานักบุญยูดาอัครทูต (San Judas Tadeo) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคมของทุกปี การที่ท่านได้รับความนิยมมากและเป็นนักบุญอุปถัมภ์ ‘สถานการณ์ที่หมดหวังและการต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะ’ บอกอะไรเราได้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับชีวิตของคนที่นั่น
แน่นอน การกลับไป ‘เยี่ยมบ้าน’ ของผมใน พ.ศ. 2553 จะเป็นเดือนอื่นไปไม่ได้นอกจากตุลาคม
วันแรกผมไม่พลาดที่จะแวะไปไหว้พระแม่กวาดาลูเป้ ผู้คุ้มครองดินแดนแห่งนี้
ผู้คนต่างมุ่งตรงมาไหว้ท่านอยู่ตลอด การเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรคาทอลิกมากที่สุดในโลก ถึงขนาดที่ต้องย้ายพระแม่ออกมาจากโบสถ์เก่าแล้วสร้างสเตเดี้ยมใหม่ พร้อมระบบทางเลื่อนไม่ให้คนไปกระจุกตัวไหว้ท่านที่จุดเดียว ผู้คนแหงนคอตั้งบ่า บ้างไหว้ บ้างถ่ายรูป ชี้ชวนกันดูภาพอัศจรรย์ที่ท่านปรากฏขึ้นประทานไว้บนผืนผ้านุ่งของคนพื้นเมือง
“โอ้ โซกาโล่ (Zocalo) ที่รัก” ผมกรีดร้องดีใจอยู่คนเดียว ในจังหวะที่เดินขึ้นจากรถไฟใต้ดินมาโผล่จัตุรัสกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยมหาวิหาร สำนักงานประธานาธิบดี ศาลาว่าการเมือง และซากมหาพีระมิดเก่า ใครที่คิดว่างานรำลึกถึงคนตายจะต้องมีสีขาวดำทะมึนหม่นหมอง นั่นไม่ใช่คนเม็กซิกันแน่ ความตายถูกคนที่นี่เอามาล้อเลียนสาดสีสันใส่ โซกาโล่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสุสานชั่วคราวกลางเมือง โดยที่ไม่มีใครว่าเป็นการอัปมงคล มีการจัดประกวดซุ้มแห่งความตาย เพื่อสะท้อนปัญหาสังคมหรือรำลึกถึงคนสำคัญที่จากไป มีขบวนแห่ตุ๊กตาเปเปอร์มาเช่ ปีนั้นฉลองครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติประเทศ เหล่าบรรดาผีนักปฏิวัติก็เลยพร้อมใจกันแบกปืนสะพายลูกกระสุนกลับมา บางปีจัตุรัสนี้ก็กลายเป็นลานดอกดาวเรือง (ภาษานาฮัวต์ เรียกว่า เซมปาโซชิตล์ cempaxochitl) บางปีมีการตั้งเตาอบ ‘ขนมปังคนตาย’ (Pan de muerto) แจกคนเป็น
ตามร้านค้าคึกคักตลอดทั้งเดือนด้วยการแต่งร้านให้มีบรรยากาศของความตาย แผงลอยที่ปกติขายขนมธรรมดา ช่วงตุลาคมจะมีหัวกะโหลกน้ำตาลหรือช็อกโกแลต ตุ๊กตาปิญาต้า ที่ให้เด็กตีเล่นก็ต้องเป็นเหล่าผีน้อย 2 ปีนี้ ปิญาต้าไวรัสโคโรน่าขายดีแน่นอน
ตามบ้านเรือน มองเผินๆ ก็อาจจะดูเหมือนฝรั่งแต่งบ้านแบบฮาโลวีน แต่ถ้าลองได้เข้าไปในบ้านแล้ว ผีที่กลับมาเยี่ยมจะต้องร้องว้าวแน่นอน ทุกบ้านและออฟฟิศในเม็กซิโกช่วงนี้จะทำแท่นไหว้บรรพบุรุษขึ้นด้านใน ตั้งไว้กลางบ้านหรือห้องทานข้าว บนแท่นมีรูปภาพของคนตาย อาหารที่พวกเขาชอบ ข้าว แป้งตอร์ตีย่า เหล้าเตกีล่า บุหรี่ มีน้ำดื่มแก้กระหายหลังการเดินทางไกลกลับมา มีเกลือแทน ‘รสชาติของชีวิต’ หัวกะโหลกน้ำตาลที่อาจจะเขียนทั้งชื่อคนตายและคนเป็น ขนมปังคนตาย จุดเทียนเป็นแสงทางเดินหรือโรยกลีบดอกดาวเรืองนำทางจากประตูบ้านเข้าไปที่แท่น ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้ กระดาษว่าวเจาะรูเป็นรูปต่างๆ (เห็นแล้วนึกถึงกระดาษเจาะรูของจีน) จุดเครื่องหอม พอไหว้เสร็จก็เอาของไหว้มากินได้
พิธีการยากที่ขึ้นมาหน่อยของเทศกาลนี้ คือการแต่งกลอนล้อกัน กลอนที่แต่งจะพูดถึงชีวิต ความตาย ความทุกข์ ความสุข ส่วนใหญ่จะล้อเพื่อนหรือนักการเมืองที่มีชีวิตอยู่ว่าตายไปแล้วเป็นยังไงบ้าง
แท่นบูชาเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์หลังฤดูเก็บเกี่ยว มีภาพคนตายที่รายล้อมไปด้วยสี กลิ่น รส ผัสสะของคนเป็น หลายที่มีการประกวดการตกแต่งแท่นในหัวข้อต่างๆ ประเด็นความตายที่มักถูกยกมาแสดงก็มีทั้งอาชญากรรม สิทธิสตรีและเด็ก ผมได้รูปถ่ายของแท่นบูชาและงานในเมืองหลวงมาครบสมใจ ยังขาดภาพคนไปไหว้สุสาน ซึ่งจะต้องเตรียมให้ดีเพราะมีแค่วันที่ 1 และ 2 เท่านั้น ผมเลือกสุสานที่ว่ากันว่าสวยและโรแมนติกที่สุดในเม็กซิโก
ผมซื้อตั๋วจากสถานีรถสายเหนือไปเมือง Pátzcuaro เมืองเล็กๆ ในรัฐ Michoacan ทางตะวันตกของเมืองหลวง ข้ามเขาไป 360 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง แต่วันนั้นผมบังเอิญได้เวลาแถมมา 1 ชั่วโมง เพราะลืมไปว่าวันที่ 31 ตุลาคม เวลาท้องถิ่นจะถูกปรับถอยหลังลงเป็นเวลาฤดูหนาว
ปาซกัวโร่ เป็นเมืองเล็กที่เกือบจะได้เป็นเมืองหลวงของรัฐ มีการอนุรักษ์ตึกแบบเก่าเอาไว้ อาคารชั้นเดียวสร้างต่อกันเป็นแถบยาวไปทั้งถนน หลังคามุงกระเบื้องแผ่นโค้ง ผนังสีขาวทาแถบแดงครึ่งล่างและหน้าต่าง ได้ยินเสียงระฆังจากโบสถ์เก่า ผู้คนออกมาซื้อของและดอกไม้จากตลาดกันคึกคัก ในสุสานเริ่มมีคนเอาดอกไม้ พวงหรีดพลาสติกสีสด กระดาษเจาะรู เข้าไปแต่งหลุมศพ บ้างก็ห้อยดอกไม้ไว้ตามรั้วกั้นของหลุม หรือเสียบใส่กระป๋อง หลายครอบครัวกำลังลงสีป้ายหลุมใหม่
หลายหลุมเขียนบนไม้กางเขนว่า ‘Perpetuidad’ แปลว่า ‘อนันตกาล’
วันที่รอคอย 1 พฤศจิกายน บนถนนที่มุ่งหน้าไปสุสาน มีแผงตั้งขายดอกดาวเรือง ดอกหงอนไก่ฝรั่ง ที่ที่นี่เรียก ‘ดอกตีนสิงโต’ พวงหรีดพลาสติก และสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการตกแต่ง เช่น กระป๋องเปล่าของพริกดองยี่ห้อหนึ่งที่ขนาดพอดีแทนแจกัน กระป๋องสีเปล่าใช้ตักน้ำทำความสะอาดหลุม ถั่วกินเล่นของคนเป็น ไม่เห็นใครเอาอาหารมาไหว้ที่หลุมศพ คงให้วิญญาณกลับไปกินเองที่บ้าน
ภายในสุสานคึกคักมากด้วยผู้คนที่กำลังขัดล้างและตกแต่ง ‘บ้าน’ ของคนที่รัก ราวกับเราได้เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ที่พร้อมใจกันผลิบานในฤดูหนาว บรรยากาศอบอวลด้วยความสุขปนเศร้า เมื่อนึกว่าคนเหล่านั้นกำลังสูญเสียใครบางคนไป เป็นวันที่คนได้อยู่ใกล้ชิดกับความตาย ได้หัวเราะและร้องไห้กับวิญญาณที่ต่างกลับมาเยี่ยมเยียนกัน
สำเร็จไปอีกโจทย์ เหลือภาพชุดสุดท้ายที่ผมต้องรอถ่ายสุสานตอนกลางคืน
คราวนี้ต้องนั่งเรือข้ามทะเลสาบไปเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า ‘คณิตซิโอ’ (Janitzio) เกาะแห่งฝนนี้เป็นเกาะกลมเล็ก มีบ้านเรือนล้อมอยู่แน่นขนัด และมีชื่อเสียงว่าสุสานของที่นี่ส่องประกายงามมากยามค่ำ
อากาศฤดูหนาวของเม็กซิโกตอนกลางคืนยิ่งเย็บเฉียบ ผมฆ่าเวลาไปรอบเกาะด้วยการแวะชมบ้าน โบสถ์ และอนุสาวรีย์โมเรโลส ยืนชูมือกลางเกาะ แวะสั่งเกซาดิย่าไส้เนื้อกินหน้าร้านที่ตั้งโต๊ะพลาสติกไว้ข้างทาง วิวที่มองลงไปเห็นทะเลสาบมีแสงไฟวิบวับจากเมืองฝั่งตรงข้ามและเรือที่กำลังแล่นเข้ามา สวยเกินบรรยาย ที่สนามบนเกาะยังมีการแสดงของเด็กๆ ใส่ชุดพื้นเมืองเต้นระบำหน้ากากคนแก่ การแสดงชุดหนุ่มพายเรือสาวถือตะกร้า และการแสดงเกี่ยวกับวันรำลึกผู้วายชนม์
พอการแสดงจบลง ผมเดินไปที่สุสานบนเกาะ กลับพบว่า สุสานปิด! เฮ้ย!
ผมพยายามมองลอดรั้วเข้าไปก็มีเพียงแสงเทียนไม่กี่ดวงกับเหล่าหลุมศพในความมืด ไม่ได้นะ เดินทางข้ามโลกมาตั้งไกลจะมาขาดรูปชุดนี้ไม่ได้ ความหวังสุดท้ายของผมก็คือการนั่งเรือกลับไปสุสานในเมือง รีบก้าวเดินตัวหนาวสั่นไปบนทางที่ปูด้วยหินเงาวับ มีแสงรำไรจากบ้านที่จุดเทียนนำทางวิญญาณให้เข้าบ้าน แต่ก็ต้องใจสลายอีกครั้ง เมื่อพบว่าประตูสุสานในเมืองก็ปิดเช่นกัน ถามได้ความว่าช่วงนั้นมีข่าวอาชญากรรมเยอะมาก จึงต้องปิดตอนกลางคืนเพื่อความปลอดภัย
ผมยืนเศร้าอยู่หน้าประตูสุสาน ราวกับเป็นวิญญาณที่กลับเข้าบ้านไม่ได้ ผมคิดว่าผีกระดูกด้านในอาจจะกำลังถือขวดเตกีล่าหัวเราะร่า และตะโกนข้ามรั้วออกมาว่า “เสียใจด้วยนะ ความแน่นอนเดียวของชีวิต ก็คือ ความตาย ฮ่าๆๆ”
“ได้ วันนี้ไม่ใช่วันของข้า แล้วจะกลับมาใหม่” ผมตะโกนตอบผีไปเป็นภาษาสเปน
หลังจากแวะเที่ยวเมืองใหญ่ๆ สวยๆ แถบโคโลเนียลตะวันตกเม็กซิโกที่ผมไม่เคยมาถึง ก็กลับมาขึ้นเครื่องที่เมืองหลวง เพื่อนรุ่นพ่อ Javier อุตส่าห์ให้ที่พักในบ้านพี่สาว ทั้งขับรถมารับส่งและเลี้ยงส่งกับครอบครัว Rocio มากับลูกชายที่ผมไม่เคยเจอ ผมเอาของฝากเป็นหนังสือทำอาหารไทยไปให้ เพราะไม่ได้เจอกันเลยตลอดวันที่มา ป้า Refugio ที่เคยยกแล็ปท็อปให้ผมใช้เรียนจนจบ กุลีกุจอแอบไปหาซื้อหนังสือสารคดีเกี่ยวกับพีระมิดมาฝากเพราะผมพูดถึงขึ้นมา
เรากอดลากันด้วยน้ำตา สัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมใหม่อีกแน่นอน
ผมยื่นตั๋วและหนังสือเดินทางก่อนขึ้นเครื่อง ตั๋วใบนั้นเขียนไว้ว่า Mexico City-Mictlán
ข้อมูลอ้างอิง
Museo Nacional de Antropología. Disfrutar de la Muerte en Vida. Mexico D.F.: INAH, 2010.
Mermes Pablo Sandoval Hernández y Camelia Margalli Hernández. Día de Muertos. Mexico D.F.: Universidad Pedagógica Nacional, 1997.
Write on The Cloud
Travelogue
ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ